ไปๆ มาๆ ทั้งสองร้านนั้นก็อยู่ในกำมือของฮูหยินรองเฉิงมากว่าครึ่งปีแล้ว จู่ๆ จะมาเอาคืนเช่นนี้ ฮูหยินรองจะยอมได้อย่างไร ประเดี๋ยวก็คงโวยวายอีกเป็นแน่
แม่นมสีหน้าลังเลเป็นกังวล
ทว่าก็ไม่กล้าเอ่ยคำใด ทำได้เพียงขานรับแล้วลุกขึ้นเดินออกไป
เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ หากมีเด็กบ้านั่นอยู่ก็อย่าหวังว่าในบ้านจะได้สงบสุข
คอยดูเถิด ต่อไปจะมีเรื่องวุ่นวายอันใดอีก
แม่นมยังไม่ทันได้ออกจากเรือน ก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามา
“ฮูหยิน ฮูหยิน มาแล้วเจ้าค่ะ มาแล้วเจ้าค่ะ”
มาแล้วอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินหวังและฮูหยินใหญ่เฉิงพากันยืนขึ้น สีหน้าตื่นตระหนก
“ชายสิบเจ็ดกลับมาแล้วหรือ” พวกนางเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง
ทว่าแม่นมกลับดูท่าทางลังเล
“น่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ…” นางเอ่ย
ฮูหยินหวังและฮูหยินใหญ่เฉิงชะงักไป
น่าจะเป็นเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน
“คนที่มา… บอกว่าแม่นางเฉิงบ้านเรากลับมาแล้วเจ้าค่ะ…” แม่นมเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
เช่นนั้นก็ไม่ใช่น่ะสิ!
“เหตุใดคนที่ไปรับถึงไม่ส่งข่าวมาก่อน” ฮูหยินหวังเอ่ยพลางเดินออกไปข้างนอกอย่างดีอกดีใจ
ฮูหยินใหญ่เฉิงถลึงตาใส่แม่นม
“พูดจาไม่รู้ความ หากทำงานหน้าเรือนไม่ได้ ก็ไปทำงานท้ายครัวเสีย” นางเอ่ยเสียงขุ่นเคืองก่อนจะรีบก้าวเดินตามออกไป
แม่นมสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ เพียงแต่…” นางพยายามอธิบาย “เพียงแต่ดูเหมือนมีอย่างแปลกชอบกล…”
“ถึงแล้วหรือ”
ทางด้านฮูหยินรองเฉิงก็ได้ข่าวแล้วเช่นกัน นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกยืนขึ้น หันไปมองสาวใช้ที่เล่นกระโดดเชือกกับแม่นางเฉิงเจ็ด
“แม่นางเจ็ด ไปกัน พวกเราไปรับพี่สาวของเจ้ากัน”
“พี่สาวคนไหนหรือเจ้าคะ” แม่นางเฉิงเจ็ดยังไม่หยุดเล่นแล้วเอ่ยถามขึ้น “พวกแม่นางหกก็อยู่ที่เรือนนี่เจ้าคะ”
“พี่สาวที่เป็นคนบ้าอย่างไรเล่า” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
แม่นางเฉิงเจ็ดชะงักไปก่อนจะทิ้งเชือกในมือลง
“ท่านแม่ ห้ามให้นางเข้ามาในเรือนนะเจ้าคะ!” นางตะโกนลั่น
ฮูหยินรองเฉิงยกมือขึ้นมาดันหัวนาง
“ไม่ให้นางเข้ามาในเรือน เช่นนั้นวันหน้าพวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้ออกจากเรือน!” นางเอ่ย “รีบตามข้ามา คนของบ้านเรา จะปล่อยให้พวกนางเอาหน้า เอาดีใส่ตัวได้อย่างไร!”
พูดจบก็ลากแม่นางเฉิงเจ็ดออกไปในทันที
หน้าประตูมีคนยืนรออยู่เต็มไปหมด
“เหตุใดถึงมากันมากมายเพียงนี้” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
พอเห็นนางมาถึง เหล่าแม่นมก็รีบหลีกทางให้ ฮูหยินรองเฉิงเอื้อมมือออกไปจูงแม่นางเฉิงเจ็ดที่หน้าบึ้งตึงเดินออกไป ทันใดนั้นก็เห็นฮูหยินใหญ่เฉิงและฮูหยินหวังยืนอยู่หน้าประตู ทั้งสองสีหน้าดูตื่นตระหนกราวกับมีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นมิปาน
“ลูกชายหวังแก้วหัวแหวนของตระกูลหวังมาถึงแล้วหรือ เหตุใดถึงไม่เข้าไปรับเล่า” ฮูหยินรองเฉิงเบ้ปากเอ่ย พลางมองไปที่หน้าประตู จากนั้นก็เป็นนางเองที่ชะงักไป
รถม้าหลังคาทรงตัดย้อมสีดำสนิทสองคันจอดอยู่ที่หน้าประตูเรือน ฟ้าครึ้มยามต้นฤดูหนาว ไม่มีแม้แต่สายลมพัดให้ละอองฝุ่นกระจัดกระจาย ทว่ารถที่ถูกเคลือบเงาคันนั้นกลับเปล่งประกายแวววาว พอมองอีกทีก็เห็นว่ามีม้าตัวใหญ่ขนเงาขลับขนาบสองข้าง ด้านข้างม้ามีผู้ติดตามอีกราวสิบห้าคน ทุกคนล้วนแต่รูปร่างกำยำ มองปราดเดียวก็รู้ว่าถูกคัดเลือกมาอย่างดี
พวกเขายืนเรียงรายกันสองแถว เสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนแต่เป็นของชั้นดี เสื้อคุมขลิบทองผืนใหญ่ปลิวสะบัดไปตามแรงลม ทำเอาคนที่ยืนล้อมอยู่มองตาค้าง
“ช่างสง่างามนัก…”
“สง่างามเสียยิ่งกว่ายามใต้เท้าจากศาลาว่าการออกลาดตระเวนเสียอีก…”
“ไม่ใช่แค่ธงแต่ยังมีตราขุนนางอีก…”
“ผู้ใดกัน”
“ญาติคนใหญ่คนโตของตระกูลเฉิงมาอีกแล้วหรือ”
ผู้คนจากในตรอกและริมน้ำพากันล้อมเข้ามาดูมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะพากันชี้นิ้วถกเถียงกันไปต่างๆ นานา
“ชายสิบเจ็ด” ในที่สุดฮูหยินหวังก็ได้สติคืนมา ก่อนจะรุดไปข้างหน้าแล้วเอ่ยเรียก แต่ก็ต้องเหลียวซ้ายแลขวาอย่างอดไม่ได้ ในใจรู้สึกแปลกใจชอบกล
เมื่อวานนางส่งคนออกไปรับระหว่างทางแล้ว แต่เหตุใดถึงไม่เห็นคนที่นางส่งไปเลย แล้วก็ไม่เห็นบ่าวชราและบ่าวคนอื่นๆ ด้วย
แล้วคนเหล่านี้คือผู้ใดกัน ผู้คุ้มกันที่จ้างมาหรือ
“ฮูหยิน ฮูหยิน”
ผู้ติดตามคนหนึ่งแทรกตัวออกมาจากด้านหลัง เสื้อผ้ามอมแมม ใบหน้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เขาเดินออกมาจากเหล่าผู้ติดตามสิบกว่าคนนั้น ท่าทางดูมอซอไม่น้อย
ฮูหยินหวังจำได้ในทันใดว่าเป็นผู้ติดตามของตระกูลตน แต่ก่อนนางไม่ได้สนใจอะไร ทว่ายามนี้กลับรู้สึกขายหน้ายิ่งนัก
“ท่านชายน้อยกลับไปที่เรือนก่อนแล้วขอรับ” เขารีบเอ่ยในทันใด
ฮูหยินหวังและฮูหยินใหญ่เฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง
“กลับไปก่อนแล้วหรือ” พวกนางเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
“ใช่ขอรับ ข้าไปรับท่านชายมาตั้งแต่เช้ามืดแล้ว ทว่าท่านชายยืนยันว่าจะกลับไปที่เรือนให้ได้ ไม่ว่าพูดอย่างไรก็ไม่ยอมมาที่นี่” ผู้ติดตามเอ่ย
จะกลับไปที่เรือนให้ได้อย่างนั้นหรือ…
ฮูหยินหวังและฮูหยินใหญ่เฉิงสบตากัน ก่อนจะมองไปยังรถม้าที่หน้าประตูเรือน
แล้วนั่นคือผู้ใดกัน
“ฮูหยินเฉิง” พ่อบ้านเฉาสะบัดชายเสื้อพลางยกมือคำนับ
ฮูหยินใหญ่เฉิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นางมองเขาราวกับว่าคุ้นหน้าคุ้นตามาก่อน
“เจ้าคือ…” นางถาม
“ข้ามาจากตระกูลโจวขอรับ” พ่อบ้านเฉาเอ่ยก่อนจะคลี่ยิ้มบาง
คนของตระกูลโจวงั้นหรือ!
เช่นนั้นรถคันนี้ก็คือ…
ในยามนั้นม่านรถก็แหวกออก ปั้นฉินลงรถมาก่อน นางเงยหน้ามองไปรอบๆ ก่อนจะรู้สึกหดหู่อย่างอดไม่ได้
“ข้ามาส่งแม่นางเฉิงอย่างปลอดภัยแล้วขอรับ” พ่อบ้านเฉาเอ่ยพลางเบี่ยงตัวแล้วชี้ไปข้างหลัง
ปั้นฉินยกม่านขึ้นแล้วพยุงเฉิงเจียวเหนียงลงมา
เสียงถกเถียงกันผู้คนที่ดังอยู่ก่อนหน้าเงียบสงัดลงไปในทันที คนที่อยู่ด้านข้างเห็นหน้าผากมนที่ส่องสว่าง สันจมูกสูงโด่ง ส่วนคนที่อยู่ด้านหน้าก็มองเห็นคิ้วเรียวยาว และดวงตาล้ำลึกที่ส่องประกายแวววาว
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวกลับไม่ต่างกัน นี่คือหญิงงามผู้หนึ่ง
แม่นางเฉิงเจ็ดที่ถูกท่านแม่ลากตัวออกมาเอาแต่ยกมือขึ้นปิดหน้า จะไม่ยอมให้คนบ้านั่นทำให้ตนตกใจกลัวเด็ดขาด ราวกับว่ามีเพียงวิธีนี้ที่ตนจะไม่หน้าถอดสีต่อหน้าผู้คนมากมายเพราะคนบ้านั่น ทว่าไม่นานเสียงโหวกเหวกรอบกายที่นางได้ยินก็สงบลง ราวกับทุกคนพร้อมใจกันกลั้นหายใจไม่ยอมส่งเสียง
เกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือ เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เสียงของชายผู้หนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด เสาธงในมือโบกสะบัดไปมา เบียดเสียดจนผู้คนล้มเซ ในที่สุดเขาก็แทรกตัวมาถึงด้านหน้าได้ จนคนข้างหน้าถูกดันจนเกือบจะตกลงไปในแม่น้ำ
“ทำอะไรของเจ้า!”
ริมน้ำโกลาหลวุ่นวาย เด็กหนุ่มถูกรุมต่อยตีอยู่หลายหมัดก่อนเสียงจะสงบลง
“พวกเจ้าดูอะไรกันอยู่หรือ ดูอะไรกันอยู่หรือ” เด็กหนุ่มไม่สนใจว่าตนเองจะโดนทุบตี ก่อนจะร้องตะโกนพลางมองไปฝั่งตรงข้าม ทันใดดวงตาก็เบิกโพลง “ว้าว หญิงงาม!”
แม่นางเฉิงเจ็ดลอบมองผ่านซอกนิ้ว เงาคนเลือนรางปรากฏขึ้นตรงหน้า กระโปรงผ้าฝ้ายสีล้วนปลิวไสว เผยให้เห็นรองเท้าเกี๊ยะไม้และถุงเท้าสีขาว…
แม้แต่ท่าเดินยังงดงามถึงเพียงนี้…
นางกางนิ้วออกอย่างไม่รู้ตัว หญิงสาวผู้หนึ่งที่ตัวสูงกว่าแม่นางเฉิงหกปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
เส้นผมที่ดำขลับยิ่งกว่าแม่นางเฉิงหก ดางตาที่กลมโตกว่าแม่นางเฉิงหก ผิวพรรณก็ขาวนวลกว่าแม่นางเฉิงหก…
หญิงที่งามยิ่งกว่าแม่นางเฉิงหก ไม่สิ งามกว่าแม่นางผู้ใดที่นางรู้จักนัก…
หญิงงามผู้นี้คือผู้ใดกัน
นางเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้
“เจ้าคือ…” ฮูหยินใหญ่เฉิงมองหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ก่อนจะถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว
“เฉิงเจียวเหนียง คำนับท่านป้าเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงโน้มตัวคำนับ
เฉิงเจียวเหนียง…
เฉิงเจียวเหนียง!
ภาพของหญิงผู้หนึ่งลอยขึ้นมาตรงหน้าของฮูหยินใหญ่เฉิง ภาพของหญิงสาวร่างผอมบางที่แหวกผ้าคลุมหน้าออกภายใต้แสงไฟสลัว ซ้อนทับกับภาพของหญิงสาวที่กำลังโค้งคำนับอยู่ตรงหน้า
“เจ้าคือเฉิงเจียวเหนียงหรือ” ฮูหยินหวังก้าวไปข้างหน้า เบียดฮูหยินใหญ่เฉิงที่เอาแต่ยืนเหม่อ ท่าทางของนางดูดีใจยิ่งนัก ก่อนจะมองสำรวจเฉิงเจียวเหนียงหัวจรดเท้า
ถึงว่าละ ถึงว่าละ…
“งามกว่าในภาพวาดนัก…” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นางรู้อยู่แล้วว่าสายตาของลูกชายของนางนั้นแหลมคมนัก หน้าตาไม่เหมือนคนบ้าเลยสักนิด! นางหายดีแล้วจริงๆ หายเป็นปลิดทิ้ง!
“กลับมาแล้วก็ดี กลับมาแล้วก็ดี เอาละ เข้ามาในเรือนเถิด ด้านนอกหนาวนัก” ฮูหยินหวังเอ่ยพลางยิ้ม ก่อนจะนำทางไป
เฉิงเจียวเหนียงคำนับอีกครั้งแล้วเดินตามไป
พอเห็นว่าแขกและลูกหลานเดินเข้าไปในเรือนก่อนเสียแล้ว ฮูหยินใหญ่เฉิงจึงได้สติก่อนจะรีบเดินตามไป
แม่นางเฉิงเจ็ดหันหลังกลับ ไม่รอให้ท่านแม่ต้องจูงมือก็เดินตามไปทันที พลางมองหญิงสาวที่เดินตามฮูหยินหวังข้างหน้า
อีกฝากหนึ่ง แม่นางเฉิงหก แม่นางเฉิงสี่ และแม่นางเฉิงห้าที่รีบเดินออกมาจากเรือนเมื่อทราบข่าวก็หยุดฝีเท้าลงในทันใด
“รีบมาดูเร็วเข้า รีบมาดูเร็วเข้า…” แม่นางเฉิงสี่เอ่ยขึ้น พลางหยุดยืนอยู่ริมทาง มองผ่านทิวแถวต้นล่าเหมยที่รอดอกผลิบาน
หญิงสาวที่มีฮูหยินหวังและฮูหยินใหญ่เฉิงขนาบข้างเดินอย่างเชื่องช้า เสื้อคลุมสีเข้มผืนใหญ่ปลิวสะบัดไปตามแรงลมยามก้าวเดิน
ไม่เคยเห็นผู้ใดก้าวย่างได้งดงามเช่นนี้มาก่อน ขนาดไม่ทันได้เห็นหน้าพวกนางก็มั่นใจว่านางต้องเป็นหญิงงามอย่างแน่นอน พอมองหน้าชัดๆ อีกครั้ง ก็เป็นหญิงงามอย่างที่คิดไว้จริงๆ …
“นางคือใครกัน” แม่นางเฉิงหกถาม มือจับอยู่ที่ต้นล่าเหมย สีหน้าประหลาดใจ
“นางคือพี่สาวของข้า” แม่นางเฉิงเจ็ดที่กำลังยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามาตะโกนเอ่ยขึ้น สีหน้าดูลำพองใจยิ่งนัก
พี่สาวอย่างนั้นหรือ
คนของตระกูลเฉิงเข้าประตูเรือนมาหมดแล้ว ผู้คนที่เหม่อลอยอยู่หน้าประตูเพิ่งได้สติ ก่อนจะเกิดเสียงจอแจขึ้นมาในทันใด
“ดูหญิงงามผู้นั้นสิ…”
“คือผู้ใดกัน”
“ไม่รู้สิ…”
เห็นหน้าประตูเรือนคึกคักเช่นนั้น พ่อบ้านเฉาก็อิ่มเอมใจไม่น้อย
“ท่านเฉา ถึงว่าละคืนวานหากเร่งเดินทางหน่อยก็ถึงแล้วแท้ๆ แต่ทันกลับให้พวกข้าหาโรงเตี๊ยมพักเสียก่อน อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าผืนใหม่ เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีไม่น้อย” สองผู้ติดตามเอ่ยพลางหัวเราะ
“แน่นอน นายหญิงของเรากลับบ้านทั้งที ต้องสมศักดิ์ศรีเสียหน่อย” พ่อบ้านเฉาเอ่ยก่อนจะกระแอมออกมา มองดูเหล่าบ่าวตระกูลเฉิงที่เข้ามาคำนับแล้วโบกมือให้ ก่อนจะตะโกนเรียกให้ทุกคนเข้าเรือนไป
หน้าประตูเรือนตระกูลเฉิงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ทว่าคนริมสองฝั่งแม่น้ำกลับยังไม่ไปไหน ทั้งยังคงถกเถียงกันไม่หยุด
เด็กหนุ่มที่อยู่ริมแม่น้ำขยี้จมูก เขาละสายตากลับมาก่อนจะมองผู้รอบกายด้วยตาเป็นประกาย จากนั้นจึงเริ่มโบกสะบัดธงในมืออีกครั้ง
อักษรคำว่า ‘ดูดวงแม่น’ โบกสะบัดตามแรงลม
“มีใครอยากดูดวงหรือไม่ ดูดวงราคาถูก สะเดาะเคราะห์ไม่คิดเงิน…”