ภายห้องครัวมืดสลัว เถี่ยซิงเจ๋อมีสีหน้าละอายใจ พินิจนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างสงสาร เอ่ยว่า “ขออภัยด้วยฝ่าบาท กระหม่อมมาช้าไปแล้ว”
จิ่งเหิงปัวอยากมอบสายตาขอบคุณให้เขาครั้งหนึ่ง แต่พลันนึกถึงความสัมพันธ์ของกงอิ้นกับคนคนนี้ ในใจก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา หันหน้าออกไปเล็กน้อย
เถี่ยซิงเจ๋อเชี่ยวชาญในการเข้าใจผู้อื่นเสมอ เมื่อมองเห็นสีหน้าของนางจึงเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อคืนนี้ องค์ประกันเช่นพวกกระหม่อมต่างถูกขวางไว้รอบนอก ไร้หนทางเข้าสู่จัตุรัสหวงเฉิง…กระหม่อมส่งคนสืบค้นสถานการณ์เล็กน้อยแล้วจึงออกมาตามหาพระองค์ คิดว่าบริเวณนี้พระองค์ทรงค่อนข้างคุ้นเคย เป็นไปได้ว่าจะเสด็จมาที่นี่ เพียงไม่รู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ที่ใดกันแน่ เมื่อครู่มองเห็นดอกไม้ไฟจึงรีบตามมา…พระองค์…” เขาหยุดไปชั่วครู่ เอ่ยว่า “กระหม่อมมาช่วยพระองค์ด้วยเพราะความสนิทสนมเฉกเช่นสหายของพวกเราในกาลก่อน พระองค์คือพระองค์ กระหม่อมคือกระหม่อม พวกเราเพียงกระทำเรื่องที่ตนเองควรกระทำ ไม่เกี่ยวข้องกับ…ผู้ใดก็ตามที่เหลืออยู่”
จิ่งเหิงปัวเข้าใจความนัยของเขา เขากำลังแสดงออกว่าการที่เขาช่วยนางคือการกระทำของตนเองโดยสิ้นเชิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกงอิ้น ขอให้นางอย่าปฏิเสธความช่วยเหลือของเขาด้วยเพราะเหตุนี้
แม้จะเข้าใจ แต่ในใจรู้สึกอึดอัดมากยิ่งขึ้น นางไม่ได้กล่าวอะไร เพียงหันหน้ามองแสงสว่างสายหนึ่งตรงขอบฟ้า
พอถึงตอนนี้ ไม่มีความช่วยเหลือ ไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชา ชีวิตตนได้คนอื่นช่วยไว้ทั้งนั้น นางมีคุณสมบัติอะไรให้ไร้เหตุผลอีก จากนั้นปฏิเสธความช่วยเหลือทุกส่วนเหรอ?
นางเคยสาบานไว้ว่าจะใช้ชีวิตให้ดี
“ขอบคุณนะ” พอหันหน้ากลับมาอีครั้ง นางก็ยิ้มแย้มให้เขาเล็กน้อย
สีหน้าของเถี่ยซิงเจ๋อแลดูโล่งใจขึ้นมาโดยพลัน ประคองนางนั่งลงอย่างเอาใจใส่แล้วประคองสาวน้อยนางนั้นขึ้น เอ่ยกับจิ่งเหิงปัวว่า “เก็บกวาดสักครู่แล้วออกเดินทาง กระหม่อมจะหาวิธีส่งพระองค์เสด็จออกนอกตี้เกอ เมื่อครู่กระหม่อมสังหารคนกลุ่มนี้จนสิ้นแล้ว ทว่ายากจะรับรองได้ว่ายังมีพลไล่ล่าฝ่ายอื่น”
จิ่งเหิงปัวก้มหน้ามองดูศพบนพื้น ไม่ใช่เครื่องแบบของทหารคั่งหลงหรือทหารอวี้จ้าว ไม่ใช่แม้กระทั่งเครื่องแบบทางการของสำนักตี้เกอด้วย เสื้อผ้าที่คนเหล่านี้สวมใส่คือชุดคล่องแคล่วธรรมดา มองไม่รู้ฐานะด้วยซ้ำ
“นี่คือกำลังคนจากฝั่งใด”
“มองไม่ออก” เถี่ยซิงเจ๋อมองอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “อำนาจในตี้เกอซับซ้อน หลายตระกูลต่างมีทหารส่วนตัว ผู้ใดก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะ นั่นสิ ใครก็เป็นไปได้ทั้งนั้น คนครึ่งราชสำนักแม้แต่ผู้ปกครองสูงสุดยังเป็นศัตรูของนางเลย เถ้าแก่ของหลงเซิ่งจี้คนนั้นเปิดร้านที่ตรอกซีเกอ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเป็นธุรกิจลับของตระกูลใหญ่โตสักตระกูล แค่รายงานสักหน่อยย่อมมีมือสังหารกลุ่มใหญ่มาแล้ว
“เช่นนั้นเจ้าไปกับข้าเถิด” จิ่งเหิงปัวมองดูสาวน้อยคนนั้นอย่างกังวล สถานที่สุดท้ายที่ผู้สืบค้นเหล่านี้เข้าไปคือบ้านของสาวน้อย เรื่องราวต่อจากนี้ ขอเพียงตั้งใจเล็กน้อยย่อมค้นหาจนเจอได้ พอถึงตอนนั้นพี่สาวน้องชายสองคนนี้คงต้องประสบหายนะอีกครั้ง
สาวน้อยชะงักไปชั่วครู่คล้ายนึกเรื่องใดขึ้นมาได้ รีบเปิดประตูอุโมงค์เรียกหาน้องชาย คราวนี้ผู้อ่อนวัยปัญญาอ่อนคนนี้ถึงได้ปีนออกมา เชื่อฟังมากเหลือเกิน
พอเถี่ยซิงเจ๋อมองเห็นผู้อ่อนวัยคนนั้นออกมา เขาก็ชะงักไปก่อนชั่วครู่ จากนั้นก็ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่งเอื้อมมือหวังช่วยลากขึ้นมา
ทว่าผู้อ่อนวัยปัญญาอ่อนคนนั้นพลันร่นถอยหลัง มองดูดวงตาของเขาอย่างหวาดกลัว ส่ายหน้าต่อเนื่อง
สาวน้อยมองเถี่ยซิงเจ๋อผู้หล่อเหลาห้าวหาญปราดหนึ่ง สีหน้าแดงระเรื่อ รีบร้อนปลอบน้องชายว่า “เจ้ากลัวสิ่งใดกันเล่า ท่านนี้คือผู้มีพระคุณที่ช่วยพวกเราไว้…”
ทว่าผู้อ่อนวัยคนนั้นคล้ายหวาดกลัวเถี่ยซิงเจ๋อยิ่งนัก ท่าทางหวังปีนลงไป สาวน้อยกังวลจนไม่มีทางเลี่ยง เอ่ยกับเถี่ยซิงเจ๋อว่า “เขากลัวโลหิต…”
เถี่ยซิงเจ๋อมองดูรอยโลหิตที่สาดย้อมทั่วร่างตนเองอย่างจนปัญญา หัวเราะพลางเดินออกไป ผู้อ่อนวัยคนนั้นถึงปีนออกมาจากอุโมงค์ เพียงแต่ยังคงหลีกเลี่ยงเขา
ตอนนี้จิ่งเหิงปัวแค่อยากจะรีบออกไป นางหันหลังเดินออกนอกประตู กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “พวกเรารีบไป…”
ฝีเท้าของนางหยุดชะงักทันที
เบิกตากว้าง
ตื่นตระหนกด้วยมองเห็นแสงกระบี่ผืนใหญ่ผืนหนึ่ง!
แสงกระบี่พุ่งมาในทันใดดุจคลื่นซ้อนคลื่น ม้วนผมยาวของนางขึ้นดังฟึ่บ ข้ามผ่านแก้มของนาง เฉียดผ่านผิวกายของนาง หลงเหลือความรู้สึกขนลุกขนชันตื่นเต้นเร้าใจทั่วร่างให้นางแล้วมุ่งสู่…เถี่ยซิงเจ๋อ
“เฮ้ย! เจ้าหัวขโมยปล่อยมือ!”
เสียงนี้!
จิ่งเหิงปัวไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ เอื้อมแขนขวางไว้ ร้องว่า “หยุดนะ!”
แสงกระบี่มาดุจกระแสน้ำถอยดุจสายลม ถอยออกจากเบื้องหน้านางดังสวบ พร้อมด้วยเสียงตึงตังๆ จากร่างกายล้มลงไปข้างหลังติดต่อกันหลายระลอก รวมทั้งเสียงก่นด่าโจมตีซึ่งกันและกัน
“แม่งเอ้ย พี่ใหญ่เจ้าถอยหลังด้วยเหตุใด!”
“ภรรยาบอกให้ข้าถอย!”
“เจ้าสามเจ้าทับหน้าอกข้าแล้ว!”
“เจ้าหกเจ้าเหยียบมือข้าแล้ว!”
“เจ้าเจ็ดหยุดนะ เจ้าล้วงกระเป๋าข้าทำไม!”
“ฮ่าๆๆ เจ้าสี่เจ้าไม่ใส่กางเกงในอีกแล้ว!”
“พวกเจ้ามันฝูงบุรุษน่าขยะแขยง!”
…
เสียงด่าทอสับสนวุ่นวายแว่วมา แต่ดวงตาของจิ่งเหิงปัวกลับเปียกชื้นขึ้นมาในครู่เดียว
นางยืนอยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย มองดูคนกลุ่มหนึ่งที่วิ่งเข้ามาอย่างสับสนวุ่นวาย เฟยเฟยขนม่วงเดินอยู่บนหัวไหล่ของพวกเขา เจ้าหมาโง่ขนหลากสีพลอยร้องด่าไปด้วย ข้างหลังฝูงชนสาวน้อยสองนางวิ่งออกมาอย่างตื่นตระหนก แหวกชายร่างใหญ่กลุ่มนี้ออกแล้วพุ่งเข้ามาอย่างร้อนใจ พวกนางคือจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ย
ทุกคนต่างกำลังเอะอะโวยวายและร้องตะโกน ท่วงท่าและสีหน้าหลากหลาย ทว่าแววตาทอดลงบนร่างนางอย่างแนบแน่น
คนแม่งโคตรเยอะเลย…
จิ่งเหิงปัวทั้งอยากหัวเราะทั้งอยากร้องไห้ อยากหัวเราะลั่นเสียงหนึ่งแล้วกล่าวว่าในที่สุดพวกเจ้าก็มากันครบแล้ว ซ้ำยังอยากก่นด่าเสียงหนึ่งว่าทำไมพวกเจ้าเพิ่งมากันตอนนี้ หรือนางอาจจะไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น เพียงอยากมองดูคนกลุ่มหนึ่งนี้ยืนอยู่เบื้องหน้านางโดยไม่ขาดใครไปแม้แต่คนเดียว
สีหน้าของนางอาจจะแปลกประหลาดเกินไป ทำให้จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยยืนนิ่ง เจ็ดสังหารกับเทียนชี่หยุดทะเลาะวิวาท ฝูงชนค่อยๆ เงียบสงบลง
ท่ามกลางความเงียบสงัดประหนึ่งทุกคนหยุดหายใจ นางค่อยๆ ยื่นมือออกมาคล้ายยื่นมาทางทุกคน ซ้ำยังคล้ายยื่นไปทางสวรรค์
“ดีจัง อยู่ครบ…”
จากนั้นนางโซซัดโซเซ ล้มลงบนพื้น
เมื่อจิ่งเหิงปัวฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ได้กลิ่นมันฝรั่งและผักกาดขาวที่คุ้นเคย แทบจะนึกว่าตนเองกลับไปยังอุโมงค์อีกครั้ง
จากนั้นนางจึงได้สติขึ้นมา รู้สึกว่าใต้ร่างกายสั่นไหวสั่นสะเทือน ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดแว่วมาบ่อยครั้ง คล้ายตนเองกำลังนอนอยู่บนรถเข็นคันหนึ่ง
บนร่างกายคลุมด้วยกระสอบป่าน นางมองเห็นรำไรผ่านร่องกระสอบป่านว่ารอบด้านมีฝูงชนจ้อกแจ้กจอแจ ตำแหน่งของตนเองอยู่ข้างใต้อย่างยิ่ง ไม่เหมือนอยู่บนรถเข็น แต่เหมือนใต้รถเข็นมีลิ้นชักลับ นางอยู่ในลิ้นชักลับนั้น
เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูนางกะทันหัน
“พี่ต้าปัว” ยงเสวี่ยกระซิบว่า “ประตูจิ่วถูกปิดหมดแล้ว ยามนี้ออกนอกเมืองยากยิ่งนัก เถี่ยซื่อจื่อหาชุดเกราะเครื่องแบบของทหารคั่งหลงที่แลกคืนไว้ทุกปีมา ให้พวกเราแต่งกายเป็นทหารคั่งหลงกลุ่มเล็กที่เข้ามาซื้อเสบียงอาหารเพื่อออกนอกเมือง ยามนี้มีเพียงกองทัพและขุนนางที่มีป้ายผ่านทางถึงออกนอกเมืองได้ พี่ไม่ต้องหวาดกลัวไม่ต้องขยับเขยื้อน เพียงนอนหลับที่นี่สักตื่นก็พอแล้ว”
จิ่งเหิงปัวพยักหน้าแผ่วเบาแสดงว่ารับรู้ รู้สึกประหลาดอยู่บ้างที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องสายฮายังควบคุมสถานการณ์ได้ในช่วงเวลาสำคัญ นางยังนึกว่าเจ้าเฮฮาฝูงนี้จะทุบประตูเหยียบวงล้อไฟพานางออกไปด้วยซ้ำ
ความคิดยังไม่ทันแล่นเสร็จพลันได้ยินอีชีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเอ่ยว่า “ภรรยา ตามความเห็นของข้า หากแบกเจ้าออกไปเช่นนี้ โลกหล้านี้ยังมีกำแพงเมืองที่ขวางข้าเจ็ดสังหารไว้ได้อีกหรือ? ทว่าเจ้าก้อนเหล็กเอ่ยว่าทหารคั่งหลงอยู่บริเวณนี้ หากรบกวนกองทัพใหญ่พวกเราเจ็ดสังหารจักต้องลงมืออยู่หลายชั่วยาม พอถึงยามนั้นย่อมดูแลเจ้าไม่ได้ ข้าฟังแล้วคิดว่าวาจานี้มีเหตุผลนิดหน่อย พวกเราปลอมตัวออกไปก่อน คราวหลังข้าจะต้องทลายกำแพงเมืองระบายความแค้นให้เจ้าแน่”
จิ่งเหิงปัวหยิกนิ้วมือของเขาผ่านกระสอบป่านบอกใบ้ว่าแบบนี้ดีแล้ว อีชีทำตามหน้าที่ด้วยท่าทางยิ้มแย้มเบิกบาน
คนแถวหนึ่งลากรถเข็นผักสิบคันแล่นกุกกักไปข้างหน้า พืชผักเหล่านี้ต่างเป็นสิ่งของที่ราษฎรบริเวณตรอกซีเกอและตรอกหลิวหลีนั้นมอบให้ด้วยความฉุกละหุก
จิ่งเหิงปัวฟังรถเข็นแล่นไปข้างหน้า ตรงประตูเมืองกำลังเข้าแถวตรวจตรา ผ่านไปไม่นานมาถึงตรงนี้อย่างรวดเร็ว ทหารเฝ้าประตูคล้ายไม่ได้เกิดข้อสงสัยต่อขบวนนี้มากมายเพียงใด อย่างไรเสียทหารคั่งหลงกลุ่มเล็กที่เข้าเมืองมาซื้อเสบียงมีทุกวันอยู่แล้ว ป้ายคำสั่งที่เถี่ยซิงเจ๋อหยิบออกมาก็ครบครันเช่นกัน
ทหารเพียงมองอย่างลวกๆ นิดหน่อยแล้วปล่อยให้เดินทาง ทุกคนถอนหายใจเฮือกหนึ่งกำลังจะจากไป แต่พลันมีขุนพลนายหนึ่งเดินเข้ามามองดูรถเข็น ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหตุใดพืชผักเหล่านี้ปะปนกันมั่วซั่วขนาดนี้?”
หัวใจของทุกคนเต้นดังตึกตัก นี่คือช่องโหว่เพียงหนึ่งเดียวโดยแท้ ผักรวบรวมมาจากหลายแห่ง ส่วนผักที่กองทัพซื้อต่างมีหลายพันธุ์ ทุกพันธุ์มีจำนวนมากยิ่งนัก
โชคดีที่ขุนพลคนนั้นเพียงเอ่ยขึ้นมาเท่านั้น เพ่งมองผักบนรถเข็นปราดเดียว เอ่ยชมว่า “มะเขือม่วงนี้ดูมีน้ำมีนวล ผักกาดขาวดูหนาอวบเช่นกัน ทางข้านั้นต้องการทำมะเขือม่วงตากแห้งกับผักกาดดองพอดี เข็นหลายคันนี้ไปในจวนข้า”
เหล่าทหารไม่ได้สนใจเช่นกัน นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพยึดผักสดของค่ายทหารเล็กน้อยไม่นับว่าเป็นเรื่องราวใหญ่โต ยามนั้นจึงมีคนมาเข็นรถ หนึ่งในนั้นรวมทั้งรถของจิ่งเหิงปัวคันนั้นด้วยพอดี
เจ็ดสังหารเบิกตากว้าง ต่างคนต่างจะหยิบอาวุธออกมา แต่เถี่ยซิงเจ๋อพลันก้าวขึ้นมาข้างหน้า
“ท่านแม่ทัพ” เขาเอ่ยอย่างสุขุมว่า “ขออภัยด้วย เกรงว่าผักเหล่านี้ไม่อาจมอบให้ท่านได้”
“หา?” ขุนพลคนนั้นขมวดคิ้วขึ้นคล้ายนึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าหักหน้าเขา สายตามีไอดุร้ายกะพริบวูบ
เถี่ยซิงเจ๋อขยับเข้าใกล้เขาอย่างเงียบเชียบ เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ผักพวกนี้ปะปนกันด้วยเพราะนี่คือผักที่ผู้บัญชาการเฉิงสั่งไว้” เขายิ้มแย้ม เอ่ยสืบต่อว่า “ท่านคงรู้ว่าช่วงนี้ท่านผู้บัญชาการสูญเสียบุตรชาย จำเป็นต้องสมรสฮูหยินหรูคนใหม่เข้าจวนอีกครั้ง ฮูหยินหรูชอบทานมะเขือม่วงตากแห้ง นี่คือผักที่จะส่งไปให้นาง”
ความสงสัยในสายตาของขุนพลพลันหายไป สีหน้าท่าทางกระดากอายเล็กน้อย เอ่ยว่า “ที่แท้เป็นผู้ไว้ใจใกล้ชิดของผู้บัญชาการ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถิด”
เรื่องที่เฉิงกูมั่วตบแต่งอนุภรรยาเป็นความลับยิ่งนัก นอกจากคนไว้ใจของเขาและทหารคั่งหลงระดับสูงแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ ขุนพลคนนี้หายสงสัยแล้ว ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง เพียงแต่สีหน้าบนใบหน้ายังคงไม่สู้ดีเพียงใด
เถี่ยซิงเจ๋อยิ้มแย้มเล็กน้อย หันหลังโบกมือบอกใบ้ว่าผ่านด่านแล้ว
ทว่าขุนพลนายนั้นมีนิสัยไม่ยอมเสียเปรียบ คิดไปคิดมายังรู้สึกว่าไม่พอใจ เหลือบมองยามรถเข็นแล่นผ่านข้างกาย หอกยาวในมือพลันแทงไปยังรถเข็น เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “กองกันกระจัดกระจายขนาดนี้ พวกเจ้ามีสิ่งของที่ยักยอกเอาไว้หรือเปล่า!”
รถเข็นที่เขาแทงเข้าไปคือรถเข็นของจิ่งเหิงปัวคันนั้น!
ยงเสวี่ยกับจื่อหรุ่ยแทบจะอุทานอย่างตกตะลึง
หอกยาวแทงลงมาปานสายฟ้าแลบ เทียนชี่ที่เดินอยู่ข้างรถเข็นยกมือขึ้นโดยพลัน กุมด้ามหอกไว้ในครั้งเดียว ขุนพลนายนั้นแย่งกลับมา แย่งครั้งเดียวไม่ขยับเขยื้อน ใบหน้าแดงก่ำยื้อแย่งอีกครั้ง เทียนชี่พลันปล่อยมือ
ขุนพลถูกแรงตนเองผลักกลับมา โซเซหลายก้าวแล้วล้มลงนั่งบนพื้น กองโคลนเลนเศษหิมะตรงประตูเมืองกระเซ็นขึ้นมา
คราวนี้ทุกผู้คนต่างมองมา
“แย่แล้ว! พวกเจ้าแย่แล้ว!” ขุนพลคนนั้นมีสีหน้าแดงก่ำ ชี้ไปยังทุกคน ร้องว่า “จับตัวไว้! จับตัวไว้!”
อีชีถอนหายใจ พึมพำว่า “เอ่ยแต่แรกแล้วว่าให้สู้ออกไป ต้องมาเสียเวลาทำเรื่องราวเช่นนี้…” เอื้อมมือหยิบอาวุธจากใต้รถเข็น
เสียงป่าวร้องดังขึ้นโดยพลัน
“ราชครูมาเยือน…”