ภาคที่ 2 บทที่ 36 ผ่านด่าน (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 36 ผ่านด่าน (1)

พริบตาเดียว 1 เดือนก็ผ่านไป

ระหว่างนั้น หัวหน้าพ่อบ้านทั้งห้ามาพบซูเฉินอีกสองสามครั้ง หวังว่าจะสามารถลดค่าไถ่ลงหรือเพิ่มเวลารวบรวมเงินให้พวกเขาได้

ซึ่งเด็กหนุ่มนั้นก็สามารถยืดระยะเวลาออกไปได้ หากแต่จำนวนเงินต้องเท่าเดิม เพราะอย่างไรเขาก็ไม่รีบ สามารถรอเงินได้อยู่แล้ว

วันนี้ซูเฉินก็ทำการทดลองกับไป๋โอวดังเช่นทุกวัน

หลังจากป้อนยากระตุ้นสายเลือดไป สายเลือดของไป๋โอวก็เริ่มเดือด

ซูเฉินมองพลังต้นกำเนิดในร่างไป๋โอวที่ไหลเวียนไปมา พยายามเลียนแบบการไหลเวียนของพลังนั้น

ร่างของซูเฉินสั่นเทิ้ม เสียงคำรามต่ำดังออกมาจากภายในร่าง

เสียงคำรามนี้เริ่มคำรามเป็นจังหวะ ทำให้คนได้ยินบังเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดไม่อาจอธิบายได้

แสงสว่างในนัยน์ตาของซูเฉินจางหายไป จากนั้นแทนที่ด้วยความตื่นเต้น

เขาทำสำเร็จ !

ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จจนได้ !

ในพริบตาเดียว เขาก็สามารถทะลวงสายเลือดวิญญาณอัสนีคำรามเงียบได้สำเร็จ มันกลายเป็นสายเลือดอีกหนึ่งสายเลือดที่เขาสามารถทะลวงผ่านได้ ดังเช่นสายเลือดอสรพิษทะยานแล้วในตอนนี้ !

แต่ครั้งนี้ไม่เป็นเช่นสายเลือดอสรพิษทะยาน การทะลวงครั้งนี้ไม่ได้พึ่งพาสสารต้นกำเนิดจากสมุนไพรใด วิญญาณอัสนีคำรามเงียบเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ ไม่กินอาหารใด มันหล่อเลี้ยงร่างด้วยการดูดซับแก่นสายฟ้าเท่านั้น

ดังนั้นซูเฉินจึงไม่อาจหาสสารต้นกำเนิดที่เหมาะสมมาได้ หากแต่เขาเคยเห็นพลังที่ส่งผลต่อร่างกายมนุษย์มาก่อน ดังนั้นเขาจึงสามารถเลียนแบบมันได้สำเร็จ

เสียงคำรามต่ำเมื่อครู่เป็นตัวบ่งบอกว่าเขาเลียนแบบได้สำเร็จ แม้ไม่อาจทำให้ใครบาดเจ็บ แต่เสียงคำรามต่ำก็นับเป็นพื้นฐานทักษะต้นกำเนิดประเภทสายฟ้าของตระกูลไป๋ ‘ระเบิดอัสนีคำรามเงียบ’ และในเมื่อตอนนี้เขาสามารถควบคุมมันได้แล้ว ดาบอัสนีบาตของเขาจึงมีพลังเพิ่มมากขึ้นถึงขั้นสุดของเลือดผสม

แม้ไป๋โอวจะมาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง แต่สายเลือดของเขาตื่นขึ้นเพียงจำกัด ดังนั้นพลังที่แท้จริงของเขาจึงมีเพียงพอกับขั้นสุดของเลือดผสมเท่านั้น หมายความว่าซูเฉินในตอนนี้สามารถใช้ทักษะต้นกำเนิดเหล่านั้นได้ดีเท่ากับไป๋โอวแล้ว

ครู่ต่อมา ซูเฉินก็ยกมือขึ้น สับกลางอากาศ เสียงสายฟ้าดังสนั่นดังขึ้นที่ข้างหูไป๋โอว

จิตไป๋โอวถูกพลังจนสั่นสะเทือนรุนแรง นัยน์ตาเขากลอกกลับ จากนั้นหมดสติไป

“ไม่เลว !” ซูเฉินพึงพอใจมาก

แม้พลังของดาบอัสนีบาตจะไม่มากเท่าระเบิดเพลิงปักษา แต่ก็สามารถใช้ติดต่อกันได้ อีกทั้งยังสามารถส่งผลกระทบถึงจิตของอีกฝ่ายได้ หากใช้ติดต่อกันอย่างรวดเร็วจึงมีพลังไม่ด้อยกว่าระเบิดเพลิงปักษามากนัก

หรือก็คือนอกจากระเบิดเพลิงปักษาและตาข่ายลมพิสุทธิ์แล้ว ซูเฉินก็ได้ทักษะต้นกำเนิดที่เทียบได้กับทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดวิชาที่ 3 มาแล้ว

แต่ก็เทียบได้กับทักษะต้นกำเนิดจากอสูรกายระดับสูงธรรมดาเท่านั้น

การที่สายเลือดจะตื่นขึ้นถึงขั้นไหนนั้น อีกทั้งยังระดับและคุณภาพของสายเลือดเป็นตัวแปรที่จะบ่งบอกได้ถึงพลังของทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือด

หลังจากได้เป็นศิษย์ฉือไคฮวง เด็กหนุ่มก็เข้าใจพลังที่เหล่าคนมีสายเลือดครอบครองมากยิ่งขึ้น คนเช่นไป๋โอวหรือจีหานเยี่ยนยังไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ผู้ที่สายเลือดตื่นขึ้นจนเต็มขั้นต่างหากจึงจะมีพลังมหาศาลเกินบรรยาย

หนทางในการทำลายขีดจำกัดของสายเลือดนั้นทั้งหนักหนาและยาวนานนัก !

แต่การเพิ่มพลังโจมตีวิชาดาบอัสนีบาตก็ทำให้ซูเฉินมีความสุขมากแล้ว

“อืม หากเข้าไปยังห้องโถงกลั่นร้อยวิชาตอนนี้จะเป็นอย่างไร ?” ซูเฉินพึมพำออกมา

เมื่อพละกำลังเพิ่มขึ้นแล้ว เขาจึงอยากลองทดสอบกำลังตนเองดู ซูเฉินจึงคิดอยากเดินทางไปห้องโถงกลั่นร้อยวิชา

เหตุใดจึงไม่ออกไปทดสอบกำลังดูเล่า ?

ศิษย์ร่างผอมคนเดิมยังคงยืนเฝ้าโต๊ะอยู่ในห้องโถงกลั่นร้อยวิชา

เขาจำซูเฉินได้ และเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ หน้าตาก็ดูตื่นเต้นในพลัน

ซูเฉินไม่เสียเวลากับเขามากนัก เดินตรงไปยังประตูบานที่สี่ในทันที

เวลาครึ่งปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะทำการทดลองมาตลอด แต่ก็ยังทำการบ่มเพาะพลังและฝึกวิชาบ้าง สิ่งเดียวที่เขายอมแพ้คือการเพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของตน เขามีพลังอยู่ที่ด่านก่อเกิดลมปราณขั้นที่ห้า 52 ดาราเหลือง ไม่ได้เพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย หากแต่เขาสามารถใช้ทักษะต้นกำเนิดได้มากขึ้นหลายวิชา อีกทั้งยังเริ่มใช้พวกมันได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว

หลังจากเดินเข้าประตูบานที่สี่ไป ซูเฉินก็ถูกส่งมายังทะเลทรายแห้งแล้งอีกครา

เขายังไม่ทันทรงตัวได้ อสูรร้ายระดับต่ำ 4 ตัวก็พุ่งเข้าใส่

ห้องที่สี่นั้นต้องต่อสู้กับอสูรร้ายระดับต่ำ 4 ตัว และแม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตา แต่กลิ่นอายความดุร้ายของพวกมันนั้นน่ากลัวยิ่งนัก

หากเป็นเมื่อก่อน ซูเฉินก็คงล่าถอยไปแล้ว หากแต่ตอนนี้เขาไม่เกรงกลัวอีกต่อไป

เขาเริ่มตวัดดาบในมือ ทิ่มดาบออกไป 14 ครั้ง ดาบแห่งส่องสว่างวาบ เสียงฟ้าร้องดังระเบิดออกมา ก่อตัวเป็นคลื่นพลังขนาดใหญ่พุ่งไปข้างหน้า ทำให้อสูรร้ายระดับต่ำร้องโหยหวน ร่างของมันถูกคลื่นพลังส่งไปไกล กระทั่งอสูรร้ายอีก 3 ตัวด้านหลังเอง พวกมันก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเช่นกัน เป็นเพราะระเบิดอัสนีคำรามเงียบได้สร้างการโจมตีวิญญาณจนพวกมันไม่อาจทนไหว ภาพมายาในห้องโถงกลั่นร้อยวิชานั้นเหมือนจริงมาก กระทั่งการโจมตีจิตยังสามารถทำออกมาได้เหมือนจริงเช่นนี้

เมื่ออสูรร้าย 4 ตัวถูกดาบอัสนีบาตไปแล้วก็ร้องโหยหวน

แต่ทว่ามันไม่เกรงกลัวความเจ็บปวดนี้ และกลับกลายเป็นการเพิ่มความดุร้ายของมันขึ้นแทน ทำให้พวกมันเงยหน้าอ้าปากคำรามขึ้นฟ้า

หลังจากนั้นหนึ่งในพวกมันก็พุ่งเข้าใส่ซูเฉินอย่างดุร้าย

แม้จะถูกพวกมันพุ่งเข้าโจมตี แต่ซูเฉินก็ไม่เคลื่อนกาย ยังคงนิ่งสงบดั่งขุนเขา

เมื่ออสูรร้าย 4 ตัวเข้ามาใกล้ ซูเฉินก็เปล่งเสียงร้องดั่งลั่นขึ้น

“ย่าห์ !”

ตูม !

เสียงร้องของเขาเป็นดังเสียงสายฟ้าฟาด สยบความเคลื่อนไหวของอสูรร้าย 4 ตัวในพลัน

พริบตาต่อมาเด็กหนุ่มก็ได้ดึงดาบออกมา

ยามชักดาบออกมา แสงจากคมดาบก็ปรากฏ มันพุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรทั้ง 4 ราวกับตัดผ่านอากาศ

เมื่อแสงดาบเลือนหายไป สัตว์อสูรทั้ง 4 ก็พลันร่างแยกเป็นสองส่วน ก่อนที่ร่างจะสลายกลายเป็นแสงและหายไปในที่สุด

ดาบอัสนีบาตฉบับปรับปรุงสามารถเอาชนะสัตว์อสูร 4 ตัวได้ในการซัดพลังครั้งเดียว นับว่าทรงพลังนัก

เมื่อไม่มีอสูรปรากฏขึ้นมาอีก ดังนั้นซูเฉินจึงกลับออกมา

หลังจากเดินออกมาแล้วก็พบว่าเขาได้คะแนนอุทิศเพียง 50 คะแนนเท่านั้น ทำให้จำได้ว่าห้องโถงกลั่นร้อยวิชาจะคิดคะแนนอุทิศจากชั้นปีของศิษย์ด้วย โดยศิษย์แต่ละคนจะได้รับ 25 หรือ 50 คะแนนจากการผ่านห้องแต่ละห้องตามปีที่ตนศึกษา หากอยากได้คะแนนเพิ่มมากขึ้นมีแต่ต้องผ่านห้องไปก่อนเวลากำหนดเท่านั้น

ซูเฉินนับเป็นศิษย์ปี 2 แล้ว ดังนั้นจึงได้รับคะแนนอุทิศ 50 คะแนนหลังจากผ่านห้องที่สี่ไปได้ และหากต้องใช้ความพยายาม 2 ครั้งในการผ่านห้องนี้ เขาก็จะได้คะแนนเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น

เดิมทีเด็กหนุ่มคิดว่าจะต้องผ่านห้องที่สี่ให้ได้ก่อนสิ้นปีการศึกษา แต่เพราะเขาวุ่นวายนักจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสิ้น

“ดูท่าหากข้าไม่ผ่านห้องสูงกว่าชั้นปีก็คงไม่ได้คะแนนเพิ่มสินะ งั้นเอาเป็นว่าข้าจะลองห้องที่ห้าดู” ซูเฉินยิ้ม

“เจ้าต้องทำได้แน่” ศิษย์ร่างผอมหัวเราะ

อสูรร้ายระดับกลาง ปรากฏตัวขึ้นในห้องที่ห้า

อสูรร้ายระดับกลางมีพลังเทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณระดับสูง หรือก็คือทางสถาบันมุ่งหวังให้ศิษย์ปี 3 มีขั้นพลังเทียบเท่าได้กับด่านก่อเกิดลมปราณระดับสูง

เป็นเกณฑ์ที่คนธรรมดาไม่อาจทำได้

ซูเฉินเคยต่อสู้กับอสูรร้ายระดับกลางมาก่อน แต่ตอนนั้นเขาร่วมมือกับกังเหยียน อีกทั้งยังมีเครื่องมือพร้อมรบ

ที่ห้องโถงกลั่นร้อยวิชาไม่อนุญาตให้นำเครื่องมือช่วยเหลือใด ๆ เข้ามา รวมถึงเครื่องมือต้นกำเนิดหรือยันต์ต้นกำเนิดด้วย ดังนั้นมีเขาคนเดียวจึงทำให้ความยากเพิ่มมากขึ้น

แต่ถึงกระนั้น ซูเฉินก็ยังสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้

การที่สามารถเอาชนะอสูรร้ายได้ หมายความว่าพละกำลังของซูเฉินนั้นก้าวข้ามผ่านผู้มีขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณระดับสูงไปแล้ว

หรือก็คือ นี่คือความแข็งแกร่งที่ศิษย์สถาบันสมควรมี ปกติแล้วศิษย์ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นจะมีขั้นพลังสูงกว่าคนธรรมดาส่นมากอยู่ครึ่งขั้น

หลังจากเอาชนะห้องนั้นมาได้ เขาก็ได้รับ คะแนนอุทิศ 100 คะแนน

หากเขารอจนถึงปี 3 เขาจะได้เพียง 25 คะแนน

หลังจากผ่านห้องที่ห้ามาได้ ซูเฉินก็ถามศิษย์ร่างผอมว่ามีศิษย์ปี 2 ผ่านห้องที่หกไปได้กี่คนแล้ว

ศิษย์ร่างผอมเปิดบันทึกดู จากนั้นตอบว่า “25 คน”

มีศิษย์ปี 2 จำนวน 25 คนผ่านห้องที่หกไปแล้วงั้นหรือ ?

แน่นอนว่าศิษย์แต่ละคนก็พัฒนาฝีมือขึ้นไปเรื่อย ไม่อาจประมาทใครได้

“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดอยู่ในห้องที่หก ?” ซูเฉินถาม

“อสูรร้ายระดับต่ำและระดับกลาง”

ซูเฉินคำนวณกำลังตนเองและความสามารถในการต่อสู้ที่มี เขาสามารถใช้นัยน์ตาวิญญาณและวิชาตรึงวิญญาณเพื่อตรึงสัตว์อสูรระดับกลางไว้กับที่ ก่อนจะใช้ระเบิดเพลิงปักษาขั้นปรับปรุงเพื่อกำจัดพวกอสูรระดับต่ำอย่างรวดเร็ว จากนั้นค่อยจัดการพวกระดับกลางที่เหลือ เมื่อมั่นใจแล้วซูเฉินจึงเอ่ยขึ้น “ข้าจะลองดู”

ศิษย์ร่างผอมปรบมือและยิ้มให้ “เจ้าต้องทำสำเร็จแน่”

หากแต่เมื่อเข้าห้องมา ซูเฉินกลับชะงักค้างไป

นั่นเป็นเพราะ ‘อสูรร้ายระดับกลาง’ ที่ศิษย์ร่างผอมเอ่ยถึงนั้นมาจากเผ่าคนเถื่อน !