ภาคที่ 2 บทที่ 37 ผ่านด่าน (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 37 ผ่านด่าน (2)

เผ่าคนเถื่อนที่อยู่ต่อหน้าซูเฉินนั้นมีร่างกำยำ สูงใหญ่ราว 2 หมี่ (1 หมี่เท่ากับราว 1 เมตร)

สมาชิกของเผ่าคนเถื่อนคนนี้ดูเหมือนหมูในร่างมนุษย์ บนตัวสวมหนังสัตว์อสูรพะรุงพะรัง ทั่วร่างเต็มไปด้วยแผลเป็น ร่างครึ่งบนมีกล้ามเนื้อหนั่นแน่น มีหัวล้าน ในปากมีฟันใหญ่ยื่นออกมา 2 ซี่

อีกทั้งเขายังแบกขวานรบขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยรอยแหว่งไว้บนหลัง ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก

ชีตาห์ดำนอนหมอบอยู่ที่เท้าของคนเถื่อน น่าจะเป็นอสูรร้ายระดับต่ำที่ว่า

นัยน์ตาหยกเขียวของมันมองมาทางซูเฉินอย่างน่ารัก ทำตัวราวกับมันเป็นเพียงแมวจรจัดตัวหนึ่ง

เห็นดังนี้ซูเฉินก็พลันร้องออกมา “บัดซบ !”

เผ่าคนเถื่อนคือเผ่าดั้งเดิม อีกทั้งยังเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งมาก เป็นเผ่าที่มีร่างกายกำยำ มีพลังมหาศาล มีร่างกายดั่งสัตว์อสูร ปกติแล้วจะมีฟันขนาดยักษ์ยื่นออกมา มีรูปร่างสูงใหญ่และหนาแน่น อีกทั้งมีนิสัยหุนหันดุร้ายนัก

ตามตำนานนั้น เผ่าคนเถื่อนคือผลพวงจากการผสมข้ามเผ่าพันธุ์ระหว่างมนุษย์และสัตว์อสูร แต่แท้จริงแล้วอาจไม่ใช่เช่นนั้นก็เป็นได้

เผ่าคนเถื่อนเป็นเผ่าที่ใช้ชีวิตแยกออกจากเผ่าอื่น ๆ มีสายเลือดเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แม้จะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ มีแขนขาและเดินสองขาเช่นมนุษย์ แต่นั่นก็เป็นเพียงการวิวัฒนาการเท่านั้น เพราะการวิวัฒนาการเช่นนี้ก็เกิดขึ้นในเผ่าอื่น ๆ อย่าง เผ่าอาร์คาน่า เผ่าปักษา ชนเผ่าลึกลับ ชนเผ่าพันธุ์ไม้ และเผ่าอื่น ๆ

ร่างกายภายในของเผ่าคนเถื่อนนั้นแตกต่างจากมนุษย์มาก พวกเขามีหัวใจ 2 ดวง ดังนั้นแม้ดวงหนึ่งจะถูกทำลายแต่ก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ มีพลังชีวิตสูงส่ง แม้สมองจะได้รับบาดเจ็บ หากแต่ถ้าไม่ได้บาดเจ็บหนักก็อาจสามารถหายดีดังเดิมได้

พลังชีวิตอันแข็งแกร่งคือสิ่งที่เผ่าคนเถื่อนมีแตกต่างจากเผ่าอื่น ๆ และเมื่อนำความแข็งแกร่งและความดุร้ายมารวมกันแล้ว จึงไม่แปลกที่ผู้คนจะกล่าวว่าชนเผ่านี้ดุร้ายป่าเถื่อน

เผ่าคนเถื่อนเชื่อในคำกล่าวที่ว่าผู้แข็งแกร่งย่อมออกล่าผู้อ่อนแอ พวกเขาเคยเป็นข้ารับใช้ของอสูรกาย(สิ่งมีชีวิตต้นกำเนิด) คอยดูแลคลังอาหารให้เหล่าสัตว์อสูร จนกระทั่งถึงยุคแห่งความโกลาหล

เผ่าคนเถื่อนนั้นเป็นดั่งสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ต่อสิ่งมีชีวิตต้นกำเนิด ทำให้หวังโต้วซานเรียกเผ่าคนเถื่อนว่า ‘ข้ารับใช้และคนเลี้ยงแกะของเผ่าสัตว์อสูร’ และอาจเพราะเรื่องนี้ จึงทำให้เผ่าอัจฉริยะอื่น ๆ ไม่ชอบเผ่าคนเถื่อน

ในสายตาของพวกเขานั้น หากมองว่าเผ่าสัตว์อสูรคือศัตรูอันดับหนึ่ง เช่นนั้นแล้วเผ่าคนเถื่อนก็เป็นศัตรูอันดับรองลงมา

เมื่อเอ่ยถึงเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ คนส่วนมากจะเห็นตรงกันว่าแต่ละเผ่ามีข้อดี

หากแต่เมื่อกล่าวถึงเผ่าคนเถื่อน ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรใด เผ่าพันธุ์ไหน หรือในอดีตจะเคยเป็นศัตรูกันหรือไม่ ไม่ว่าใครต่างก็มองเผ่าพันธุ์นี้ด้วยความรังเกียจ

ที่ต่างคือบางเผ่าพันธุ์หรือบางอาณาจักรจะจงเกลียดจงชังเผ่าคนเถื่อนมากเป็นพิเศษ

หากแต่ซูเฉินไม่ใส่ใจนัก สิ่งสำคัญตอนนี้คือเผ่าคนเถื่อนนั้นหัวรั้นมาก

หากเผ่าคนเถื่อนป่าเถื่อนดุร้ายเพียงอย่างเดียว ซูเฉินคงไม่ใส่ใจมากนัก อย่างไรก็เป็นเพียงภาพมายาหลอกตา แต่ปัญหาใหญ่คือเผ่าคนเถื่อนนั้นหัวแข็งเป็นอย่างมาก

ซึ่งมันก็หมายความว่าชนเผ่านี้มีความทนทานต่อความเจ็บปวดสูงมาก และด้วยแรงใจสูงส่งของเผ่านี้นี่เอง ที่เป็นดั่งพื้นฐานของทุกอย่างที่ชนเผ่าทำสำเร็จมา พวกเขามีความอดทนสูง สามารถต่อสู้ได้เรื่อย ๆ ไม่ว่าบาดแผลจะรุนแรงเช่นไร

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถต้านทานการโจมตีจิตได้มากกว่าคนทั่วไป หากแต่ความแข็งแกร่งเช่นนี้ก็ย่อมสามารถทำให้ทักษะต้นกำเนิดประเภทโจมตีจิตระดับต่ำมีประสิทธิภาพลดลงอย่างแน่นอน

โชคร้ายที่นัยน์ตาวิญญาณและวิชาตรึงวิญญาณไม่ใช่ทักษะต้นกำเนิดประเภทโจมตีจิตระดับสูงนัก ดังนั้นจึงมีผลต่อเผ่าคนเถื่อนลดน้อยลง

เมื่อครั้งอารามนิรันดร์มอบนัยน์ตาวิญญาณให้ ประโยคแรกที่เขียนอยู่ในตำราคือ “ทักษะต้นกำเนิดนี้ จะมีผลต่อเผ่าคนเถื่อนลดลง 9 ใน 10 ส่วน”

ว่าไงนะ ? 9 ใน 10 ส่วน ? ก็บอกไปเลยว่าไม่ได้ผลก็สิ้นเรื่อง

ดังนั้นเมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าคู่ต่อสู้คือเผ่าคนเถื่อน เขาก็รู้ในทันทีว่าแผนที่วางไว้ก่อนหน้าพังไม่มีชิ้นดี

เขาไม่อาจหยุดความเคลื่อนไหวอสูรระดับสูงและสังหารตัวที่อ่อนแอกว่าก่อนได้แล้ว …หากแต่ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง การต่อสู้ยังต้องดำเนินต่อไป

พริบตานั้นเอง ซูเฉินก็ใช้นัยน์ตาวิญญาณกับชีตาห์ดำ

ทำให้เจ้าแมวดำตัวใหญ่นั่นถูกนัยน์ตาวิญญาณสะกดให้อยู่กับที่ในพลัน ส่วนเผ่าคนเถื่อนก็หยิบขวานรบลงจากหลังก่อนจะพุ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงโห่ร้อง

เป็นตอนนั้นที่ซูเฉินรู้ว่าตนทำพลาดไป

ชีตาห์ดำนั้นสงบนิ่งอยู่กับที่ แต่เผ่าคนเถื่อนพุ่งเข้ามา ตรงข้ามกับแผนเดิมของซูเฉินอย่างสิ้นเชิง เขาจึงได้แต่ฟาดดาบอัสนีบาตออกไปป้องกันเท่านั้น

ตูม !

ซูเฉินถูกขวานรบบีบให้ถอยไป พร้อมกันกับการเกิดคลื่นระเบิดขนาดใหญ่ขึ้น

นี่คือเผ่าคนเถื่อนยุคเดิมเป็นแน่แท้ ยังไม่ถูกอารามพลังต้นกำเนิดล้างบาปให้ ดังนั้นความสามารถในการใช้พลังต้นกำเนิดจึงต่ำต้อยมาก อาจจะเทียบเท่าได้กับคนจากเผ่าหินผา แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายก็กลบข้อด้อยตรงจุดนั้นไปจนสิ้น

ขวานรบนั่นสร้างคลื่นพลังกรีดผ่านอากาศ และการโจมตีแต่ละครั้งก็เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ต่อให้ดาบอัสนีบาตซัดถูกร่างของมัน ก็ได้แผลเพียงผิวเผินเท่านั้น

“โบร๋ววว !” เผ่าคนเถื่อนเปล่งเสียงร้องโหยหวนออกมา สร้างคลื่นพลังรอบกายตนแผ่ออกมาในอากาศ จากนั้นมันก็แกว่งขวานรบไปมาแล้วพุ่งเข้ามาอีก

มันฟาดขวานลงมา !

ในจังหวะสำคัญนั้นเอง ร่างของซูเฉินก็วาบหายไป เข้าเปิดใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษ ก้าวเท้าอยู่หลายครั้ง เปลี่ยนทิศกลางอากาศ จากนั้นจึงทำการหลบการโจมตีอันรุนแรงนี้ไปอีกทาง

ชีตาห์ดำกระโดดตะครุบเข้ามา ซูเฉินจึงใช้วิชาตรึงวิญญาณ ทำให้มันถูกสะกดอยู่กับที่อีกครั้ง

หากแต่ชีตาห์ดำกลับปล่อยคลื่นพลังสีครามเป็นสายลมเฉียบคมออกมาจากปากก่อนที่จะถูกวิชาสะกดไว้

บัดซบ ! พยัคฆ์เขี้ยวดาบจำแลง !

ซูเฉินเดือดดาลจนแทบสบถด่าออกมา

พยัคฆ์เขี้ยวดาบนั้นดุร้ายนัก แต่เดิมทีเป็นอสูรร้ายโจมตีระยะไกล โจมตีคู่ต่อสู้ด้วยการปล่อยลมคมดาบออกมา ดังนั้นแม้เด็กหนุ่มจะไม่เคลื่อนกาย เจ้าพยัคฆ์ก็ไม่มีทางเข้าใกล้เขาเป็นแน่

เผ่าคนเถื่อนและพยัคฆ์ตัวนี้รวมกันเป็นการโจมตีระยะใกล้และไกล ซูเฉินไม่รู้ตรงจุดนี้ จึงเสียโอกาสลงมือไปถึง 2 ครั้ง

เสียโอกาสครั้งนี้ยังผลร้ายแรงนัก เขาเสียโอกาสลงมือถึงสองครั้งสองครา ดังนั้นตอนนี้จึงต้องเผชิญกับขวานรบที่กำลังพุ่งเข้าใส่

แม้จะสร้างเกราะขึ้นมาอย่างทันท่วงที แต่การโจมตีของขวานรบก็ซัดลงบนอกเขาอย่างจัง

เกราะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ส่วนขวานรบเฉาะลงบนร่างซูเฉิน เกิดเป็นรอยแผลสีรุ้งขึ้น

นี่คือระบบของห้องโถงกลั่นร้อยวิชาที่ใช้ประเมินบาดแผลของซูเฉินว่าร้ายแรงพอจะถูกปรับแพ้ไปหรือไม่

ผลที่ออกมาชัดเจนนัก ซูเฉิน ‘บาดเจ็บสาหัส’

ซูเฉินรู้สึกร่างตนเองแข็งค้างไปชั่วขณะราวกับมีพลังไร้รูปร่างบางอย่างกดการเคลื่อนไหวของเขาไว้

ห้องโถงกลั่นร้อยวิชาจำลองอาการบาดเจ็บสาหัสออกมาเช่นนี้

หากแต่เคราะห์ร้ายยังไม่จบลงเพียงเท่านี้

เผ่าคนเถื่อนง้างขวานรบเข้าใส่อีกครา ซึ่งเด็กหนุ่มเองก็พยายามหลบอย่างถึงที่สุด แต่การเคลื่อนไหวที่ถูกกดดันไว้ทำให้ก้าวย่างหมอกอสรพิษเคลื่อนได้ช้าลง เขาจึงถูกบีบให้ต้องกระโดดม้วนตัวกลางอากาศเพื่อหลบการโจมตี หากแต่เขี้ยวครามของเจ้าพยัคฆ์ก็ได้ซัดเข้ามาที่ต้นขา ทำให้ซูเฉินรู้สึกว่าขาตนหนัก ไม่อาจขยับเขยื้อนได้

แต่เขายังไม่ยอมแพ้ เมื่อร่างตกถึงพื้นก็กลิ้งตัวหลบ ก่อนที่หางตาจะเหลือบเห็นท่อนขาใหญ่กำลังพุ่งมาทางเขา

ขวานรบถูกยกขึ้นสูง จากนั้นสับลงมายังคอเขา

พริบตาที่มันกำลังจะสับลงมาบนคอซูเฉิน ร่างของเขาก็วาบหายไปอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้นั้น เด็กหนุ่มราวกับหายไปในอากาศ

วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย !

ซูเฉินคุ้นเคยกับวิชาโบราณอาร์คาน่าที่เคยได้รับมาเมื่อกว่า 2 ปีก่อนวิชานี้แล้ว

เขามองมันเป็นหนึ่งในวิชาไพ่ตาย แต่เผ่าคนเถื่อนเพียงหนึ่งคนกลับบีบให้เขาต้องใช้มันออกมาได้

หลังจากหายตัวไปปรากฏอยู่ด้านหลังเผ่าคนเถื่อน ซูเฉินก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้น ปล่อยพลังรุนแรงออกมาจากทั้งสองมือ

ริ้วพลังสีขาวบังเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน ก่อตัวขึ้นเป็นกระสุนมากมาย พุ่งเข้าใส่พยัคฆ์เขี้ยวดาบ

กระสุนพลังต้นกำเนิด !

เป็นวิชาโบราณอาร์คาน่าอีกหนึ่งวิชา

วิชาโบราณอาร์คาน่านี้ทรงพลังมาก ริ้วพลังสีขาวพุ่งเข้าไปราวกับคลื่นในมหาสมุทร ส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้า เมื่อซัดโดนพยัคฆ์เขี้ยวดาบ ร่างของมันก็สลายกลายเป็นแสงในทันที

เผ่าคนเถื่อนที่อยู่ด้านหลังหันกลับมาพุ่งเข้าใส่ เงื้อขวานรบขึ้นสูงอีกครั้ง

ซูเฉินไม่มีโอกาสหลบ

ดังนั้นเขาจึงพุ่งหนีออกไปเต็มแรง

เขาฝืนผลพวงจากอาการ ‘บาดเจ็บสาหัส’ บนร่าง จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้ ราวกับเป็นกำลังเฮือกสุดท้ายก่อนชีวิตจะดับสิ้นไป

ขวานรบเงื้อขึ้นสูงหมายฟันลงมาบนหลังหัวซูเฉิน ส่งผลให้เขารับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาล

ใช่แล้ว ความรู้สึกกดดัน !

แม้จะเป็นเพียงภาพมายา ซูเฉินก็ยังรู้สึกแรงกดดันนี้

เป็นเพราะเขาไม่อยากพ่ายแพ้ !

หากแพ้ที่นี่ก็เท่ากับตาย !

และหากนี่เป็นการต่อสู้จริง ซูเฉินก็คงตายไปนานแล้ว

การต่อสู้ที่แลกด้วยชีวิตเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องใช้กำลังทั้งหมดที่ตนมี

เขาจะมายอมแพ้เพียงเพราะมันเป็นภาพมายาไม่ได้

แม้กระทั่งในตอนนี้ที่ซูเฉินกำลังเผชิญหน้าเข้ากับสถานการณ์ยากลำบาก เขาก็ยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้ได้

เขาพุ่งไปด้านหน้าอย่างดุดัน พยายามถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด

ขวานรบขนาดยักษ์เข้าใกล้หัวเด็กหนุ่มเรื่อย ๆ

และในตอนที่มันกำลังจะฟันลงมานั่นเอง ซูเฉินก็หันหลังกลับมาพร้อมกับเงื้อมือขึ้น

ขวานรบฟันลงบนแขนเขาอย่างจัง

ฉัวะ !

ภาพมายาประมวลผลว่าแขนของซูเฉินถูกขวานฟันจนขาด กระเด็นไปในอากาศ

แรงกดดันไร้ร่างก่อเกิดขึ้นอีกครั้ง มันกดแขนขวาซูเฉินไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีกต่อไป ภาพมายากระทั่งสร้างความเจ็บปวดลึก ทำให้กระทบถึงสมาธิของเขา

หากแต่ซูเฉินกัดฟัน พุ่งไปด้านหน้าต่อไปราวกับไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย

แม้แขนจะขาดไปข้างหนึ่ง แต่การป้องกันเมื่อครู่ก็ไม่สูญเปล่า

ขวานรบถูกสกัดกั้นไว้ได้ อีกทั้งยังมีตาข่ายล่องหนบังเกิดขึ้นตรงหน้าซูเฉินหลังจากที่เขาเงื้อแขนขึ้นรับการโจมตี

เผ่าคนเถื่อนยังคงพุ่งเข้ามา จากนั้นเสียงราวกับบางอย่างถูกฉีกกระชากก็ดังขึ้น

เมื่อเหลือบมองไปยังเผ่าคนเถื่อนอีกครา ก็พบว่าร่างของมันเต็มไปด้วยบาดแผลจากตาข่ายล่องหน

ภาพมายาประมวลผลว่าเผ่าคนเถื่อนได้รับบาดเจ็บ ทำให้เคลื่อนไหวช้าลง

ฝีเท้าของเผ่าคนเถื่อนจึงช้าลงมาก ขวานรบตัดผ่านอากาศไป พลาดซูเฉินไปเพียงนิด

เด็กหนุ่มสามารถหลบการโจมตีครั้งรุนแรงได้สำเร็จ

ก่อนที่ซูเฉินจะกระโดดกู่ร้องขึ้นไปในอากาศ ใช้แขนข้างที่เหลืออยู่สร้างระเบิดเพลิงปักษาฉบับปรับปรุงขึ้นซัดใส่เผ่าคนเถื่อน

ตูม !

เพลิงปักษาขนาดยักษ์ซัดลงบนร่างเผ่าคนเถื่อน ส่งผลให้มันกระเด็นลอยไปไกล

หากแต่เขายังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เด็กหนุ่มเตะเท้าไปในอากาศ สร้างริ้วแสงยิงคลื่นพลังส่งไปยังศัตรู

ใช้เท้าตนต่างดาบ !

ดาบอัสนีบาตอันเฉียบคมไล่ตามเผ่าคนเถื่อนไป สร้างบาดแผลใหญ่ขึ้นอีกหลายแผล ทำให้เผ่าคนเถื่อนร้องโหยหวน จากนั้นร่างยักษ์ก็ล้มลงบนพื้น ไม่ไหวติงอีก

ซูเฉินถอนหายใจออกมา หากแต่ในจังหวะนั้นนั่นเอง เผ่าคนเถื่อนนั่นกลับกระโดดขึ้นมาอีกครา พุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มพร้อมขวานรบในมือ

ซูเฉินไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ เขารู้ว่าตนไม่มีทางหลบทัน ดังนั้นจึงใช้แขนซ้ายรับการโจมตีนี้ไป

ฉัวะ !

ขวานรบฟันแขนซ้ายซูเฉิน แขนข้างนั้นสลายกลายเป็นแสง เขาจึงไม่อาจขยับแขนซ้ายได้อีกต่อไป เป็นตัวบอกว่าแขนซ้ายถูกตัดขาดไปแล้ว

เผ่าคนเถื่อนกระโดดเข้ามาอีกครั้ง มันกู่ร้องพร้อมพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน

เผ่าคนเถื่อนจะสามารถรอดจากระเบิดเพลิงปักษาฉบับปรับปรุงและการโจมตีด้วยดาบอัสนีบาตหลายครั้งได้จริงหรือ ?

ซูเฉินสงสัย หากแต่เผ่าคนเถื่อนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ดูราวกับไม่ใส่ใจการโจมตีทั้งหมดของเขา แต่แขนทั้งสองข้างของซูเฉินกลับขาดไปแล้ว เขาไม่อาจใช้ทักษะต้นกำเนิดได้อีก เขาไม่มีทางทำการต่อสู้ต่อไปได้แน่

หรือจะยอมแพ้ไปตอนนี้ดี ?

แววแข็งขืนบังเกิดขึ้นในนัยน์ตาซูเฉินเมื่อเห็นภาพที่เผ่าคนเถื่อนกำลังวิ่งพุ่งเข้ามา

เขาพึมพำ “ร่างกายข้าเองก็เคยได้รับการหล่อหลอมพลังมาก่อน”

ว่าแล้วเขาก็พลันก้มหัวลงต่ำ จากนั้นจึงเปล่งเสียงร้องดังออกมาก่อนจะพุ่งเข้าใส่เผ่าคนเถื่อน ทิ้งไว้เพียงภาพค้างตาของการเคลื่อนไหวครั้งก่อนหน้า

ปึง !

ร่างของทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ เปิดโอกาสให้เผ่าคนเถื่อนบีบคว้าลำคอของซูเฉิน แม้มันจะเป็นเพียงภาพมายา แต่พละกำลังที่มีนั้นเหมือนจริงนัก ซูเฉินรู้สึกราวกับกำลังจะหมดสติ แต่เขาพยายามไม่ใส่ใจมัน กัดเข้าที่คอเผ่าคนเถื่อนแล้วกระชากเนื้อมันออกมาอย่างบ้าคลั่ง

ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด กลิ้งไปมาบนพื้น ฉีกเนื้อเถือหนังของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้

ซูเฉินใช้ทั้งหน้าผากและสองเท้า ทิ้งกลยุทธ์ทุกอย่างที่เคยมี หากแต่ใช้อวัยวะทุกอย่างในร่างเพื่อโจมตีอีกฝ่าย

ซูเฉินค่อย ๆ รู้สึกว่าร่างกายตนหมดแรงลงอย่างช้า ๆ

เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงในการต่อสู้อีกต่อไป ได้แต่นอนนิ่งอยู่กับพื้น ไม่อาจคลายร่างกายที่แข็งเกร็งของตนลง สายตาพร่ามัวไปหมด

อย่างไรเขาก็ต้องแพ้เท่านั้นหรือ ?

น่าเสียดาย เขาถอนหายใจอยู่ภายใน

เด็กหนุ่มพยายามจนถึงขั้นนี้ แต่สุดท้ายก็ยังแพ้ ดูท่าเขาจะประเมินตนสูงเกินไปจริง ๆ

ขณะที่เขากำลังนอนครุ่นคิดกับตนเอง พริบตาต่อมากลับเห็นร่างของเผ่าคนเถื่อนเซไปเล็กน้อย หมัดที่กำลังส่งมาทางเขาหยุดชะงักไป ก่อนที่มันจะล้มหงายหลังลงไป

จากนั้นมันก็นอนแน่นิ่ง

ตายหรือ ?

ซูเฉินเห็นดังนั้นก็ชะงักไป

ราวกับจะตอบคำถามเมื่อครู่ของซูเฉิน ร่างขนาดยักษ์ของเผ่าคนเถื่อนสลายกลายเป็นแสงขาว จากนั้นค่อย ๆ หายไปในที่สุด

น้ำเสียงไร้อารมณ์เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหู “ผ่านห้องได้สำเร็จ”

******