ผิดปกติ!

 

 

นี่เป็นร้านค้าไม่ใช่บ้านพักอาศัย พวกเถ้าแก่ไม่พักอาศัยในร้านค้า ภรรยากับลูกยิ่งเป็นไปไม่ได้ เช้าตรู่ขนาดนี้ เถ้าแก่คนนี้จะออกมาจากร้านค้าได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นภรรยากับลูกจะพักอยู่ในร้านค้าเล็กแคบแบบนี้ ซ้ำยังอยู่ลานบ้านเดียวกันกับลูกจ้างได้อย่างไร?

 

 

นอกเสียจากภรรยากับลูกพวกนี้ไม่ใช่ภรรยากับลูก!

 

 

นอกจากเมื่อคืนนี้เถ้าแก่คนนี้อยู่ในร้านค้าอยู่แล้ว!

 

 

พอนึกถึงวาจาก่อนออกไปข้างนอกของเขา จิ่งเหิงปัวก็รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง…ร้านค้าแห่งนี้อาจเป็นธุรกิจลับของขุนนางใหญ่คนใดคนหนึ่ง หรือเถ้าแก่คนนี้อาจรู้ข่าวสารรวดเร็ว ได้ยินข่าวลือบางอย่าง กลัวว่าจะเกิดเรื่องจึงเฝ้าอยู่ในร้านค้าตลอดคืน บังเอิญพบเจอนางเข้าจึงเกิดความคิดจะรับนางไว้

 

 

รับนางไว้เพื่ออะไร?

 

 

นางไม่กล้าเชื่อว่าเขาจะรับนางไว้เพื่อเชิญนางกินข้าว

 

 

นางดิ้นรนหวังลุกขึ้น จากนั้นจึงรู้สึกว่าข้อมือเย็นเยียบ พอก้มหน้ามองก็เห็นว่าข้อมือถูกห่วงเหล็กห่วงหนึ่งยึดไว้ข้างเตียงไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร!

 

 

จิ่งเหิงปัวตื่นตระหนก รีบร้อนดิ้นรนหวังหลุดพ้น แต่ห่วงเหล็กแข็งแกร่งจะหลุดออกมาได้อย่างไร?

 

 

หลบหนีจากมวลชนโอบล้อมที่จัตุรัสหวงเฉิงได้ แต่ต้องมาตายใต้เงื้อมมือของเจ้าของร้านค้าไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งน่ะหรือ?

 

 

นางนั่งอยู่บนเตียง ทั่วทั้งร่างเหน็บหนาว นึกถึงความจริงใจเปี่ยมไมตรีอย่างยิ่งของเจ้าของร้านค้าในวันนั้น นึกถึงรอยยิ้มสนิทสนมเปี่ยมเมตตาของเขา นั่นคือใบหน้าที่ทำให้คนมองแล้วเชื่อถืออย่างยิ่ง พอยิ้มแย้มขึ้นมาพาให้คนอบอุ่นไปทั้งหัวใจ

 

 

นักการเมืองกับพ่อค้าคือฝูงชนที่แปรเปลี่ยนเลือดเย็นเป็นที่สุดบนโลกนี้จริงๆ ด้วย

 

 

นางเหลียวมองรอบด้าน หวังจะหาสิ่งของอะไรบางอย่างมากระแทกห่วงเหล็กให้หลุดออก แต่หาแล้วรอบหนึ่งก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้น ภายในห้องไม่มีสิ่งของอะไรเลยสักอย่าง

 

 

ขณะที่กำลังสิ้นหวัง ก็พลันได้ยินใต้เตียงคล้ายมีเสียงดังครืดคราดเล็กน้อย เหมือนจะเป็นหนู แต่พอฟังโดยละเอียดแล้วเหมือนจะมีเสียงเคลื่อนย้ายก้อนอิฐด้วย

 

 

นางตกใจจนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง หันกายมองทางกำแพงทันที

 

 

แน่นอนว่าบนกำแพงไม่มีอะไรทั้งนั้น นางก้มลงมองหาใต้เตียง ก็มองเห็นแสงสว่างสายหนึ่งโผล่พรวดออกมา!

 

 

พอมองโดยละเอียดอีกครั้ง อิฐบนกำแพงหายไปก้อนหนึ่ง มือข้างหนึ่งกำลังสาละวนอยู่กับช่องโหว่นั้น ย้ายอิฐลงมาอีกก้อนหนึ่งท่ามกลางเสียงดังครืดคราดเล็กน้อย

 

 

จิ่งเหิงปัวขนพองสยองเกล้า…นี่มันหมายความว่าอะไร? โจรขโมยเหรอ? โจรขโมยที่แงะกำแพงบ้านคนอื่นเพื่อขโมยของกลางวันแสกๆ น่ะเหรอ? นางโชคร้ายถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?

 

 

นางก้มลงใต้เตียง จ้องมองช่องโหว่นั้นโดยไม่กะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่แอบคว้าหมอนที่อยู่บนเตียงไว้

 

 

เศษอิฐถูกย้ายออกไปทีละก้อนละก้อนอย่างรวดเร็ว ศีรษะดำขลับศีรษะหนึ่งยื่นเข้ามา

 

 

จิ่งเหิงปัวขว้างหมอนที่อยู่ในมือออกไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย!

 

 

เพียะ! เสียงหนึ่งดังกังวาน หมอนกระแทกกลางศีรษะของคนคนนั้นพอดิบพอดี คนคนนั้นไม่ทันได้ป้องกันหมอนเหินใต้เตียง ก็ร้องโอ๊ยออกมาเสียงหนึ่ง รีบมุดไปข้างหลัง หายไปจากช่องนอกกำแพง

 

 

จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง…พละกำลังนางอ่อนแอเกินไป ไม่ได้เขวี้ยงจนคนคนนั้นหมดสติ อีกสักพักพอเขาคลานเข้ามาอีกครั้ง นางก็ไม่มีแม้แต่หมอนแล้วจะทำอย่างไร?

 

 

เรื่องสำคัญยิ่งกว่านั้นคือนางได้ยินว่าในร้านค้าข้างหน้าคล้ายมีเสียงขึ้นมากะทันหัน!

 

 

นางเงยหน้าขึ้นมองดูข้างหน้าและมองดูข้างล่าง ความรู้สึกเผชิญศัตรูรอบด้านกลับมาอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าตนเองควรรับมือฝ่ายไหนก่อน หรือขณะนี้นางรับมือฝ่ายไหนไม่ไหวทั้งนั้น

 

 

ร่างกายตึงเครียดจนเหงื่อเย็นเยียบซึมทั่วร่าง ความรู้สึกอ่อนเพลียมึนงงจู่โจมเข้ามา นางโซเซใกล้หมดสติ

 

 

ข้างล่างมีเสียงขยับเขยื้อนอีกครั้ง นางรวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้ายคว้าตะขอทองคำข้างม่านกระโจมไว้ เตรียมไว้ว่าหากมีคนมุดมาตรงหน้าหวังทำร้ายนาง นางจะเกี่ยวลูกตาเขาออกมาเป็นอันดับแรก

 

 

ภายในโพรงนั้นมีเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่ศีรษะแต่เป็นมือข้างหนึ่ง

 

 

มือนั้นกวักมาทางปากโพรง เสียงแก่หง่อมเล็กน้อยเสียงหนึ่งแว่วมาว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว พวกเรามาช่วยท่าน!”

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักงัน

 

 

หลังจากคนคนนั้นเอ่ยจบแล้วก็มุดลงใต้เตียงอย่างรวดเร็ว คนที่ปีนป่ายออกมาตามเตียงนางคือบุรุษอายุสี่สิบถึงห้าสิบปี มองเห็นมือที่ถูกกักขังไว้ข้างเตียงของนางในปราดเดียว หัวเราะเยาะเสียงหนึ่งแล้วด่าว่า “ตาแก่จินใจดำ! ไม่กลัวจะไร้ผู้สืบสกุลหรือ!”

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองใบหน้าธรรมดาใบหน้านี้ แตกต่างจากความรู้สึกประหลาดที่มองใบหน้าของตาแก่จินก่อนหน้านี้ รู้สึกสบายใจขึ้นมากะทันหัน

 

 

แม้ว่าไม่รู้จักเขาแต่คนที่แงะกำแพงมาที่นี่ตอนนี้ อย่างน้อยที่สุดคงมีเป้าหมายแตกต่างจากเจ้าของร้านนี้

 

 

ข้างนอกห้องมีเสียงดังเอะอะแว่วมา ฝีเท้าสับสนปนเปกันคล้ายมุ่งหน้ามาทางนี้

 

 

จิ่งเหิงปัวบอกใบ้ให้เขามองห่วงเหล็กบนข้อมือ ชายร่างใหญ่คนนี้ยิ้มกว้างครั้งหนึ่ง ล้วงมีดตัดฟืนเล่มหนึ่งออกมา เอ่ยว่า “ท่านหลับตาลง ไม่ต้องกลัว!”

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่ได้หลับตาลง มองเห็นเขาไม่ได้ตัดห่วงเหล็กแต่งัดแผ่นไม้ข้างเตียงทั้งหมดลงมาอย่างรวดเร็วฉับไว เอ่ยขอโทษพลางใช้เครื่องนอนห่อหุ้มนางไว้ทั้งร่างแล้วยัดเข้าไปใต้เตียง ฉวยมือม้วนผ้าห่มอีกผืนหนึ่งบนเตียงสอดไว้ใต้รักแร้

 

 

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เสียงฝีเท้าสับสนปนเปกันใกล้ถึงปากประตูแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวเพิ่งมุดเข้าไปใต้เตียง ปากโพรงทางนั้นพลันมีมือหลายคู่ยื่นออกมารับนางเข้าไปอย่างระมัดระวัง

 

 

จิ่งเหิงปัวหันหน้าไปทางใต้เตียง ได้ยินปากประตูดังพลั่กเสียงหนึ่ง ประตูถูกถีบออกแล้ว

 

 

ชายร่างใหญ่ไม่ทันได้มุดกลับมาแล้ว!

 

 

นางได้ยินผู้ชายคนนั้นด่าทออะไรสักประโยคหนึ่งอย่างเลือนราง จากนั้นเสียงฝีเท้ากระทืบออกไปข้างนอก ชนโต๊ะเก้าอี้ม้านั่งกระเด็น เสียงปึงปังๆ ดังขึ้นระลอกหนึ่ง มีคนตะโกนขึ้นว่า “คนถูกลักพาตัวไปแล้ว!”

 

 

“ไปทางนั้น!”

 

 

“ตามไป!”

 

 

คล้ายได้ยินเสียงหนึ่งร้องเสียงหลงจากไกลๆ ด้วย ไม่รู้ว่าใครร้องอยู่

 

 

จิ่งเหิงปัวกัดฟันแน่น ลืมตาขึ้น มือเจ็ดถึงแปดคู่อยู่บนศีรษะนางรับนางเอาไว้ พอนางถูกวางไว้บนพื้นพลันมีคนอุดช่องโหว่ช่องนั้น มีคนกำลังสนทนากันอย่างถี่กระชั้น

 

 

“เอ้อร์หู่ไม่ได้ข้ามมาหรือ?”

 

 

“ไม่ทันได้ข้ามมา เขาหอบม้วนผ้าห่มหนีไปแล้ว น่าจะล่อพลไล่ล่าออกไปได้”

 

 

“หากเขาถูกจับได้…”

 

 

“หุบปาก!”

 

 

จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง มองท้องฟ้าบนศีรษะอย่างงงงวย

 

 

ใครกัน?

 

 

ใบหน้าสั่นไหวพร่ามัวตรงหน้า นางไม่รู้จักพวกเขาสักคน ใครกันที่พลีชีพช่วยนางขนาดนี้?

 

 

ทุกคนช่วยกันอุ้มนางเข้ามาภายห้องแล้ววางไว้บนเตียงคนละไม้ละมือ ผู้ชราคนหนึ่งใช้ผ้ารองมือของนางอย่างระมัดระวัง เอ่ยว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องกลัว” ใช้ค้อนตีเหล็กกระแทกห่วงเหล็กออก

 

 

สาวน้อยนางหนึ่งเดินเข้ามาใช้น้ำร้อนเช็ดมือให้นาง หญิงวัยกลางคนหลายนางเคี่ยวน้ำแกงต้มยาตรงระเบียงทางเดิน ซ้ำยังมีผู้ชายหลายคนออกไปด้วยเพราะคำสั่งของผู้ชรา เอ่ยว่าจะไปช่วยเหลือเอ้อร์หู่

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูฝูงชนที่ชุลมุนวุ่นวายตามระเบียบแบบแผน เกิดความรู้สึกคล้ายภาพลวงตา นางจำแนกใบหน้าเหล่านั้นโดยละเอียด บางใบหน้าคล้ายคุ้นตาแต่หลายใบหน้าเป็นคนแปลกหน้า

 

 

สาวน้อยที่เช็ดมือให้นางมองข้อสงสัยของนางออก ยกน้ำออกไปแล้วเดินมานั่งข้างกายนาง เอ่ยว่า “ฝ่าบาท ท่านไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ใช่ตาแก่จินใจดำนั่น เราไม่ทำร้ายท่านเป็นแน่ วันนี้ได้ช่วยฝ่าบาทไว้ เอ่ยแล้วเป็นความบังเอิญ”

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังไปสักพักถึงเข้าใจว่าลานบ้านเล็กแห่งนี้อยู่ข้างร้านหลงเซิ่งจี้ ที่นี่มีครอบครัวช่างตีเหล็กแซ่หนิวครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ ครอบครัวนี้ไม่ลงรอยกันกับเถ้าแก่ของหลงเซิ่งจี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อคืนนี้ลูกชายคนรองครอบครัวนี้ตื่นขึ้นมากลางดึก พบว่าข้างบ้านจุดไฟสว่างไสวจึงปีนกำแพงแอบฟังสักหน่อย ได้ยินเพียงตาแก่จินเดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออกที่นั่น เอ่ยว่าจัตุรัสหวงเฉิงเกิดเรื่องแล้ว เหล่าขุนนางคุกคามองค์ราชินี ไม่แน่ว่าหลังจากนี้จะเกิดเหตุการณ์นองเลือด ให้ลูกจ้างทั้งในทั้งนอกร้านระวังหน่อย สองวันนี้จำกัดความเคลื่อนไหวทำการค้าขายน้อยลง พอลูกชายคนรองได้ฟังก็ตื่นตระหนกตกใจ กลับมาปลุกท่านพ่อท่านแม่แล้วเล่าให้ฟัง คืนนั้นครอบครัวนี้ไม่ได้นอนหลับเลย พอตาแก่หนิวออกไปข้างนอกยามรุ่งสางมองเห็นจิ่งเหิงปัวนั่งอยู่บนธรณีประตูร้านหลงเซิ่งจี้ ทว่าไม่กล้าทักทายด้วยซ้ำด้วยเพราะเหลือเชื่อเหลือเกิน หวังจะเข้าไปหยั่งเชิง เพียงพริบตาเดียวจิ่งเหิงปัวก็ถูกตาแก่จินประคองเข้าไปแล้ว ทั้งครอบครัวตาแก่หนิวยิ่งคิดยิ่งไม่สบายใจ เรียกลูกชายคนรองปีนขึ้นต้นไม้มองดูความเคลื่อนไหวอีกครั้ง พอดีมองเห็นจิ่งเหิงปัวถูกประคองเข้าห้องข้างโถงหลังหลงเซิ่งจี้ที่ห่างกันเพียงกำแพงเดียว ซ้ำยังมองเห็นตาแก่จินรีบร้อนออกไปข้างนอกแล้ว

 

 

ทั้งครอบครัวตาแก่หนิวสังหรณ์ว่าผิดปกติ เรียกสหายข้างบ้านมาปรึกษาหารือ คิดวิธีรื้อกำแพงขโมยคนช่วยจิ่งเหิงปัวมาเสียเลย

 

 

คนนั้นที่จิ่งเหิงปัวใช้หมอนเขวี้ยงออกไปก่อนหน้านี้ก็คือลูกชายคนรองของครอบครัวแซ่หนิวที่รู้เหตุการณ์เป็นคนแรกสุด

 

 

จิ่งเหิงปัวนอนมองเพดานแน่นิ่ง ไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว ในใจมีคลื่นอบอุ่นพรั่งพรูมากล้น นางกลัวว่าพอเอ่ยปากแล้วจะกลั้นไม่ไหว