ตอนที่ 102 พูดเป็นต่อยหอย

จ้าวเหวินเทาไม่รู้ว่าภายในใจของเหล่าไป๋โถวพึงพอใจเขาขนาดนี้ ทั้งยังอยากได้เขาเป็นลูกชายด้วย

เขามองดูผู้คนที่กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น หลังเนื้อและกระดูกถูกตัดออกมาแล้วพวกเด็กหนุ่มที่ถูกเลือกเหล่านั้นก็ทำหน้าที่กันอีกครั้ง

สับเนื้อ ชั่งน้ำหนัก ก่อนแบ่งเนื้อให้แต่ละบ้าน

ระหว่างขั้นตอนนี้ เครื่องในทั้งสี่กะละมังเหล่านั้นก็จะถูกนำเข้าไปในบ้านเพื่อทำความสะอาด

คุณพ่อจ้าวและพวกคนแก่แบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละสามคน ก่อนอื่นต้องรีดน้ำมันออกมาจากเครื่องในก่อน ขั้นตอนนี้มีความสำคัญมาก หากรีดออกมาได้ไม่ดีมูลที่อยู่ด้านในจะไหลออกมาปน ทุกสิ่งก็จะสูญเปล่า ต่อให้เป็นของหายากแต่ก็ไม่มีใครเอามันเข้าปากอยู่ดี

หลังจากบีบน้ำมันออกมาแล้ว ยังต้องคลี่ไส้ออก เพื่อเทของเสียที่อยู่ในนั้นออกมา ระหว่างนั้นก็กลับไส้ด้านในออกมาข้างนอก

นี่เป็นงานใช้ทักษะ หนึ่งคนถือส่วนหัวของไส้นั้นไว้ ส่วนอีกคนถือปลายของไส้ทางฝั่งนี้ ตอนที่เทออกก็ใช้ก้านข้าวฟ่างนำมาล้อมเป็นสามเหลี่ยม ยึดส่วนหัวของไส้ไว้ จากนั้นก็ยืนอยู่ที่สูงเพื่อเทของเสียออกมา ก่อนจะกลับพลิกไส้ออกข้างนอก

หลังจากพลิกนำด้านในไส้ออกมาแล้วก็เป็นงานทำความสะอาดซึ่งเป็นงานของผู้หญิง ใช้น้ำร้อนล้าง 3-4 ครั้ง หลังจากล้างจนสะอาดแล้วก็กรอกเลือดหมูเข้าไป ต้มออกมาก็จะเป็นไส้กรอกเลือดหมู

การกรอกให้เป็นไส้กรอกเลือดหมูก็ต้องมีทักษะเช่นกัน หากกรอกไม่ดีก็อาจจะเสียได้ งานนี้ไม่สามารถทำคนเดียวได้ เพราะต้องมีอีกคนผูกแบ่งเป็นเปลาะด้วยเชือกป่าน

จ้าวเหวินเทาคิดว่าไม่มีอะไรทำ เขาจึงมาผูกเชือกป่าน

งานนี้ต้องใช้ความว่องไวมาก เขาเป็นพวกขี้เกียจ มาที่นี่ก็กิน ๆ ดื่ม ๆ ก็ถือโอกาสทำงานสักหน่อย แบบนี้ก็มีเหตุผลเวลารับประทานแล้ว

อีกอย่างก็คือ เขาเองก็ชอบสถานการณ์ที่คึกคักแบบนี้

“มา ๆ ขอทางหน่อย ๆ!” จ้าวเหวินเทามัดเชือกป่านที่ไส้กรอกเสร็จแล้ว เขาก็โยนเข้าไปในกะละมังใหญ่ของห้องครัวด้วยสองมือ เพื่อรอให้มันลงกระทะ

“จ้าวเสี่ยวลิ่ว ได้ยินมาว่าเธอรวยแล้ว ซื้อรถแล้วเหรอ?” ป้าคนหนึ่งที่กำลังล้างผักกาดขาวเห็นเขา พลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

จ้าวเหวินเทายิ้ม “ป้าเพิ่งรู้เหรอ ผมรวยตั้งนานแล้วเถอะ ซื้อรถแล้วยังไงล่ะ ผมเตรียมจะซื้อเครื่องบินแล้วนะ”

“ไม่มีการถ่อมตนเอาเสียเลย ดูสิว่าเธอจะทำได้ไหม ยังจะซื้อเครื่องบินอีก ทำไมไม่ซื้อปืนใหญ่ซะเลยล่ะ?” ตุณป้าด่าเคล้ารอยยิ้ม

“จะไปอยากได้ของแบบนั้นทำไมครับ ไม่เห็นจะสวยเลย” จ้าวเหวินเทามองนางที่กำลังล้างผักกาดขาวแห้ง กล่าวว่า “ป้า นี่ล้างไปกี่ครั้งแล้วเนี่ย ตอนกินอย่าให้มีทรายเต็มคำเชียวนะ”

“อีกเดี๋ยวฉันจะให้เธอได้กินทรายแน่” คุณป้าเอ่ยพลางทำท่าจะเตะเขา

“ขาของป้าว่องไวมีพลังมากเลยนะครับ เหมือนกับพวกสาว ๆ เลย” จ้าวเหวินเทาหลบอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านพลางหัวเราะร่า

“ไอ้เด็กสารเลวคนนี้ นับวันยิ่งเหลวไหลขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว” แม้ว่าปากของตุณป้าคนนั้นจะก่นด่า ทว่านางกลับไม่ได้รู้สึกโกรธ ซ้ำยังรู้สึกมีความสุขมาก ขาของนางไม่ต่างอะไรกับสาวน้อยพวกนั้นเลยนะ

“คนที่วิ่งค้าขายแบบนี้ช่างเจรจาดีนะ” คุณป้าอีกคนก็กล่าวขึ้น

“ก่อนหน้านี้จ้าวเสี่ยวลิ่วคนนี้ก็ช่างพูดมากเลยนะ ตอนนี้ยิ่งช่างเจรจาเข้าไปใหญ่!” อีกคนก็กล่าวพลางหัวเราะ

“ถือว่าไม่เลวนะ เจ้าเด็กคนนี้ปากดีเหลือเกิน ส่วนลูกชายซื่อสัตย์ไม่ค่อยพูดของฉันคนนั้นน่ะนะ ขนาดด่าภรรยายังไม่กล้าด่าเลย!”

“ม้าที่ดีขึ้นย่อมมีฝีเท้าเป็นเลิศ ส่วนคนที่ดีก็มีฝีปากเป็นเอกนี่แหละ พูดดีก็ได้กินของอร่อยไง”

“ถือว่าไม่เลวเลย เธอดูจ้าวเสี่ยวลิ่วคนนี้สิมีปากแบบนี้ทำให้คนชอบตั้งเยอะแยะขนาดไหน แม่ยายของเขาเองก็ยังพอใจเขาโดยเฉพาะเลยนะ ครั้งก่อนกลับมาเยี่ยมลูกสาวก็หิ้วไข่เป็ดมาด้วย คราวที่แล้วที่รู้ว่าภรรยาท้อง ฉันเห็นเขาก็หิ้วตะกร้าไข่ไก่กลับมาจากข้างนอก พอถามถึงได้รู้ว่าเป็นไข่ไก่ที่แม่ยายให้มา!”

“ถ้าจะให้พูดว่าโชคชะตาของใครดี ก็ต้องเป็นจ้าวเสี่ยวลิ่วนี่แหละ”

“พวกเธอดูสิ ผักกาดขาวแห้งเหล่านี้คงพอกินแล้วนะ?”

“เติมอีกหน่อยเถอะ พวกผู้ชายกระเพาะใหญ่กันทั้งนั้น เนื้อมีไม่พอก็ต้องพึ่งผักแล้ว!”

พวกป้า ๆ พูดคุยไปพลาง ก็ทำงานกันต่อไป

จ้าวเหวินเทาใช้เวลาไม่นานก็ถือไส้กรอกเลือดที่กรอกเลือดไว้อย่างดีนำออกมาส่ง ท่าทางยิ้มตาหยีของเขาทำให้พวกป้า ๆ สูงวัยกลุ่มนี้ชื่นชอบเป็นแถว ๆ ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็มีรถสามล้อเครื่องยนต์ให้ขับแล้ว ใช่ว่าจะเป็นคนไม่เอาถ่านสักหน่อย

นอกจากเขาแล้ว ก็ยังมีเด็กหนุ่มอีกสองสามคนที่เข้ามาช่วย

คนที่มาที่นี่ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็ออกตัวหางานทำกันทั้งนั้น แบบนี้ก็ทำให้เกิดความมั่นใจระหว่างรับประทานอาหารด้วย ลดปัญหาเรื่องที่อาจจะถูกคนนินทาว่าไม่ยอมช่วยงานแต่ดันมากินเปล่าๆ ได้

“พี่หกจ้าว พี่วิ่งไปค้าขายคงได้เงินมาไม่น้อยเลยสินะ แถมยังซื้อรถแล้วด้วย?” เด็กหนุ่มสองสามคนถามจ้าวเหวินเทา

จ้าวเหวินเทาจะพูดกับพวกป้า ๆ เหล่านั้นอย่างไรก็ย่อมได้ แต่กับคนพวกนี้เขาไม่ได้พูดเล่นแล้ว “รถคันนั้นเป็นรถที่พี่ชายสามของภรรยาเป็นคนซื้อ ไม่ได้เป็นรถที่ฉันซื้อสักหน่อย”

ที่จริงทุกคนต่างก็ทราบดีว่ารถคันนี้จ้าวเหวินเทาไม่ได้เป็นคนซื้อ ก็แค่เปิดบทสนทนาด้วยการถาม ๆ ดู

“พี่หก พวกพี่ทำค้าขายพวกนี้ได้เงินไหม?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งถาม

“เรื่องนี้จะพูดยังไงดีล่ะ?” จ้าวเหวินเทาครุ่นคิด กล่าวว่า “ถ้าพึ่งพาขาตัวเองวิ่งเข้าเมือง นอกจากตัวเองจะเหนื่อยนิดหน่อยแล้วก็ไม่ได้ใช้เงินทุนมากมายอะไร ได้เงินมันก็ได้อยู่แล้ว แต่มันอยู่ที่ว่าจะได้เท่าไรนี่แหละ แต่ฉันกับพี่สามของภรรยาฉันพึ่งพารถสามล้อเครื่องยนต์คันนั้น เงินทุนจึงสูงมาก แต่ละวันใช้เงินจ่ายค่าน้ำมันไปไม่น้อยเลย บางครั้งค้าขายไม่ดี เงินค่าน้ำมันก็ยังไม่คืนทุนเลย ตอนนี้ฉันกับพี่สามของภรรยาก็ทำได้แค่พยายามดึงเงินทุนกลับมา ก็ต้องลองดูว่าจะสามารถดึงเงินทุนกลับมาได้หรือเปล่า”

“พี่หกจ้าว พวกพี่ซื้อรถสามล้อเครื่องยนต์แบบนี้กลับมา ไม่กลัวขาดทุนเลยเหรอ?” เด็กหนุ่มถาม

“จะไม่กลัวได้ไงล่ะ นี่ก็นอนหลับไม่เต็มตื่นมาตั้งหลายคืนแล้ว แต่พี่สามของภรรยาเป็นคนใจกล้า เขาอยากทำฉันก็เลยทำด้วย เขาเองก็ขาดผู้ช่วยอยู่พอดี มาคิด ๆ ดูแล้ว ฉันเองก็เป็นแค่ลูกมือให้กับเขาเท่านั้นแหละ” จ้าวเหวินเทากล่าว

จะพูดความจริงออกไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด สถานการณ์ภายในหมู่บ้านเป็นอย่างไรจ้าวเหวินเทารู้ดีเป็นพิเศษ คิดว่าตัวเองยากจนกลัวว่าคนอื่นร่ำรวย เสแสร้งทำเป็นยากจนนี่แหละถูกต้องแล้ว

“แต่จะว่าไปพวกพี่หกจ้าวนี่ก็กล้าหาญมากจริง ๆ นะ ถ้าเป็นเหมือนกับเมื่อก่อน ก็คงไม่ให้ทำค้าขายแล้วมั้ง?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าว

จ้าวเหวินเทาได้ยินคำพูดนี้ จึงกล่าวว่า “นายพูดถูก เรื่องนี้มีความเป็นไปได้จริง ๆ แต่ฉันก็ยังคิดว่าคงไม่เป็นอย่างหลี่เฉียจื่อนั่นแล้วล่ะ ถ้าพวกนายไม่มีอะไรทำก็ลองไปเดิน ๆ ในอำเภอให้มาก ๆ สิ ตอนนี้กระแสนิยมของสังคมไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้วนะ ในอำเภอไม่ได้ห้ามทำค้าขาย ประเทศของพวกเราใหญ่ขนาดนี้ก็คงไม่ได้ให้ทำวันนี้แล้วยกเลิกวันพรุ่งนี้หรอก แบบนี้เขาเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่ใช่เหรอ? ดูเหมือนกับอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็แน่นอนว่า ทำค้าขายก็ต้องมีขาดทุนและได้กำไร เรื่องนี้ก็ต้องอยู่ที่ตัวเองแล้วล่ะว่าคิดยังไง”

เด็กหนุ่มสองสามคนต่างก็ครุ่นคิด

มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวว่า “พี่หกจ้าว เล่าให้ฟังเพิ่มอีกหน่อยสิ ได้ยินพี่พูดแล้วน่าสนใจดีนะ ก่อนหน้านี้พี่คิดยังไงถึงได้ไปค้าขายล่ะ?”

“ฉันคิดยังไงงั้นเหรอ?” จ้าวเหวินเทายิ้ม “ฉันเป็นพวกไม่มีพละกำลังไง ฉันทำนาไม่ไหวหรอก ถ้าไม่วิ่งออกไปค้าขายข้างนอกฉันจะเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัวยังไง?”

“พี่หกจ้าว พี่พอเถอะ ตอนพี่ทะเลาะกับคนอื่นถ้าไม่มีคน 2-3 คนก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของพี่ได้ ไม่มีพละกำลังที่ไหนกัน!” พวกเด็กหนุ่มกล่าวเคล้ารอยยิ้ม

พวกเขาเคยเห็นจ้าวเหวินเทาทะเลาะชกต่อย อีกฝ่ายมีพี่น้องสองสามคนร่วมมือกันก็ยังไม่ทำให้เขากลัวเลย!

จ้าวเหวินเทาหัวเราะร่า “ได้ ๆๆ ฉันจะพูดความจริงกับพวกนายก็ได้ ฉันก็แค่ไม่อยากจน ฉันอยากกินของอร่อยทุกวัน!”

“ฮ่า ๆ!”

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนถึงกับหัวเราะออกมา พวกคนแก่ที่บีบน้ำมันจากไส้อยู่ข้าง ๆ ก็หัวเราะออกมา พูดกับคุณพ่อจ้าวว่า “ลูกชายคนเล็กของนายคนนี้พูดจาเป็นต่อยหอยเลยนะ แต่ก็ถือว่าพูดเรื่องจริง!”

…………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เป็นพระเอกที่ปากแจ๋วกวนส้นคนอื่นฉีกขนบพระเอกของอาจารย์หนานฟางฯ มากค่ะ แต่ก็เป็นคนมีหัวคิดอยู่นะ

ไหหม่า(海馬)