บทที่ 45 ไม้ตาย

ท่องภพสยบหล้า

ขณะมองกลุ่มคนเมืองซานซานเดินจากไปไกล หลินเจิ้งเหรินยังไม่ทันพูดอะไร หลินเจิ้งหลี่ผู้เป็นน้องชายแท้ๆ ของเขาก็พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจมาก “คนเถื่อนไร้มารยาท!”

ครั้งนี้ผู้นำกลุ่มของเมืองวั่งเจียงคือหลินเจิ้งเหริน ส่วนหลินเจิ้งหลี่เป็นตัวแทนศิษย์ปีหนึ่งของสำนักเต๋าเมืองวั่งเจียงเข้าร่วมการต่อสู้

หลินเจิ้งเหรินได้ยินก็เพียงยิ้มบางๆ ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ

ผู้บำเพ็ญของเมืองวั่งเจียงที่นั่งอยู่ทุกคนสวมใส่เครื่องประดับ ชาติตระกูลของพวกเขาในเมืองวั่งเจียงไม่ใช่แค่ร่ำรวยแต่ยังสูงศักดิ์ ด้วยเหตุนี้จึงมีนิสัยอย่างคุณชายเสเพลเล็กน้อย แม้จะอยู่ในเขตเมืองหลินเฟิงก็ยังปากไม่มีหูรูด คิดจะด่าใครก็ด่า

“รองานเสวนาเต๋าเริ่มขึ้น จะมอบบทเรียนให้พวกมันให้ได้”

“คนเมืองเฟิงหลินก็ไม่เท่าไรเหมือนกัน ข้าบอกว่าจะไปเที่ยวเล่นที่หอสามจรุงสักหน่อย พวกเขากลับไม่สนใจข้า! ขี้งกจริงๆ!”

“ฮ่าๆๆ พวกเขาจนนี่นา เจ้าดูเรือนพักที่พวกเขาเตรียมไว้ต้อนรับพวกเรา นั่นใช่ที่ที่คนอยู่หรือ แม้แต่ท่อทำความร้อนใต้ดินก็ไม่มีให้ เครื่องนอนก็เป็นแค่ผ้าฝ้ายธรรมดา!”

“เฮ้อ คนจนยากไร้พวกนี้ จะทำอย่างไรได้ ข้าสั่งให้คนไปจัดการแล้ว อยู่แบบนี้ไปก่อนสักสองวันก็แล้วกัน”

ขณะที่คนทั้งหลายบ่นว่า ก็พลันมีเสียงหนึ่งพูดขึ้น “ป๋อเป้าซงเล่า ไม่มาอีกแล้วหรือ”

“เจ้าจะสนใจอะไรเขา” หลินเจิ้งหลี่หลุดหัวเราะ “ก็ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักให้มาด้วยทำไม ทั้งจนทั้งเหม็น”

หลินเจิ้งเหรินวางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะเบาๆ หลินเจิ้งหลี่หุบปากทันที

หลินเจิ้งเหรินยกตะเกียบขึ้นมา “กินข้าว”

บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้งทันที

……

ภายใต้การเร่งเร้าจากเจียงวั่ง เจียงอันอันคืนกล่องสมบัติที่ได้มาจากสหายร่วมเรียนไป ทั้งยังแสดงตัวว่าจะไม่ช่วยสหายร่วมเรียนโกงข้อสอบอีก วันข้างหน้าตนจะตั้งใจสอบ สอบให้เห็นความโดดเด่น สอบให้ได้คะแนน เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลเจียง

เงื่อนไขคือ ทุกครั้งหลังอาหารมื้อเย็นนางขอเพิ่มของหวานจากร้านกลิ่นดอกกุ้ยหนึ่งถ้วย

ไม่กลัวฟันร่วงเลย!

ตอนที่พวกหลิงเหอคอยต้อนรับสหายจากเมืองซานซานที่เดินทางรอนแรมมาไกล หลังจากเจียงวั่งเสร็จสิ้นการฝึกฝนของวันนั้น ก็มารับน้องสาวหลังเลิกเรียนที่สถานธรรมกระจ่าง

ต้องบอกเลยว่าการช่วยเหลือจากเคล็ดควบคุมปราณทำให้การควบคุมรากพลังเต๋าของเขาพัฒนาได้เร็วจนน่าประทับใจ สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ตอนนี้เขาวางจุดพลังได้สบายดั่งใจนึกทุกครั้ง นานมากแล้วที่ไม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น

กอปรกับเคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพช่วยเสริมความแข็งแกร่งของกายเนื้อ เพิ่มจำนวนครั้งในการฝึกบำเพ็ญทะลวงชีพจรได้อย่างดีเยี่ยม หากไม่ใช่ว่าเขาควบคุมไว้ เกรงว่าคงสร้างรากฐานสำเร็จไปแล้ว แต่ถึงแม้จะไม่ได้บีบคั้นศักยภาพของร่างกายจนถึงขีดสูงสุด เขาก็ห่างจากการสร้างรากฐานสำเร็จไม่ไกลแล้ว

เขารับเจียงอันอัน เตรียมไปกินอะไรอร่อยๆ สักมื้อ ทันใดนั้นก็มีเด็กหญิงที่ถักเปียเล็กๆ เต็มศีรษะคนหนึ่งกระโดดมาตรงหน้าเขา

นิ้วชี้หน้าเจียงวั่ง ไร้มารยาทเป็นอย่างมาก “เป็นเจ้าที่ไม่ให้อันอันเล่นกับข้าอย่างนั้นหรือ”

เจียงวั่งจำได้ นี่ก็คือปีศาจน้อยป่วนโลกที่เจอในห้องของอาจารย์ชราที่สถานธรรมกระจ่างวันนั้น เป็นเด็กน้อยที่แค่เห็นก็รู้ว่าถูกฟูมฟักทะนุถนอมเป็นอย่างดี

ลำพังแค่ไข่มุก เม็ดหยก และเม็ดมรกตเล็กๆ ที่ประดับอยู่บนเปียเส้นเล็กพวกนั้น ก็เห็นได้ถึงความร่ำรวยแล้ว

เจียงวั่งไม่มีอะไรจะต้องถือสาหาความเด็กตัวเล็กๆ คนนี้ “หนูน้อยผู้นี้ ข้าแค่ให้เจียงอันอันไม่โกงข้อสอบกับเจ้า ไม่ได้ห้ามนางเล่นกับเจ้า”

เด็กน้อยผมเปียแค่นเสียงขึ้นจมูก “เช่นนั้นทำไมถึงคืนสมบัติพวกนั้นให้ข้า นั่นเป็นหลักฐานพิสูจน์มิตรภาพของพวกเรา!”

“มิตรภาพไม่ใช่สิ่งที่จะใช้เงินทองพิสูจน์ได้” เจียงวั่งไม่ค่อยมีความอดทนกับเด็กคนอื่นสักเท่าไร สั่งสอนไปตามปากสักประโยคก็พูดต่อว่า “เอาละ ข้าจะพาอันอันกลับบ้านแล้ว”

“ไม่ได้! พูดไม่กระจ่างก็ห้ามไปเด็ดขาด!” เด็กหญิงผมเปียเส้นเล็กกางแขนออก ขวางทางเอาไว้

เจียงวั่งจนปัญญา จำต้องงัดไม้ตายขึ้นมาใช้ “ข้าจะฟ้องอาจารย์ของพวกเจ้าล่ะนะ”

“เจ้ากล้ารึ” เด็กหญิงผมเปียถกแขนเสื้อด้วยท่าทางโมโหฮึดฮัด “เชื่อหรือไหมว่าข้าจะชกเจ้า”

เจียงวั่งยังไม่ทันพูดอะไร อันอันก็กล่าวขึ้นมาว่า “ชิงจื่อ ถ้าเจ้าตีพี่ชายข้า ข้าจะไม่เล่นกับเจ้าจริงๆ แล้ว!”

“อ๊ะ อย่านะ เช่นนั้นข้าไม่ตีเขาแล้ว” เด็กหญิงที่ชื่อว่าชิงจื่อรีบดึงแขนเสื้อลงมา

เจียงวั่งที่ฟังอยู่ข้างๆ รู้สึกหมดคำจะพูด ‘เจ้าสู้ข้าได้หรือไร แม่เด็กเมื่อวานซืน!’

“ข้าจะพูดอีกรอบนะ เด็กน้อย ขอแค่พวกเจ้าไม่ร่วมกันทำเรื่องไม่ดี อย่างเช่นโกงข้อสอบหรือโดดเรียนอะไรพวกนี้ ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้าเล่นกับอันอัน เข้าใจหรือยัง เข้าใจแล้วก็รอคนที่บ้านเจ้ามารับ ข้ากับอันอันจะไปกินน้ำแกงลูกชิ้นหมูกันแล้ว!”

เจียงอันอันเดิมทียังคิดอยากคุยเล่นกับสหายอีกสักหน่อย แต่พอได้ยินว่าจะไปกินน้ำแกงลูกชิ้นหมูก็ไม่สนใจแล้ว โบกมือหย็อยๆ พลางพูดว่า “ไว้พบกันใหม่ชิงจื่อ! เจอกันวันพรุ่งนี้!”

เด็กหญิงผมเปียโบกมือพลางหลีกทางให้ เจียงวั่งอุ้มเจียงอันอันก้าวจากไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างมองแผ่นหลังที่ก้าวเท้าจากไปราวกับดาวตก นางก็แค่นเสียงอีก เอ่ยงึมงำว่า “มีอะไรวิเศษวิโสกัน”

……

ในที่สุดเหล่าผู้บำเพ็ญจากเมืองซานซานก็มาถึงเรือนพักที่สำนักเมืองเต๋าเมืองเฟิงหลินเตรียมไว้ให้

ประตูเพิ่งปิดลง คนสวมเสื้อคลุมดำที่ประชาชนเมืองเฟิงหลินมองว่าเป็นจอมปีศาจซ่อนกายก็ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น เอ่ยอย่างทั้งโมโหทั้งเศร้าใจ “แยกย้ายกันไปได้แล้วกระมัง ถึงเมืองเฟิงหลินแล้ว ข้ายังจะหนีไปไหนได้อีก”

ตลอดทางมาเขาลองมากกว่าร้อยวิธีเพื่อจะหนีกลับเมืองซานซาน แต่ก็ถูกจับกลับมาเสียทุกครั้ง สุดท้ายเมื่อใกล้ถึงเมืองเฟิงหลิน ก็ยิ่งล้อมเขาเข้าเมืองมา

ผู้บำเพ็ญเมืองซานซานทั้งหลายได้ยินดังนั้นก็กระอักกระอ่วน แต่ละคนต่างมองดินมองฟ้า ยังมีอีกสองคนมองนิ้วมือกันและกัน ไม่มีใครก้าวไปไหน

ส่วนจอมปีศาจตัวจริงกระโดดโลดเต้นเข้าไปในห้อง หลังจากเที่ยวชมทั้งหกห้องครบแล้ว ก็กระโดดกลับมาที่ลานบ้าน นางยกมือชี้ไปยังห้องที่อยู่สุดทิศตะวันตก บนข้อมือทั้งสองข้างของนางมีโซ่เงินเส้นหนึ่ง ปลายโซ่มีค้อนเล็กๆ สีเงินห้อยอยู่ กำลังแกว่งไปมาตามการเคลื่อนไหวของนาง

“เอาละ พวกเจ้าไปเลือกห้องเถอะ! ห้องนั้นเป็นของข้า”

คนทั้งหลายถึงได้แยกย้ายกันไป

“เจ้าอ้วนซุน” ซุนเสี่ยวหมานเรียกซุนเซี่ยวเหยียนที่ตะกายขึ้นมาจากพื้น “เจ้าอยู่ห้องข้างๆ ข้า!”

“ไม่เอา!” ซุนเซี่ยวเหยียนตะโกน แต่เมื่อเห็นสายตาของซุนเสี่ยวหมาน เสียงก็อ่อนลงทันที “ไม่เอาได้หรือไม่”

“ไม่ได้” ซุนเสี่ยวหมานกะพริบตาปริบๆ

นางมีดวงตาที่ทั้งกลมโตและเป็นประกาย ยามกะพริบเหมือนกับแสงจันทร์ที่สะท้อนบนผืนน้ำ

แต่ซุนเซี่ยวเหยียนรู้สึกเพียงตัวจะสั่นสะท้าน

ซุนเสี่ยวหมานเอามือไพล่หลังกระโดดเข้าไปข้างใน เครื่องประดับค้อนเล็กๆ สีเงินคู่นั้นแกว่งไปมาซ้ายขวา กระทบกันอยู่ตลอด ส่งเสียงใสกังวานออกมา “เจ้าอ้วน ตามพี่สาวเข้ามา~”

ซุนเซี่ยวเหยียนเดินตามหลังนางอย่างไม่เต็มใจ เข้าไปในห้องพลางเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “อย่าเรียกข้าว่าเจ้าอ้วนได้ไหม ข้ามีชื่อจริงนะ!”

“ได้เลยเจ้าอ้วนซุน” ซุนเสี่ยวหมานหมุนตัวมา กวักมืออย่างไม่ใส่ใจ “มา มานั่งนี่”

ซุนเซี่ยวเหยียนนั่งลงอย่างเชื่อฟัง เนื้ออ้วนๆ เป็นกองบดเบียดจนล้นเก้าอี้เอน

ซุนเสี่ยวหมานยื่นมือเปิดหมวกของชุดคลุมออกให้เขา เผยให้เห็นใบหน้าอวบอ้วน

“โอ้โห ดูมันบวมเสียสิ” ยามที่ซุนเสี่ยวหม่านไม่โหดร้าย เสียงพูดจะน่ารักอ่อนโยนนัก

สวรรค์ ข้าได้รับการเอาใจใส่แล้ว ในใจของซุนเซี่ยวเหยียนอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

ทว่าเขาก็ตั้งสติได้ในทันที ถุย!

เขาถ่มน้ำลายในใจดังๆ

ซุนเสี่ยวหมานหยิบขวดหยกใบเล็กออกมา เพียงเปิดจุกไม้ออก ก็มีกลิ่นหอมสดชื่นโชยออกมา

นางใช้ปลายเล็บนิ้วก้อยป้ายยาเนื้อใสออกมาเล็กน้อย จากนั้นแตะไปที่ใบหน้าของซุนเซี่ยวเหยียน แล้วใช้ปลายนิ้วค่อยๆ นวด

ซุนเซี่ยวเหยียนไม่กล้าขัดขืน นั่งนิ่งรับการทายาจากพี่สาว บนใบหน้าเย็นวาบก่อน จากนั้นก็รู้สึกสบาย บริเวณที่ปวดพวกนั้นก็เหมือนจะค่อยยังชั่วขึ้นทันที

“เรียบร้อย!” ซุนเสี่ยวหมานทายาเสร็จก็ตบๆ ใบหน้าของซุนเซี่ยวเหยียน “ทาไว้คืนหนึ่ง พรุ่งนี้ก็หายบวมแล้ว”

คำขอบคุณเกือบจะหลุดออกจากปากของซุนเซี่ยวเหยียนตามจิตใต้สำนึก แต่เขาก็กลืนมันกลับลงไป

ซุนเสี่ยวหมานเก็บขวดหยก ยิ้มตาหยีพูดว่า “วันหลังจำไว้ว่าอย่าวู่วามแบบนั้นอีก เสียโฉมแล้วอัปลักษณ์ตายเลย อับอายขายหน้าเมืองซานซานหมด”

‘แล้วใครเป็นคนตีข้ากันเล่า!?’

ซุนเซี่ยวเหยียนฉุนอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับฉีกยิ้มออกมา ตอบไปอย่างเชื่อฟังว่า “เข้าใจแล้วพี่สาว”

………………………………………………………