คนที่นางพยายามมอบรอยยิ้มผูกไมตรีเหล่านั้น แต่ละคนต่างทำร้ายนางไม่ยอมปล่อยนางไป ส่วนราษฎรชั้นล่างสุดของสังคมเหล่านี้ที่นางไม่เคยพบเจอด้วยซ้ำ ไม่เคยมอบความช่วยเหลือเป็นบุญคุณ แต่พวกเขานึกถึงนาง เป็นห่วงนาง ช่วยเหลือนางโดยไม่เสียดายชีวิตตนเองและครอบครัว

 

 

สาวน้อยนางนั้นนึกว่านางยังหวาดกลัว จึงบีบมือของนางอย่างปลอบโยน เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพักสักหน่อยเถิด ประเดี๋ยวข้าจะปรนนิบัติท่านดื่มยา ที่นี่ดูคล้ายอันตรายแต่แท้จริงแล้วน่าจะปลอดภัย ตาแก่จินคงคิดไม่ถึงว่าท่านจะอยู่ข้างร้าน ท่านไม่ต้องกลัวนะ”

 

 

สิ่งที่จิ่งเหิงปัวได้ยินมากที่สุดท่ามกลางคนกลุ่มนี้ก็คือคำว่า “ไม่ต้องกลัว” นางกะพริบตาพลางเม้มปาก

 

 

คนคนนั้นที่นางเคยนึกว่าควรเอ่ยประโยคนี้ กลับสร้างหน้าผาแห่งความสิ้นหวังที่เหน็บหนาวที่สุดแห่งหนึ่งให้กับนาง นึกไม่ถึงว่าจนบัดนี้ยังมีคนเต็มใจเอ่ยกับนางว่าไม่ต้องกลัว พวกเราอยู่ตรงนี้

 

 

มูลค่าที่จ่ายไป ดอกไม้ที่ผลิบาน มีกลีบเลี้ยงมืดมิด ซ้ำยังมีกลีบดอกไม้ขาวบริสุทธิ์

 

 

ข้างนอกพลันเกิดความวุ่นวาย มีคนพุ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก ร้องว่า “แย่แล้ว! เอ้อร์หู่ถูกจับได้แล้ว!”

 

 

“ซวยแล้ว” พลันมีคนเอ่ยว่า “หากค้นพบฐานะของเอ้อร์หู่ ฝ่าบาทอยู่ที่นี่คงไม่ปลอดภัยแล้ว!”

 

 

หญิงวัยกลางคนหลายนางตรงระเบียงทางเดินดับเตาไฟโดยพลัน แล้วเทน้ำแกงทิ้ง มีหญิงชราพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว อุ้มจิ่งเหิงปัวไว้ในครั้งเดียว ร้องว่า “ไปบ้านข้า!”

 

 

“ไปบ้านเจ้าจะมีประโยชน์อะไร” ผู้ชราคนนั้นเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวทั้งตรอกคงต้องถูกสืบค้น”

 

 

“บ้านข้ากับบ้านอาสะใภ้สามสร้างประตูเล็กไว้เพื่อสะดวกในการไปมาหาสู่ อยู่หลังซุ้มเถิงหลัวไม่อาจพบเจอได้โดยง่าย ส่งฝ่าบาทไปบ้านข้า พอพวกเขาค้นบ้านข้าข้าจะส่งฝ่าบาทไปบ้านอาสะใภ้สาม พอพวกเขาค้นบ้านอาสะใภ้สามนางจะส่งฝ่าบาทมาบ้านข้า เช่นนี้ย่อมหาไม่เจอแล้วไม่ใช่หรือ?”

 

 

คนกลุ่มหนึ่งทยอยชื่นชม ไม่รอให้จิ่งเหิงปัวได้แสดงความคิดเห็นด้วย ก็ก้าวเข้ามาช่วยกันหามจิ่งเหิงปัวขึ้นแคร่หามอย่างเรียบง่ายที่เตรียมไว้คนละไม้ละมือ ใช้ผ้าห่มคลุมให้นางอย่างแน่นหนา คลุมศีรษะคลุมใบหน้าไว้

 

 

พอจิ่งเหิงปัวออกจากกำแพงข้างหลังแล้วตกอกตกใจ ที่นั่นมีคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเช่นกัน ทั้งสนับสนุนทั้งดูต้นทาง มีคนร้องอย่างต่อเนื่องว่า “ทางนี้ๆ ระวังๆ มาทางนี้…เร็ว!”

 

 

แคร่หามเดินผ่านกลางฝูงชน มือทั้งอ่อนวัยทั้งแก่หง่อมทั้งละเอียดเกลี้ยงเกลาหลากหลายคู่คอยสนับสนุน ส่งจิ่งเหิงปัวไปยังบริเวณที่พวกเขาคิดว่าปลอดภัยประหนึ่งธารหลาก

 

 

จิ่งเหิงปัวซุกใบหน้าอยู่ในเครื่องนอน กลัวตนเองจะเปล่งเสียงร้องไห้กระซิกออกมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

แม้ว่าเครื่องนอนหยาบกระด้างที่คลุมหน้าไว้จะสะอาดสะอ้าน แต่ว่าเนื้อผ้าหยาบ กลิ่นไม่ค่อยน่าพิสมัยด้วย สิ่งของที่ผ่านการซักและลงแป้งด้วยน้ำนมข้าวมักมีกลิ่นเปรี้ยวบางอย่างเหลืออยู่ แต่นางกลับรู้สึกว่ากลิ่นนี้คือกลิ่นที่หอมหวนมากที่สุดที่นางเคยได้กลิ่นในชีวิต เหนือกว่ามวลผกาบานสะพรั่งดั่งแพรไหม ทั้งอําพันทะเลทั้งไม้กฤษณาในตำหนักอวี้จ้าว

 

 

หญิงชราคนนั้นรับนางไว้ในลานบ้านน้อยของตนเอง จัดให้นางอยู่ในห้องใกล้ประตูข้าง บังคับให้นางซดน้ำแกงร้อนชามใหญ่ชามหนึ่งก่อนโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น เอ่ยว่า “ฝ่าบาทสีหน้าท่านซีดเผือดเกินไปแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรกินอาหารร้อนอบอุ่นร่างกายสักหน่อย เสียดายแต่ว่าน้ำแกงไก่ก่อนหน้านี้ไม่ทันได้เคี่ยวให้สุก ประเดี๋ยวลูกชายข้ากลับมา ข้าจะให้เขาเชือดไก่ให้ท่าน”

 

 

จิ่งเหิงปัวลูบคลำบนร่างกายจนทั่วหวังหาสิ่งของมีค่าอะไรสักอย่าง แต่เสื้อผ้าของนางถูกเปลี่ยนในจวนเหยียลี่ว์แล้ว ขณะนี้เรียกได้ว่าไร้สมบัติติดกาย

 

 

หญิงชรากดมือของนางไว้ เอ่ยว่า “อย่าเลย ท่านอย่าขยับเขยื้อนมั่วซั่ว อย่าคิดจะขอบคุณ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ พวกเราเหล่าราษฎรต่ำต้อยไม่รู้ว่าบุคคลสำคัญเช่นท่านนี้เกิดเรื่องใดขึ้น และไม่รู้ว่าเบื้องบนหมายความว่าอะไรกันแน่ ยิ่งมิใช่เพราะท่านเป็นราชินีถึงได้เสี่ยงอันตรายช่วยท่านไว้ พวกเราช่วยท่านด้วยมโนธรรมแห่งความช่วยเหลือ คนที่ช่วยคือท่านคนนี้ ท่านน่ะ อย่าได้คิดให้มากมาย และอย่าได้สิ้นหวังเกินไป ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ศัตรูมากเพียงใดจะมีมากกว่าพวกเราราษฎรได้หรือ? หนึ่งคนหนึ่งเรี่ยวแรงย่อมปกป้องท่านไปยังจุดสิ้นสุดได้ ขอเพียงท่านเองไม่ท้อแท้ใจย่อมไม่มีเรื่องใดที่ผ่านไปไม่ได้ ธรณีประตูสูงเพียงใด หากยกเท้าขึ้นอีกสักหน่อยย่อมข้ามไปได้แล้วไมใช่หรือ?”

 

 

จิ่งเหิงปัวค่อยๆ เชยสายตาขึ้นมองดูหญิงชราตรงหน้า ภายในรอยยิ้มแก่หง่อมมีแสงแห่งสติปัญญาที่สั่งสมมาชั่วชีวิต

 

 

นางลูบใบหน้าอย่างเชื่องช้า ใช่แล้ว ตอนนี้ทุกคนคงมองออกว่าหน้านางซีดเผือด อับจนหนทาง อ่อนแอโรยรา เจ็บปวดทรมาน ร่วงหล่นสู่หุบเหวแห่งชีวิต

 

 

ฉะนั้นจึงมีคนได้ทีขี่แพะไล่ มีคนเลื่อมใสศรัทธาช่วยประคอง มือทุกหนึ่งคู่ที่ยื่นออกมาต่างทำให้นางมองเห็นนิสัยของมนุษย์และความหมายที่แท้จริงของชีวิตได้ชัดเจนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

“ท่านนอนหลับสักหน่อยเถิด คิดว่าผ่านไปอีกสักครู่ถึงจะมีคนมาตามหา…” เสียงวาจาของหญิงชรายังไม่ทันสิ้น ข้างนอกก็มีเสียงตบประตูดังขึ้น มีคนตะโกนเสียงแหบทุ้มขอร้องเข้ามาสืบค้นภายในห้อง จิ่งเหิงปัวฟังเสียงแล้ว รู้สึกเพียงว่าไม่เหมือนเสียงกองทัพ

 

 

หญิงชราหน้าถอดสี รีบเร่งเปิดประตูข้างแล้วกวักมือ จากนั้นไปเปิดประตูลานด้านหน้าแล้ว คราวนี้หญิงชราที่คล่องแคล่วนางนี้เดินเหินเชื่องช้า เดินไปพลางไอโขลกไปพลาง เอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “มาแล้ว…มาแล้วนะ…”

 

 

หลายคนเข้ามาทางประตูด้านข้าง หามจิ่งเหิงปัวออกไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

 

 

นางถูกหามเข้าไปในลานบ้านของอาสะใภ้สามที่อยู่ข้างกันอย่างรวดเร็ว คนทั้งลานบ้านต่างกำลังฟังความเคลื่อนไหวของบ้านข้างเคียงอย่างตึงเครียด คนคนนั้นไม่ได้พบสิ่งใดทางหญิงชรานั้นจึงเดินออกมาแล้วมาทางอาสะใภ้สามนี้ดั่งคาดการณ์ คนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนย้ายจิ่งเหิงปัวไปยังลานบ้านของหญิงชราที่อยู่ข้างกันอีกครั้งอย่างตึงเครียด

 

 

แม้ว่าอารมณ์ไม่ดี แต่จิ่งเหิงปัวอดจะอยากหัวเราะไม่ได้ สติปัญญาของฝูงราษฎรไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ สถานการณ์นี้เหมือนเหตุการณ์ราษฎรปกป้องขบวนการใต้ดินหรือกองทัพใหม่ที่สี่[1]ในตำราเรียนภาษาจีนแต่ก่อน นึกไม่ถึงเลยว่าตนเองจะได้รับบทเป็นทหารบาดเจ็บเข้าสักวัน

 

 

แคร่หามพลันเอียงครั้งหนึ่ง เครื่องนอนห้อยอยู่ข้างประตู คนกลุ่มหนึ่งร้อนใจเดินเข้าไป แถบผ้าสายหนึ่งห้อยลงมาดังฟึ่บ จิ่งเหิงปัวกำลังคิดจะเตือน คนที่สืบค้นทางนั้นเข้าประตูมาแล้ว

 

 

คนกลุ่มหนึ่งแนบหูตรงซอกข้างประตูนี้ฟังความเคลื่อนไหวของบ้านข้างกันอย่างตึงเครียดอีกครั้ง คนที่สืบค้นไม่ได้สิ่งใดเลยสักอย่างตามคาดการณ์ จึงเตรียมตัวที่จะจากไป ทุกคนกำลังจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ก็พลันมีคนหยุดยืน แล้วเอ่ยว่า “ทางนั้นคือสิ่งใด” จากนั้นจึงได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ประตูข้าง

 

 

ทุกคนตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน

 

 

อาสะใภ้สามทางนั้นสีหน้าขาวซีด…แถบผ้าห้อยอยู่ตรงซอกประตู พลิ้วไหวสะดุดตา ประตูที่ซ่อนอยู่หลังซุ้มเถิงหลัวถูกพบเจอแล้ว

 

 

คนที่พบแถบผ้านั้นเอื้อมมือไปเปิดประตูแต่เปิดไม่ออก พลันเอ่ยว่า “หยิบขวานมา!”

 

 

อาสะใภ้สามดิ้นรนจากคนที่จับนางไว้โดยพลัน วิ่งก้าวใหญ่ไปทางปากประตู หันหน้าหาทางแยกตะโกนลั่นว่า “รีบหนีไป! ท่านรีบหนีไป!”

 

 

“ตามไป!” คนที่สืบค้นนั้นพลันชักมือออกจากบานประตูแล้วพาคนไล่ตามไป ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าดังตึกตัก เสียงตำหนิดังลั่นเสียงหนึ่ง เสียงร่างคนล้มลงบนพื้น ซ้ำยังมีเสียงกรีดร้อง “กรี๊ด” สั้นๆ ของอาสะใภ้สาม

 

 

ภายในลานบ้านเล็กของหญิงชราที่อยู่ข้างกัน ทุกผู้คนต่างยืนแข็งทื่อแน่นิ่งแล้ว

 

 

เหตุการณ์ไม่คาดคิดเพียงพริบตาหนึ่ง สะท้านใจสะเทือนวิญญาณ

 

 

จิ่งเหิงปัวค้ำยันเรือนร่างขึ้นมาครึ่งหนึ่ง สีหน้าขาวซีด นิ้วมือสั่นเทาเล็กน้อย

 

 

พอมองดูสีหน้าของผู้คนรอบข้าง นางก็พลันเลิกผ้าห่มออกจะลงจากแคร่หาม

 

 

ในเมื่อพบประตูข้างเข้าแล้ว บ้านหญิงชราจะต้องถูกสืบค้นด้วย นางจะให้คนดีเหล่านี้เดือดร้อนไม่ได้อีกแล้ว

 

 

มือคู่หนึ่งกดนางไว้ สายตานางมองขึ้นไปตามมือขาวราวหิมะข้างนั้น มองเห็นว่าเป็นสาวน้อยที่อธิบายสถานการณ์ให้นางฟังก่อนหน้านี้

 

 

“ไปบ้านข้า” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “บ้านข้ามีอุโมงค์ใต้ดิน พบเจอยากยิ่งนัก ปลอดภัยเป็นแน่”

 

 

“ไม่ได้ ข้าทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนไม่ได้อีกแล้ว” จิ่งเหิงปัวลงจากแคร่หามเตรียมหายตัวจากไป

 

 

เพิ่งยืนนิ่ง เรือนร่างก็โซเซครั้งหนึ่ง นางฝืนหัวเราะออกมา พบว่าตนเองหายตัวไม่ได้ชั่วคราว ก่อนหน้านี้หายตัวติดต่อกันหลายครั้งออกจากจวนเหยียลี่ว์ เผาผลาญพละกำลังของนางจนหมดสิ้น

 

 

สาวน้อยประคองแขนของนางไว้ ทำสัญญาณมือให้ผู้คนข้างหลัง จากนั้นจูงนางออกไปทางประตูหลังบ้านของหญิงชราด้วยท่าทางกึ่งผลักกึ่งลาก

 

 

บ้านของนางไม่ไกลมากเท่าไร ทรุดโทรมคับแคบเหลือเกิน ทว่ามีอุโมงค์เร้นลับยิ่งนักจริงๆ อยู่ใต้กองฟืนของห้องครัว แผ่นเหล็กกับพื้นผิวแทบจะเป็นสีเดียวกัน ยืนอยู่เบื้องหน้ายังไม่แน่ว่าจะมองออก

 

 

สาวน้อยคนนั้นผลักจิ่งเหิงปัวลงไปโดยไม่ยอมให้จิ่งเหิงปัวได้ปฏิเสธ ซ้ำยังให้น้องชายอายุสิบกว่าขวบของตนเองตามลงไปดูแลจิ่งเหิงปัวด้วย

 

 

“ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามออกมา!” นางกำชับผู้อ่อนวัยคนนั้นเสียงเข้มว่า “แม้ตายก็ห้ามออกมา! ยิ่งไม่อาจให้ฝ่าบาทออกมา!”

 

 

“ห้ามออกมา!” ผู้อ่อนวัยคนนั้นมีแววตาแข็งทื่อ ดูท่าทางคล้ายอืดอาดเล็กน้อย

 

 

จิ่งเหิงปัวนอนอยู่บนผักกาดขาวและมันฝรั่งทั่วพื้น สูดกลิ่นเหม็นสาบภายในอุโมงค์ ในใจเกิดความเงียบสงบจากความว่างเปล่า

 

 

แม้สิ้นไร้ซึ่งให้พึ่งพา ทว่าดั่งพบเจอความสงบ

 

 

ข้างบนมีการเคลื่อนไหวอีกครั้งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก คนที่สืบค้นอาจมีมากกว่าหนึ่งกลุ่ม

 

 

คราวนี้ระยะเวลาการสืบค้นยาวนานอย่างยิ่ง แต่รู้สึกว่ายังคงไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงฝีเท้าหนักหน่วงเดินไปเดินมาในห้องครัว พวกนั้นกำลังจะถอนกำลังออกไป

 

 

นางถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

 

 

เสียงฝีเท้าพลันหยุดลง ข้างบนเงียบสงบอยู่สักพัก จิ่งเหิงปัวสังหรณ์ว่าแย่แล้วจึงลุกขึ้นมา ผู้อ่อนวัยคนนั้นเข้ามารั้งแขนของนางไว้โดยพลัน นัยน์ตาเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางความมืดมิด

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังจะตบแขนของเขาเพื่อปลอบโยน ได้ยินข้างบนมีเสียงทึบดัง พลั่ก! ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

 

 

ฟังแล้วคล้ายเสียงร่างกายถูกผลักกระแทกพื้น

 

 

จากนั้นคือเสียงร้องไห้แผ่วเบาอีกเสียงหนึ่งคล้ายเป็นเสียงของสาวน้อยคนนั้น ทว่าหายไปในชั่วพริบตาเดียว ไม่รู้ด้วยว่ากลั้นไว้แล้วหรือถูกอุดปากไว้แล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวขนลุกชันขึ้นมาทั่วร่าง…เกิดเรื่องแล้ว!

 

 

ไม่ใช่พบเจออุโมงค์ สาวน้อยคนนั้นคงไม่เริ่มต่อสู้ก่อนเช่นกัน นี่มัน…

 

 

พริบตาเดียวความคิดคาดการณ์มากมายกะพริบวูบผันผ่าน นางสังหรณ์ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือเรื่องหนึ่งนั้นที่เลวร้ายที่สุดและเกิดขึ้นได้ง่ายเป็นที่สุด นางจำได้ว่าแม่นางคนนี้หน้าตาค่อนข้างสวยสดงดงาม อีกทั้งในบ้านไม่มีใครอยู่ด้วย เหมือนจะมีเพียงนางกับน้องชายพึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอด

 

 

หากเหล่าพลทหารที่หื่นกระหายเกิดความคิดเลวทรามแม้เพียงเล็กน้อย นางย่อมไร้ทางฟื้นคืน!

 

 

 

 

[1] กองทัพใหม่ที่สี่ หน่วยหนึ่งของกองทัพปฏิวัติแห่งชาติของสาธารณรัฐจีน ก่อตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ.2480 ถูกควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่พ.ศ.2481