ตอนที่ 333 บ้า! หน้าตา! กล้องวงจรปิดของทางฝั่งฉินฮั่นชิว

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

หลินซือหรานถือเชือกดำไว้ในมือ เมื่อมองจากที่ที่ฉินหร่านยืน จะให้เห็นได้ว่าเชือกดูหนาไปหน่อย มีความแวววาวของโลหะ

เฉิงมู่ที่ยืนข้างฉินหร่านมองเชือกด้วยความตกใจ “เชือกหนาขนาดนี้เลยเหรอ?”

แมวตัวเดียวจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้?

“มี่มี่ ลงมา!” หลินซือหรานเรียกชื่อ เงาดำขนาดใหญ่กระโดดลงมาจากเบาะหลังทันที

เฉิงมู่กับเฉิงจินรู้สึกได้ถึงรังสีอันตราย จึงถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ

เฉิงเจวี้ยนหรี่ตา เขายื่นมือมารั้งตัวฉินหร่านไว้เพื่อให้หลีกไปด้านข้าง

มี่มี่ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาของเฉิงเจวี้ยน ไม่กล้ากระโจนเข้ามา

“มี่มี่ นั่งดีๆ !” หลินซือหรานพูดเสียงดัง

เงาดำที่โผบนอากาศหยุด จากนั้นก็นั่งลงตรงหน้าหลินซือหรานอย่างเคร่งครัด

“นี่ก็คือมี่มี่?” เฉิงมู่มองหลินซือหรานกับมี่มี่ที่อยู่ข้างๆ เธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

หลินซือหรานตบหัวมี่มี่เบาๆ ยิ้มร่า “ก็ใช่น่ะสิ แปลกตรงไหน?”

เฉิงมู่ “…”

ก็ไม่ใช่ว่าแปลกอะไรหรอก ถ้าเธอเรียกหมาตัวนึงว่ามี่มี่ก็ถือว่าแล้วไป แต่ทำไมเธอถึงเรียกหมาทิเบตที่สูงถึงหนึ่งเมตรด้วยชื่อแมวแบบนี้ล่ะ ? !

หมาทิเบตที่โผล่พรวดมานั่งข้างหลินซือหรานสูงเกือบหนึ่งเมตร มีแผงคอดำสนิทอยู่บนตัว สะท้อนแสงเย็นๆ เสียงร้องโหยหวน หัวเหมือนสิงโต ดวงตาที่แหลมคมของมันเป็นสีทองเล็กน้อย

กรงเล็บอันแข็งแกร่ง มีความคล่องตัว

ทั้งดุดันทั้งโหดเหี้ยม

คนรอบๆ ต่างอดไม่ได้ที่จะอยู่ห่างจากมันไปหนึ่งกิโลเมตร

“หร่านหร่าน มี่มี่เป็นไงบ้าง?” หลินซือหรานคุยกับฉินหร่านอยู่สักพัก

ฉินหร่านแตะคาง พยักหน้าช้าๆ “ใช้ได้ เลี้ยงดีทีเดียว”

ขณะที่พูด เธอก็หยิบตั๋วที่พับแบบลวกๆ ออกมาจากกระเป๋าแล้วยัดไปที่กระเป๋าเสื้อหลินซือหรานโดยตรง

“เล่นอะไรเนี่ย?” หลินซือหรานควานกระเป๋า

ฉินหร่านโบกมือให้เธอ “ไปนะ”

เฉิงจินกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งในขณะนี้ เขามองไปที่เฉิงมู่พลางกระซิบถาม “เพื่อนคุณฉิน เป็น… เป็นแบบนี้กันหมดเลยเหรอ?”

เฉิงมู่รับกระถางดอกไม้ที่คุณพ่อหลินยื่นให้เขา

เมื่อได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองเฉิงจินอย่างเงียบๆ ——

เพื่อน นายเคยเห็นทหารรับจ้างที่จู่ๆ ก็ไปย่างเนื้ออย่างว่าง่ายท่ามกลางการรบราฆ่าฟันหรือยัง?

เฉิงมู่ตบไหล่เฉิงจิน เขาย้ายกระถางไปที่ท้ายรถด้วยความระมัดระวัง

**

หลังจากคุยกับหลินซือหรานแล้ว ฉินหร่านก็กลับไปขึ้นรถ

“คุณฉิน คุณจะไปไหนครับ?” เฉิงจินบิดกุญแจตรงฝั่งที่นั่งคนขับ

ฉินหร่านก้มหน้าดูเวลาในโทรศัพท์ ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว “กลับถิงหลาน”

แม้ปีแรกจะมีกฎเกณฑ์การกลับหอพัก แต่สำหรับฉินหร่านแล้ว มีเท่ากับไม่มีเพราะคณบดีเจียงค่อนข้างผ่อนปรนให้เธอ

เฉิงเจวี้ยนที่นั่งอยู่อีกด้านเม้มริมฝีปากเล็กน้อย หันมองไปทางฉินหร่าน มือข้างหนึ่งประคองศีรษะ อีกข้างหนึ่งเล่นโทรศัพท์อย่างเอื่อยเฉื่อย

บนหน้าจอโทรศัพท์ยังคงเป็นหน้าสนทนา——

(ทำอะไร?)

——

(มาพบใครบางคน)

ถ้าเป็นแบบนี้ก็ถือแล้วว่าแล้วไป เฉิงเจวี้ยนเลื่อนลงมาข้างล่าง ฉินหร่านส่งข้อความสุดท้ายช้าไปหนึ่งประโยค——

(หล่อกว่าในทีวีอีก)

บ้า! หน้าตา!

เฉิงเจวี้ยนคิดอยู่นานก็ควักบุหรี่ออกจากกระเป๋า คราวนี้ไม่ได้จุด แค่ค่อยๆ ใช้ฟันบดขยี้

พอมาถึงถิงหลาน

เฉิงจินจอดรถที่หน้าประตู เฉิงเจวี้ยนลงจากรถพร้อมฉินหร่าน เฉิงจินขับรถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน

ฉินหร่านหลุบหน้าเดินตามเฉิงเจวี้ยนไปอย่างไม่เร่งรีบ

ในหัวยังคงคิดถึงแต่เรื่องตระกูลฉิน

เฉิงเจวี้ยนกดลิฟต์ ทันทีที่ลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้นที่ 21 ยังเหลือเวลาก่อนจะลงมา เขาจึงหันไปมองฉินหร่านพลางกระแอมเสียง “ใครน่ะ?”

ฉินหร่านคิดไม่ทันเขา เอนตัวพิงกำแพง “อะไร?”

“คนนั้นน่ะ…” เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเธอ พูดอย่างเฉื่อยชา “คนที่เธอบอกว่าหล่อมาก”

ลิฟต์มาพอดี “ติ๊ง”

ทั้งสองเดินเข้าไป ฉินหร่านถือโทรศัพท์พลางตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ดาราดัง ฉินซิวเฉิน”

ฉินซิวเฉิน?

เฉิงเจวี้ยนท่องชื่ออยู่หนึ่งรอบ ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ก้มหน้ามองฉินหร่าน หรี่ตาลงเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานก็หัวเราะเบาๆ

เอนตัวไปทางด้านซ้ายของลิฟต์

ฉินซิวเฉิน…

ถึงจะไม่ได้สืบ เฉิงเจวี้ยนก็สามารถเดาได้จากคำพูดของฉินฮั่นชิวในช่วงนี้ได้ ฉินฮั่นชิวน่าจะเป็นลูกชายของตระกูลฉินคนนั้นที่หายตัวไปตั้งนานแล้ว

ฉินหร่านยังไม่รับรู้อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของเฉิงเจวี้ยนที่เหมือนกับรถไฟเหาะ

เธอแค่ถือโทรศัพท์แล้วเปิดเกม

หลังจากเปิดฟังก์ชันบันทึกหน้าจอ ก่อนจะดึงเกมที่ฉินหลิงให้เธอเล่นออกมาจากโปรแกรมซ่อน จู่ๆ ก็มีสายโทรศัพท์โผล่ขึ้นมา

เป็นอาจารย์ใหญ่สวีที่ไม่ได้เจอกันมานานกว่าปีกว่า

ติ๊ง——

ประตูลิฟต์เปิด

ขณะที่ฉินหร่านเดินเข้าไปข้างในก็รับสายไปด้วย เฉิงเจวี้ยนถือกระเป๋าเป้สีดำตามหลังเธอ

รัฐM อาจารย์ใหญ่สวีเพิ่งขึ้นเครื่องบิน เขาสวมแว่นอ่านหนังสือ ดวงตาหลังเลนส์คมชัดมาก เมื่อต่อสายติด เขาก็ยิ้มแล้วมองรัฐMผ่านทางหน้าต่างเครื่องบิน พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “หร่านหร่าน ฉันจะไปถึงเมืองหลวงอีกแปดชั่วโมง”

**

ในเวลาเดียวกัน

บ้านของฉินซิวเฉิน

“คุณชายหก ผมสืบเรื่องลูกสาวของนายน้อยสองได้แล้วครับ” พ่อบ้านฉินถือเอกสารเข้ามาด้วยท่าทีที่แปลกออกไป

ตอนที่ตามฉินฮั่นชิวกลับมาก่อนหน้านี้ พ่อบ้านฉินไม่คิดจะตามหาลูกสาวอีกสองคนอีก แต่เมื่อสองวันก่อนฉินซิวเฉินกำชับไว้ เขาจึงเริ่มสืบ

ฉินซิวเฉินรับมาด้วยความประหลาดใจ “คุณสืบได้แล้ว?”

พ่อบ้านฉินนำข้อมูลที่สืบมาได้ให้ฉินซิวเฉินดู พูดอย่างอดไม่ได้ “ลูกสาวนายน้อยสองเรียนที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวง คณะศิลปะ ดีกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก”

พ่อบ้านฉินพิมพ์ข้อมูลออกมา สิ่งที่เขาสืบมาได้ไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก แค่กระดาษแผ่นเดียว

บนนั้นเป็นรูปฉินอวี่และยังมีการแนะนำตัวคร่าวๆ ซึ่งเป็นสถานการณ์ปัจจุบันของฉินอวี่

ไม่ได้ละเอียดเท่าของฉินซิวเฉิน

ฉินซิวเฉินกวาดตาดูคร่าวๆ แล้วโยนเอกสารของพ่อบ้านฉินลงบนโต๊ะ เดินไปนั่งพิงโซฟา ความรู้สึกในดวงตาดูสับสน

เขากำลังคิดถึงเรื่องฉินหร่าน

สำหรับฉินอวี่ หลังจากอ่านข้อมูลของ129เสร็จแล้ว ฉินซิวเฉินก็รู้สึกชอบเธอไม่ลง

ทว่าฉินหร่านนั้น…

แม้จะไม่ได้พูดคุยกับอีกฝ่ายมากนัก ข้อมูลน้อย แม้กระทั่งฉินหร่านทำอะไร ฉินซิวเฉินเองก็ยังไม่รู้ แต่เขาก็รู้สึกผูกพันกับเธออย่างบอกไม่ถูก

อาจเป็นเพราะฉินหลิงชอบพี่สาวคนนั้นมาก

“คุณชายหก เป็นอะไรไปครับ?” พ่อบ้านฉินไม่เข้าใจฉินซิวเฉิน เขาลดเสียงพูดโดยไม่รู้ตัว “จะให้คนไปรับเธอไหมครับ?”

เครือข่ายข้อมูลของพ่อบ้านฉินไม่เก่งเท่าของฉินซิวเฉิน เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่นายท่านคนที่สี่ตระกูลฉินกับตระกูลโอวหยางกลืนกินอำนาจส่วนใหญ่ในตระกูลฉิน ภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้พ่อบ้านฉินจึงสืบได้เพียงข้อมูลโดยทั่วไปของฉินอวี่

ฉินหลิงเปิดประตูห้อง เขาสวมรองเท้าแตะคู่เล็กออกมาหยิบแก้วไปกดน้ำ

“พักเรื่องนี้ไปก่อน” ฉินซิวเฉินยืนขึ้น ไม่พูดถึงเรื่องฉินอวี่อีก เขาเดินไปหาฉินหลิงแล้วช่วยเขากดน้ำอุ่น “จัดการเรื่องที่สำนักงานใหญ่แล้วหรือยัง? ได้ยินว่าพวกคุณแย่งสำนักใหญ่มาได้หนึ่งโปรเจ็ค?”

“ยังหาคนไม่เจอเลยครับ ผมให้อาเหวินไปเอากล้องวงจรปิดแล้ว เขากำลังคอยดูกล้องวงจรปิดของสามวันนั้น” พอพูดถึงเรื่องนี้ พ่อบ้านฉินก็ขมวดคิ้ว

ฉินหลิงรับแก้วน้ำที่ฉินซิวเฉินยื่นให้ พอได้ยินพ่อบ้านฉินพูดเรื่องนี้ ดวงตาเขาก็สว่างวาบ

“ขอบคุณฮะ” เขาพูดกับฉินซิวเฉินเบาๆ แล้วเดินเข้าห้อง

ภายในห้อง ฉินซิวเฉินติดตั้งหน้าจอขนาดใหญ่ไว้ให้เขา บนหน้าจอเป็นหน้าจอฉายภาพเกม เขาไม่ได้หยิบคอนโซลขึ้นมาทันที แต่กลับถือคอมพิวเตอร์ที่บนหัวเตียงออกมา

เปิดโปรแกรมแก้ไขแล้วป้อนโค้ดเข้าไป เพียง “enter” ไฟร์วอลล์ก็ถูกเปิดขึ้น

ฉินหลิงใช้มือเท้าคาง วางคอมพิวเตอร์ไว้บนตัก มองไปยังหน้าโปรแกรมแก้ไขด้วยความสงสัย

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอนหายใจ วางคอมพิวเตอร์ไว้ข้างๆ จากนั้นก็ไปหาโทรศัพท์ตัวเองที่หัวเตียง

เปิดวีแชทหาภาพโปรไฟล์ฉินหร่าน ส่งไปหนึ่งข้อความ

(พ่อบ้านฉินกำลังจับตาดูกล้องวงจรปิดในลิฟต์ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์สามวัน)

**

ด้านนอกประตู ผู้จัดการถือสัญญารายการวาไรตี้เข้ามา “ซุปตาร์ฉิน สัญญาเสี่ยวหลิงเสร็จแล้ว นายจะเซ็นให้เขาไหม?”

“พวกคุณแน่ใจแล้วหรือครับว่าจะพาคุณชายน้อยไปร่วมรายการวาไรตี้ด้วย?” พ่อบ้านฉินประหลาดใจเล็กน้อย

เมื่อวานตอนเช้าผู้จัดการยังต่อต้านอยู่เลย ทว่าตอนนี้กลับทำสัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้ว?

“อืม เข้ากองเดือนหน้า” ฉินซิวเฉินเดินเข้ามา เขากวาดตาอ่านสัญญาเสร็จก็หยิบปากกาดำมาเซ็นชื่อในหน้าท้ายสุด

“ใช้เวลานานเท่าไหร่ครับ?” จู่ๆ พ่อบ้านฉินก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “คุณชายน้อยต้องเข้าโรงเรียน”

“ผมถามเสี่ยวหลิงแล้ว” ฉินซิวเฉินไม่ได้เป็นกังวล

พ่อบ้านฉินพยักหน้า ฉินซิวเฉินเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายอะไรมาก วันนี้แค่มาคุยเรื่องฉินอวี่เป็นหลัก เขาหยิบเอกสารแล้วลุกขึ้น “นายน้อยสองบอกว่าเขามีลูกสาวสองคน อีกคนผมยังหาไม่เจอ ได้ยินนายน้อยสองบอกว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ตามไปอยู่กับนายน้อยสอง แต่อยู่กับยายของเธอ ไม่รู้ว่าทำไม…”

ถึงอย่างไรเสียตอนที่พบฉินฮั่นชิวเป็นครั้งแรก ฉินฮั่นชิวก็อยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ คิดไม่ถึงว่าเขาทำงานขนอิฐอยู่ที่สถานก่อสร้าง…

วันนี้สืบข้อมูลฉินอวี่มาได้แล้วก็รู้สึกเบาใจลงบ้างแล้ว ดูเหมือนจะวุ่นวายกว่าที่เขาคิดไว้มาก

ส่วนลูกสาวอีกคนของนายน้อยสอง พ่อบ้านฉินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับฉินอวี่…