พอนางขยับเขยื้อนเล็กน้อยพบว่าขยับเขยื้อนไม่ได้ ผู้อ่อนวัยคนนั้นยังรั้งแขนนางไว้ด้วยพละกำลังมากล้น นางหันหน้ากลับมามองผู้อ่อนวัยคนนั้น แสงนัยน์ตาแข็งทื่อท่ามกลางความมืดมิดแต่กิริยาท่าทางดื้อรั้น

 

 

เด็กคนนี้คือเด็กกึ่งปัญญาอ่อนคนหนึ่ง ทว่าเชื่อฟังพี่สาวของเขายิ่งนัก พี่สาวเอ่ยว่าไม่ให้ออกมา เช่นนั้นย่อมไม่ออกมา

 

 

จิ่งเหิงปัวพยายามดิ้นรน แต่ผู้อ่อนวัยคนนั้นพลันพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง ผลักนางล้มลงบนพื้น เอ่ยข้างหูนางว่า “ไม่ออกไป!”

 

 

จิ่งเหิงปัวล้มลงบนมันฝรั่งกองหนึ่ง แผ่นหลังกระแทกจนเจ็บปวดรุนแรง ไร้เรี่ยวแรงผลักออกชั่วขณะ

 

 

ภายในหูได้ยินเสียงต่อสู้ดิ้นรนข้างบน ดั่งกำปั้นหนักหน่วงโจมตีลงบนดวงใจ

 

 

นางไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ หยาดน้ำตาก็ค่อยๆ หลั่งรินจากหางตา

 

 

นี่คือครั้งแรกที่นางหลั่งน้ำตาหลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้น

 

 

ตอนชุ่ยเจี่ยตายนางไม่ได้หลั่งน้ำตา

 

 

ตอนกงอิ้นให้นางกินยาพิษนางไม่ได้หลั่งน้ำตา

 

 

ตอนยาพิษออกฤทธิ์นางไม่ได้หลั่งน้ำตา

 

 

ยามใช้มีดแทงเข้าที่หน้าอกของกงอิ้นนางไม่ได้หลั่งน้ำตา

 

 

หลบหนีตลอดทาง ได้รับความทุกข์ทรมานจนสิ้น น้ำตาของนางแห้งเหือดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบดั่งถูกเพลิงพิษสีดำจากนรกขุมนั้นแผดเผาจนสิ้น

 

 

นางนึกว่าชั่วชีวิตนี้ตนเองจะไม่หลั่งน้ำตาอีก จากนั้นหัวเราะได้อีกครั้ง เบื้องลึกภายในจิตใจเยือกเย็นเป็นชั้นน้ำแข็ง ทว่าครู่หนึ่งนี้ ภายในอุโมงค์ ภายใต้ละอองธุลี การเสียสละชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่าของคนไม่รู้จักกันเหล่านั้นทำให้นางรู้ซึ้งถึงรสชาตินับไม่ถ้วนของโลกมนุษย์ในที่สุด ไม่แน่ว่าตนเองจะลำบากที่สุดอยู่เพียงคนเดียว

 

 

เดิมทีความโศกเศร้าไม่ได้มากกว่าความด้านชา เหลือเพียงความว่างเปล่าหลังจากเพลิงแผดเผาหิมะโปรยปรายผืนหนึ่ง ตอนนี้นิ้วมือของนางงอแน่นเชื่องช้า ได้ยินเสียงชั้นน้ำแข็งจากเบื้องลึกภายในจิตใจสั่นคลอนกระทบกระทั่ง ส่วนหิมะกำลังหลอมละลาย

 

 

ฉันต้องไม่ถลำเข้าไปในความโศกเศร้า!

 

 

แม้กระทั่งเพื่อราษฎรตี้เกอเหล่านี้ ฉันจะต้องกลับมา!

 

 

จิ่งเหิงปัวสูดหายใจเฮือก กระซิบข้างหูผู้อ่อนวัยว่า “พวกเขาไปกันหมดแล้ว พี่สาวเจ้าเรียกพวกเราขึ้นไป เจ้าปล่อยข้าก่อน”

 

 

ผู้อ่อนวัยครุ่นคิดชั่วครู่แล้วปล่อยมือ

 

 

เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบ หายไปแล้ว

 

 

ครู่ต่อมานางปรากฏกายในห้องครัว มองเห็นร่างกายดิ้นรนต่อสู้เสื้อผ้าหลุดลุ่ยในแวบเดียว ผิวกายขาวราวหิมะของสาวน้อยเสียดแทงสายตาของนางจนเจ็บปวด

 

 

นางไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว หยิบมีดทำครัวบนแท่นเตาขึ้น สันมีดฟาดลงหลังคอ!

 

 

เสียง พลั่ก! ทึบแน่นดังขึ้น บุรุษร่างหนาผิวเข้มคนนั้นล้มลงอย่างเงียบเชียบ สาวน้อยเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตะลึง สายตาเหม่อลอย

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่ลังเลแม้แต่น้อย ร้องแผ่วเบาว่า “ถอยไป! หลับตาลง!”

 

 

พอสาวน้อยเงยหน้าจึงมองเห็นแววตาหนาวสะท้านดั่งคมมีดของนาง ตกใจจนสั่นระริก ทั้งกลิ้งทั้งคลานหลบออกไปโดยสำนึกแล้วหลับตาลง

 

 

มีดครั้งที่สองของจิ่งเหิงปัวฟันเข้าไปในลำคอของบุรุษโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!

 

 

มีดเดียวโลหิตสาดกระเซ็น บุรุษที่สลบไสลอยู่สิ้นลมโดยไม่ได้แค่นเสียงแม้เพียงเสียงเดียว

 

 

ด้วยเพราะฟันจนสลบไสลก่อนแล้วค่อยสังหาร ภายในห้องครัวจึงไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา หลายคนที่เข้าแถวรอคอยอยู่ข้างนอกยังคงหัวเราะเฮฮาหยอกล้อซึ่งกันและกัน รอคอยให้ถึงคราวตนเองอย่างตื่นเต้นดีใจ

 

 

สาวน้อยลืมตาขึ้น มองเห็นโลหิตไหลนองทั่วพื้นตรงหน้า ตกใจจนแทบเปล่งเสียงร้อง ไม่รอให้จิ่งเหิงปัวห้ามปราม รีบเร่งนำนิ้วมืออุดเข้าไปในปากตนเอง ใช้สัญญาณมือถามจิ่งเหิงปัวอย่างหวาดกลัวว่าทำอย่างไรดี?

 

 

จิ่งเหิงปัวใช้สองมือค้ำยันเข่า หอบหายใจถี่กระชั้นหลายครั้ง รู้สึกเพียงว่าตรงหน้าเริ่มมืดมน โซเซใกล้ล้มลง

 

 

สองมีดนั้นใช้พละกำลังของนางจนหมดสิ้นแล้ว

 

 

นางฝืนใจหายตัวได้ แต่ถ้านางไปแล้ว พี่สาวน้องชายคู่นี้จะทำอย่างไร? คนอยู่ภายในห้องครัวนี้ ต่อให้หนีเข้าไปในอุโมงค์ก็ต้องถูกคนเหล่านั้นลากออกมา พอถึงตอนนั้นสิ่งที่รอคอยพี่สาวน้องชายคู่นี้อยู่คงเป็นชะตากรรมเลวร้ายจนไม่อาจบรรยายได้

 

 

นางไปไม่ได้ ซ้ำยังต้องฆ่าคนร้ายเหล่านี้ด้วย

 

 

จำเป็นต้องเสี่ยงอันตราย

 

 

จิ่งเหิงปัวบอกใบ้ให้สาวน้อยใส่กลอนประตูอย่างเงียบเชียบแล้วใช้โต๊ะขวางไว้ ตนเองเดินไปยังปากปล่องควัน หยิบพลุจดหมายสีแดงท่อนหนึ่งในอ้อมแขนออกมา นั่นคือสิ่งของที่อีชีทิ้งไว้ให้นาง

 

 

ไม่เคยได้นำมาใช้เลยเพราะนางยังไม่ได้ออกนอกเมือง ถ้าจุดดอกไม้ไฟสะดุดตาแบบนี้ขึ้นมา เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าผู้ไล่ล่าสังหารจะมาถึงก่อนอีชี

 

 

นางดึงชนวนทิ้ง ยิงพลุจดหมายออกจากปล่องไฟ

 

 

เสียงระเบิดดัง ฟิ้ว แผ่วเบาเสียงหนึ่ง ไม่ดังเท่าไร แต่ยังคงดึงดูดความสนใจคน นางเดินไปข้างหลังโต๊ะ คว้าฟืนแหลมหลายท่อนขึ้นมาแล้วรอคอย

 

 

สาวน้อยค่อยๆ สงบลง สวมใส่เสื้อผ้า หยิบฟืนที่แข็งแกร่งแหลมคมที่สุดขึ้นมาด้วย เดินไปอีกฝั่งหนึ่งของนาง

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มให้สาวน้อยที่กำลังสั่นระริกครั้งหนึ่ง

 

 

สาวน้อยนางนั้นชะงักงัน กำฟืนในมือไว้แน่น แม้ว่ามือยังคงสั่นเทาแต่ท่าทางเงียบสงบยิ่งนัก

 

 

เสียงสนทนาสนุกสนานนอกประตูหยุดลงในพริบตาหนึ่งนั้นที่ดอกไม้ไฟถูกยิงออกมา

 

 

มีคนเงยหน้ามองดูสีแดงเข้มที่มุ่งสู่ท้องฟ้าสายหนึ่งนั้น ชะงักงันเอ่ยว่า “มีดอกไม้ไฟได้อย่างไร?”

 

 

อีกคนหนึ่งตอบสนองรวดเร็ว ตะโกนก้องเสียงหนึ่งว่า “แย่แล้ว! ข้างในเกิดเรื่อง!” ว่าพลางยกเท้าเตะประตู

 

 

เสียงพลั่กดังขึ้น ประตูไม่ได้ถูกเตะจนเปิดออก คนกลุ่มนั้นร้อนใจถีบเท้าโดยพร้อมเพรียงกัน เดิมทีบานประตูบานนี้เก่าแก่ผุพังอยู่แล้ว ถีบเพียงไม่กี่ครั้งส่งเสียงดังกร๊อบเสียงหนึ่ง กลอนพังทลาย ประตูเปิดออกครึ่งบานถูกโต๊ะอาหารที่อยู่ข้างหลังตรึงไว้

 

 

เท้าใหญ่คู่หนึ่งยื่นเข้ามาหวังจะเตะโต๊ะ

 

 

จิ่งเหิงปัวฟันลงไปอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง!

 

 

“อ๊าก” เสียงหนึ่งดังโหยหวน มีดทำครัวฟันเข้ากระดูกขาของคนคนนั้นอย่างรุนแรง จิ่งเหิงปัวออกแรงมากเกินไปจนไม่อาจดึงมีดออกมาได้ทันที คนคนนั้นร้องโหยหวนพลางล้มลงไปพร้อมมีดบนขา

 

 

จิ่งเหิงปัวตอบสนองรวดเร็วเช่นกัน ดึงมีดออกไม่ได้ก็ไม่ดึงแล้ว มองเห็นเงาคนกะพริบวูบข้างประตู ฟืนที่อยู่ในมือแทงเข้าไปในหน้าผากของเขาอย่างรุนแรงโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ

 

 

ฉึก! เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา คนที่สองร้องโหยหวนเสียงหนึ่งเช่นกัน กุมใบหน้าไว้คลานถอยหลังอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างซอกนิ้วมีโลหิตแดงฉานพร้อมด้วยเศษไม้ไหลรินลงมา

 

 

การลงมือทั้งสองครั้งของจิ่งเหิงปัวคล่องแคล่วเรียบร้อย ไอสังหารผนึกแน่น ทำให้คนที่เหลืออยู่ข้างนอกตื่นตระหนก ทุกคนไม่กล้าก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีก ยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิมชั่วขณะ

 

 

จิ่งเหิงปัวหอบหายใจถี่กระชั้น นางทุ่มเทสุดกำลัง สิ่งที่ต้องการคือผลกระทบนี้ ขอแค่คนเหล่านี้รักตัวกลัวตายไม่กล้าก้าวขึ้นมาชั่วขณะ นางอาจจะรอจนกว่าเจ็ดสังหารมาถึงได้

 

 

แสงนภาค่อยๆ สว่างไสว

 

 

ข้างนอกยังไม่มีการเคลื่อนไหวชั่วขณะ

 

 

จิ่งเหิงปัววิงเวียนตาพร่า เหงื่อเย็นชุ่มโชกเสื้อผ้า แต่ไม่กล้าล้มลงและไม่กล้าหลับตาลง นางกลัวว่าพอหลับตาลงจะหมดสติไป

 

 

ในห้องพลันมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น

 

 

พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้า ก็มองเห็นชายร่างใหญ่คนหนึ่งมุดเข้ามาจากหน้าต่างบานเล็กบนผนังไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร บีบคอของสาวน้อยไว้ในครั้งเดียว!

 

 

จิ่งเหิงปัวตื่นตระหนกและเสียใจอย่างยิ่ง…หน้าต่างนั้นถูกบังอยู่หลังกองฟืนครึ่งบาน ก่อนหน้านี้นางไม่ได้สังเกตเห็น

 

 

นางได้แต่พุ่งเข้าไป ปลายฟืนแทงไปทางชายร่างใหญ่คนนั้นอย่างรุนแรง ซ้ำยังกลัวไม่ทัน แขนกวัดแกว่งเพียงครั้ง ฟืนท่อนหนึ่งเหินทะยานขึ้น พุ่งไปทางหว่างคิ้วชายร่างใหญ่คนนั้น

 

 

พอชายร่างใหญ่คนนั้นเงยหน้าก็มองเห็นว่าพลันมีท่อนไม้พุ่งเข้ามา เอียงศีรษะครั้งหนึ่งด้วยความตกใจ มือปล่อยออกโดยธรรมชาติ ตอนนี้จิ่งเหิงปัวมาถึงแล้วเช่นกัน คว้าสาวน้อยคนนั้นมาก่อนในครั้งเดียว ท่อนฟืนในมือยกขึ้นมาทิ่มคอหอยของอีกฝ่าย

 

 

การลงมือของนางตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงระดับความหนักเบาอะไรทั้งนั้น พอลงมือต้องถูกจุดตายของอีกฝ่าย

 

 

ชายร่างใหญ่กะพริบวูบถอยหลังออกจากหน้าต่าง จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้โล่งใจเพราะนางได้ยินข้างหลังมีเสียงพลั่กดังลั่นอีกเสียงหนึ่ง

 

 

ด้วยเพราะนางจากไป โต๊ะที่ขวางประตูอยู่ถูกกระแทกออกแล้ว

 

 

เงาคนหลายสายพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงลมพัดข้างหลัง อย่างน้อยที่สุดมีชายร่างใหญ่สองสามคนพุ่งมาทางนาง เรือนร่างนางกะพริบวูบหวังจะหายตัว ตรงหน้าพลันมืดมิด

 

 

ครู่ต่อมาได้ยินเสียงเพียะเสียงหนึ่งดังขึ้น นางถูกคนสามถึงสี่คนผลักกระแทกจนล้มลงบนพื้น ร่างร้อนผ่าวของบุรุษและลมหายใจเหม็นสาบปกคลุมลงมาหนักหน่วง

 

 

เสียงกรีดร้องอีกเสียงดังขึ้น สาวน้อยคล้ายถูกทับล้มลงเช่นกัน

 

 

ฟืนในมือถูกกระแทกลอยไปแล้ว จิ่งเหิงปัวเอื้อมมือคว้าฟืนในกองฟืนอีกครั้งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

ในเมื่อแทงพวกเขาให้ตายไม่ได้ นางจะแทงตัวเองให้ตาย!

 

 

บุรุษบนร่างมองเจตนาของนางออก หัวเราะเยาะเย้ย เอ่ยว่า “เป็นสตรีกล้าหาญนัก!” ยกมีดฟันมาทางข้อมือนาง

 

 

แสงมีดสว่างราวหิมะสะท้อนสายตาดุร้ายกระหายเลือดนับมิถ้วน

 

 

นางหลับตาลง

 

 

ฉึบ!

 

 

ไม่ใช่ความเจ็บปวดรุนแรงเสมือนจินตนาการ ไม่ใช่เสียงมีดสะบั้นข้อมือ

 

 

เป็นเสียงทึบยามกระบี่เข้าเนื้อ

 

 

“พรวด” นางยังไม่ได้เงยหน้าขึ้น รู้สึกคล้ายถูกของเหลวร้อนผ่าวอะไรสักอย่างสาดกระเซ็นทั่วใบหน้า เหนียวข้นและเหม็นคาว ไม่ต้องสัมผัสยังรู้ว่าเป็นโลหิต

 

 

นางรู้สึกโล่งใจ นอนราบกับพื้นดั่งไร้หนทางขยับเขยื้อน

 

 

เจ็ดสังหารมาถึงแล้ว

 

 

รู้สึกขึ้นมาอีกครั้งว่าผิดปกติ เจ้าเฮฮาเจ็ดคนนั้นโหวกเหวกโวยวายได้ทุกเวลา แล้วจะเงียบสงบขนาดนี้ได้ด้วยหรือ?

 

 

น้ำหนักบนร่างกายถูกนำออกไป เสียงร่างกายล้มลงพื้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดูท่าทางคนที่ทับนางไว้ตายหมดสิ้นในพริบตาเดียวนี้

 

 

มือแข็งแรงคู่หนึ่งยื่นเข้ามาสอดใต้รักแร้นางอย่างรู้กาลเทศะยิ่งนัก ประคองนางขึ้นอย่างแผ่วเบา

 

 

พอจิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาก็พลันมองเห็นคนหนึ่งซึ่งทั้งนอกเหนือความคาดหมายทั้งสมเหตุสมผล

 

 

“เถี่ยซิงเจ๋อ…” นางพึมพำว่า “เหตุใดจึงเป็นเจ้า…”