ตอนที่ 332 พี่สาวคนนี้ ไม่ใช่พี่สาวคนนั้น

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ฉินซิวเฉินกับผู้จัดการมองฉินหลิง

“ถึงไหนแล้ว?” ฉินซิวเฉินลุกขึ้น ก้มหน้า

ฉินหลิงเก็บหูฟัง ตามองไปยังด้านนอกประตูด้วยสายตาเปล่งประกาย “ข้างล่าง”

ดูออกเลยว่าเขาชื่นชอบพี่สาวคนนี้มาก

“ไม่ต้องรีบ” ฉินซิวเฉินยิ้ม “เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

ผู้จัดการเหลือบมองไปด้านนอกประตู คิ้วขมวดเล็กน้อยเกินกว่าจะมองเห็น

เขาอ่านแค่ข้อมูลของฉินอวี่ ดังนั้นตอนที่ฉินหลิงบอกว่าพี่สาวของเขาจะมา ผู้จัดการจึงนึกออกแค่ฉินอวี่ รู้สึกปวดหัวอยู่หน่อยๆ

ประตูถูกเคาะสามที

ตอนนี้สายเกินไปที่จะเกลี้ยกล่อมฉินซิวเฉิน ผู้จัดการลากฝีเท้าอันหนักอึ้งไปเปิดประตู

ผู้จัดการติดตามฉินซิวเฉินมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ฉินซิวเฉินยังเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง สตูดิโอเริ่มรับคนใหม่เข้ามาเซ็นสัญญาแล้ว

ผู้จัดการยังมองหาคนใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ ดังนั้นเวลาที่มองคนจึงมักจะมองที่รูปลักษณ์ อุปนิสัย และความโดดเด่นก่อนเป็นอันดับแรก

เมื่อคืนเขาเห็นรูปฉินอวี่แล้ว เธอเป็นคนสวยแบบบ้านๆ ถ้าจับมาอยู่ในวงการบันเทิงก็พอดูได้ แต่เมื่อเทียบกับฉินซิวเฉินยังห่างไกลอยู่มาก

วงการบันเทิงขาดแคลนทุกอย่าง แต่ไม่ขาดแคลนสาวงาม หน้าตาอย่างฉินอวี่ในวงการบันเทิง ไม่แม้แต่จะเฉิดฉายขึ้นมาได้

ประกอบกับทัศนคติจากข้อมูลของฉินอวี่ ผู้จัดการเปิดประตูด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน “ฉิน…”

เขาเงยหน้าขึ้นเหมือนอยากจะพูด แต่พอได้เห็นใบหน้าค่าตาของฉินหร่านแล้ว ก็กลืนคำพูดที่ยังไม่ได้พูดลงไปในท้องอย่างรวดเร็ว

คนที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ใช่ฉินอวี่ แต่เป็นเด็กสาวรูปร่างสูงเพรียว ผมยาวสยายพาดบ่า ผิวขาวหิมะ ตาสีแอปริคอทหลุบลงเล็กน้อย พอได้ยินเสียงก็เหมือนจะเลิกคิ้ว ริมฝีปากหยักโค้งอย่างเฉยชา

ดูชั่วร้ายอย่างบอกไม่ถูก

ผู้จัดการมองฉินหร่านด้วยสายตาของมืออาชีพ บางทีอาจเป็นเพราะแตกต่างกันเกินไป เขาจึงไม่กล้าเชื่อมโยงคนตรงหน้ากับพี่สาวฉินหลิง แค่ถามอ้ำๆ อึ้งๆ “คุณมาหาใคร?”

ฉินหร่านเหลือบมองข้อความในโทรศัพท์ที่เพิ่งได้รับ เธอไม่ได้รีบร้อนตอบ แค่เลิกคิ้ว “ฉินหร่าน มาหาฉินหลิง”

กระชับและรัดกุมมาก

“อ้อ เชิญเข้ามา” ผู้จัดการรีบเบี่ยงตัวหลีกทางให้เธอเข้ามา

ในใจยังคงสับสนวุ่นวาย คนที่มาไม่ใช่ฉินอวี่? แล้วฉินหร่านเป็นใคร?

“พี่ฮะ” ฉินหลิงลุกจากเก้าอี้เพื่อจะเดินไปดึงแขนเสื้อฉินหร่าน

ฉินหร่านเหลือบมองเขา “นั่งดีๆ ”

ฉินหลิงเก็บมือทันทีแล้วกลับไปนั่งที่ของตัวเอง จากนั้นก็แนะนำฉินซิวเฉินให้ฉินหร่านรู้จัก “พี่ นี่คุณอาผม”

จากนั้นหันศีรษะเชิดคางขึ้น “คุณอา นี่พี่สาวผม ฉินหร่าน”

เมื่อคืนตอนที่ฉินซิวเฉินได้ข้อมูลมา เขาก็เดาคร่าวๆ ไว้ในใจ แม้ว่าจะเป็นไปตามที่คาดเดา แต่พอเห็นฉินหร่านก็ยังรู้สึกเกินความคาดหมายไปมาก

ฟังจากน้ำเสียงของฉินหลิงแล้ว ฉินซิวเฉินก็รู้สึกได้ถึงทัศนคติของฉินหร่านที่มีต่อเขา เขาเหลือบมองฉินหลิงพลางยิ้มเบาๆ “ฉินซิวเฉิน คุณอาของเสี่ยวหลิง เสี่ยวหลิงบอกว่าเธอจะมาคุยกับฉันเรื่องที่เสี่ยวหลิงเข้าร่วมรายการวาไรตี้ใช่ไหม?”

หลังจากที่ฉินหร่านนั่งลงก็ส่งข้อความตอบกลับเฉิงเจวี้ยนก่อนเป็นอันดับแรก

เธอตอบด้วยท่าทีเฉยเมย “อื้อ”

ฉินหลิงมองท่าทีของฉินหร่านไม่ออก แต่อย่างน้อยก็ไม่ตบโต๊ะเดินหนีไป

ฉินหลิงก้มหน้าดื่มเครื่องดื่ม

ฉินซิวเฉินเพิ่งตัดสินใจพาฉินหลิงเข้าร่วมรายการวาไรตี้ได้ไม่นาน แน่นอนว่าสัญญาต่างๆ จึงยังไม่มีการลงนาม แต่มีฉบับอิเล็กทรอนิกส์ เขาจึงให้ผู้จัดการนำสัญญาฉบับอิเล็กทรอนิกส์เปิดให้ฉินหร่านดู

ผู้จัดการหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดหน้าสัญญาแล้วยื่นให้ฉินหร่าน

ฉินหร่านรับมาอ่านดู

สัญญามีทั้งหมดยี่สิบหน้า

เธอเปิดอ่านทั้งหมดภายในเวลาหนึ่งนาทีกว่าๆ แล้วคืนให้ผู้จัดการ

ผู้จัดการอึ้ง “อ่านเสร็จแล้วเหรอ?”

“อืม” ตรงหน้าฉินหร่านมีเครื่องดื่มและน้ำเปล่าวางอยู่ เธอหยิบน้ำเปล่าขึ้นมา แล้วใช้มือเคาะแก้ว “เกาะร้าง? ไม่อันตรายเหรอ?”

ฉินซิวเฉินหรี่ตา คิดอยู่สักพัก “ก็คงอาจจะมีบ้าง รายการออกอากาศไปแล้วสามซีซั่น มีเพียงหนึ่งซีซั่นที่อยู่บนเกาะร้าง โดยหลักแล้วจะถ่ายประสบการณ์ชีวิตในเขตชมวิว มีแพทย์และเฮลิคอปเตอร์สแตนด์บายตลอดเวลา”

ฉินหร่านเท้าคางและถามต่ออีกไม่กี่คำถาม

ทั้งหมดเป็นปัญหาที่ปรากฏในสัญญาที่เห็นได้อย่างชัดเจน

ผู้จัดการที่คอยฟังอยู่ข้างๆ ยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาดใจ จากนั้นก็เปิดโทรศัพท์อ่านดูอีกที ที่แท้แล้วในสัญญาพบปัญหาที่ฉินหร่านเพิ่งถามออกเป็นชุดๆ

เขาเงยหน้ามองฉินหร่านด้วยความตกใจ เขานึกว่าฉินหร่านแค่เปิดดูงั้นๆ ไม่คิดว่าเธอจะอ่านจริงจัง

“รายการวาไรตี้มีการแข่งขันเยอะแยะมากมาย เสี่ยวหลิงเป็นเด็กฉลาด พาเขาไปด้วย ฉันก็ได้อาศัยบารมีเขาด้วย” ฉินซิวเฉินเอื้อมมือรินเครื่องดื่มให้ฉินหลิงเพิ่ม

หลักๆ ที่ฉินหร่านมาไม่ใช่เพราะมาฟังเรื่องสัญญา

การแข่งขันในรายการวาไรตี้มีเยอะมาก คงไม่ถึงขนาดทำให้แขกที่มาร่วมรายการตกอยู่ในอันตราย ที่เธอมาที่นี่ หลักๆ ก็คือเพื่อมาดูฉินซิวเฉินคนนี้ ฉินซิวเฉินไม่มีปัญหาอะไรและดูแลเอาใจใส่ฉินหลิงเป็นอย่างดี

พึ่งพาได้กว่าฉินฮั่นชิว

ฉินหร่านไม่รู้สึกคลางแคลงใจ เธอจึงไม่พูดอะไรมาก

“พี่ พี่…” ฉินหลิงทานข้าวเสร็จนานแล้ว พอเห็นฉินหร่านวางตะเกียบก็ให้เธอดูเกม

ฉินหร่านไม่เงยหน้า “ไม่ได้ ไม่รู้”

ฉินหลิงขมวดคิ้วอย่างเศร้าสร้อย “….อือ”

ผู้จัดการที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “เสี่ยวหลิง เกมอะไร ให้ฉันช่วย”

ฉินหลิงยื่นโทรศัพท์ให้ผู้จัดการ เกมในโทรศัพท์คืบหน้าไปได้ครึ่งทางแล้ว

ผู้จัดการไม่ได้ใส่ใจกับเกมของพวกเด็กๆ กดเริ่มเล่นใหม่——

“ปัง”—— ตัวละครในเกมตาย

เขาอึ้งแล้วกดเริ่มใหม่อีกครั้ง——

“ปัง”—— ตัวละครในเกมตาย

……

หลังจากเป็นอย่างนี้อีกหลายครั้ง ผู้จัดการก็คืนโทรศัพท์ให้ฉินหลิง

ฉินหลิงรับมาโดยไม่แปลกใจเลยสักนิด

พวกเขาทานข้าวใกล้จะเสร็จแล้ว ฉินหร่านดูเวลาก็เตรียมจะกลับ

ฉินซิวเฉินวางตะเกียบแล้วเดินตามเธอลงไป “เธอพักที่ไหน ให้เราไปส่งเธอดีกว่า”

นี่ก็ทุ่มกว่าใกล้จะสองทุ่มแล้ว

ฉินซิวเฉินไม่รู้ว่าฉินหร่านทำอะไรและไม่รู้ว่าเธอพักอยู่ที่ไหน เขาได้ยินพ่อบ้านฉินบอกประมาณว่าเธอเหมือนจะพักที่หอพักมหาวิทยาลัย เป็นนักศึกษา

ดังนั้นฉินซิวเฉินจึงไม่ยอมให้เธอกลับไปคนเดียวในเวลาแบบนี้

“ไม่ต้องหรอก” ฉินหร่านลงไปชั้นล่าง ยืนอยู่ข้างทางสักพักก็เห็นรถคันสีดำที่จอดอยู่ไม่ไกล “มีคนมารออยู่”

เธอยัดโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าแล้วเดินเฉียงออกไป

โบกมือให้จากด้านหลัง

ฉินซิวเฉินยังยืนนิ่งอยู่กับที่พลางมองฉินหร่านขึ้นรถ หลังจากรถขับออกไปแล้ว เขาถึงจะละสายตาได้

ผู้จัดการที่อยู่ข้างๆ เขามองไปที่ทะเบียนรถ เดิมทีอยากจะจำไว้เผื่อว่าฉินหร่านอาจเจออันตรายระหว่างทาง แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ทะเบียนรถคันนี้…

ไม่ดูดุดันไปหน่อยเหรอ?

ฉินซิวเฉินโทรหาฉินฮั่นชิวโดยบอกว่าคืนนี้ฉินหลิงยังพักกับเขาที่นี่

หลังจากกลับไป ผู้จัดการก็ถามขึ้นมาว่า “ซุปตาร์ฉิน ฉินหร่านนั่นใคร?”

“พี่รองฉันมีลูกสาวสองคน” ซุปตาร์ฉินถือแก้วแล้วรินน้ำมะนาวลงในแก้ว เขากระแอมแล้วเอนกายยิ้มพิงเครื่องกดน้ำ “ฉันสืบเจอแค่ข้อมูลฉินอวี่ คนที่เสี่ยวหลิงพูดถึงไม่ใช่ฉินอวี่”

**

ภายในรถเอสยูวี ฉินหร่านนั่งเบาะหลังโดยมีเฉิงจินนั่งขับรถอยู่ด้านหน้าสุด

ฉินหร่านเอามือประคองแก้ม ศอกเท้ากับกระจกรถ เธอมองเฉิงจินที่กำลังขับรถอยู่ด้านหน้า “ทำไมเป็นนาย เฉิงมู่ล่ะ?”

“วันนี้ผมออกไปเจรจาธุรกิจกับคุณชายเจวี้ยนครับ เฉิงมู่ไปพบเพื่อนนักเรียนหลินแล้วครับ” เฉิงจินมองผ่านกระจกมองหลัง ตอบคำถามด้วยความเคารพ

ฉินหร่านลองนับวันดู เฉิงมู่น่าจะไปพบหลินซือหราน เธอเคาะกระจกรถแล้วหันไปมองเฉิงเจวี้ยน “ไปตั้งแต่เมื่อไหร่? ฉันก็มีธุระจะไปหาหลินซือหรานเหมือนกัน”

“เพิ่งไป” เฉิงเจวี้ยนลืมตาในที่สุด เขาเหลือบมองเธอพูดด้วยความสุขุม “ไปตอนนี้ยังทัน”

เฉิงจินรับทราบ พอติดไฟแดงก็เปิดโทรศัพท์ เปิดบลูทูธ ต่อสายหาเฉิงมู่เพื่อสอบถามที่อยู่เขา

เฉิงมู่ส่งที่อยู่กลับมา ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเมืองหลวง

ขับรถไปประมาณหนึ่งชั่วโมง

เวลานี้คนไม่เยอะมากและไม่ใช่วันหยุดเทศกาลอะไร รถจึงไม่ค่อยติดเท่าไหร่ ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มาจอดที่หน้าทางเข้า

เฉิงมู่ก็เพิ่งมาถึง คนสัญจรผ่านไปมาไม่เยอะ

“คุณชายเจวี้ยน คุณฉิน” เมื่อเห็นเฉิงเจวี้ยนกับฉินหร่านลงจากเบาะหลัง เฉิงมู่ก็ทักทายทั้งสอง

เฉิงจินมองไปรอบๆ ก็ยังไม่พบใคร “เพื่อนนักเรียนหลินยังไม่มาเหรอ?”

“ใกล้แล้ว” เฉิงมู่มองไปยังทิศทางหนึ่ง ที่นี่คือสถานที่ที่เขานัดหลินซือหรานมาเจอในแต่ละครั้ง

เวลาผ่านไปไม่ถึงสองนาที มีรถตู้คันหนึ่งค่อยๆ ขับมาทางนี้แล้วจอดลง

หลินซือหรานหอบกระถางดอกไม้ลงจากฝั่งข้างคนขับ เธอส่งกระถางดอกไม้ให้เฉิงมู่แล้ววิ่งไปหาฉินหร่าน กระซิบพูด “หร่านหร่าน! ทำไมไม่บอกว่าเธอก็มาด้วย!”

ฉินหร่านยังไม่ทันได้ตอบเธอ หลินซือหรานก็ตบหน้าตัวเองเบาๆ “จริงสิ วันนี้มี่มี่ของพวกเราก็มาด้วยนะ!”

ฉินหร่านกอดอก ยกคางขึ้น “ให้ฉันดูหน่อย”

หลินซือหรานเปิดประตูเบาะหลัง

คุณพ่อหลินถอดกุญแจแล้วลงจากรถ เขาอดไม่ได้ที่จะกำชับ “ซือหราน ระวังหน่อย ที่นี่คนเยอะ อย่าทำให้คนตกใจ”

พอเฉิงมู่นึกถึงแมวที่น่าสงสารของบ้านหลินซือหราน เขาก็มองหลินซือหรานด้วยความเห็นอกเห็นใจ