บทที่ 46 สู้ระยะประชิด

ท่องภพสยบหล้า

วันที่สิบเดือนสิบ ภายใต้การจับตามองทั้งในที่ลับและที่แจ้ง งานสามเมืองเสวนาเต๋าของปีนี้ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

ปีหนึ่ง ปีสาม และปีห้าย่อมแยกกันเสวนาเต๋า ยกตัวอย่างเช่นศิษย์ปีหนึ่งสองคนของเมืองเฟิงหลิน ก็ต้องไปสู้กับศิษย์ปีหนึ่งของเมืองซานซานและเมืองวั่งเจียง

สู้รอบเดียวจบ ผู้ชนะที่เหลือสามคนใช้วิธีเวียนพบกันหมด คนแรกสู้กับคนที่สอง คนที่สองสู้กับคนที่สาม คนที่สามสู้กับคนที่หนึ่ง ชนะได้สามแต้ม เสมอได้หนึ่งแต้ม แพ้ได้ศูนย์แต้ม ผู้ที่มีคะแนนสะสมสูงสุดก็จะเป็นผู้ชนะเลิศของงานสามเมืองเสวนาเต๋าครั้งนี้

เช่นนี้แล้วก็จะได้เห็นศักยภาพเฉพาะบุคคล และได้เห็นพลังโดยรวมของสำนักเต๋าทั้งสำนักด้วย หากในการต่อสู้ศึกสุดท้าย ทั้งสองคนล้วนมาจากสำนักเดียวกัน พวกเขาก็สามารถรักษาพลังไว้ไปต่อกรกับอีกคนหนึ่งได้อย่างเยือกเย็น

การเสวนาเต๋าของศิษย์ปีหนึ่งเริ่มขึ้นก่อน สามเมือง ผู้บำเพ็ญหกคน การต่อสู้สามศึกเริ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน

สถานที่จัดงานคือลานจัตุรัสกว้างหน้าจวนเจ้าเมือง เพราะที่นี่มักจะเป็นสถานที่ที่กองทัพประจำเมืองมากล่าวปฏิญาณก่อนเคลื่อนพล ดังนั้นเหล่าชาวบ้านจึงเรียกว่าลานฝึกยุทธ์

ผู้บำเพ็ญจากสำนักเต๋าประจำเมืองชั้นปีหนึ่ง โดยพื้นฐานแล้วล้วนอยู่ในสภาวะเพิ่งวางรากฐานได้ไม่นาน การต่อสู้ใช้วิชาเต๋าเป็นหลัก แต่ก็ต้องใช้ร่วมกับวิชายุทธ์ด้วย นี่เป็นการประลองที่ชาวบ้านทั่วไปดูแล้วเข้าใจได้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่นิยมมากกว่า

ตั้งแต่เช้าที่นี่ก็ถูกล้อมเอาไว้จนแน่นขนัด ประชาชนเมืองเฟิงหลินพาครอบครัวมา รวมตัวกันอยู่ขอบลานฝึกยุทธ์ราวกับตลาดนัด ครั้นกองทัพประจำเมืองออกมาถึงได้ค่อยๆ เป็นระเบียบเรียบร้อย

วันนี้สถานศึกษาของเจียงอันอันก็หยุดสอน ย่อมเป็นหลิงเหอที่พานางมาดูการแข่งขัน

เนื่องจากคนเยอะมาก เจียงอันอันจึงขี่คอหลิงเหอ ตอนนี้นางกำลังตบมือน้อยๆ ส่งเสียงดังให้กำลังใจพี่ชาย

เจ้าหรู่เฉิงกับหวงอาจ้านย่อมมาดูการแข่งขันของเจียงวั่งด้วยเช่นกัน เพียงแต่คนแซ่เจ้าบางคนที่ร่ำรวยเงินทอง ย่อมไม่มีทางทำเรื่องเสียบุคลิกอย่างตะโกนโหวกเหวกเป็นอันขาด ห่างไปจากตรงนี้ไม่ไกล ชายร่างสูงใหญ่กำยำสิบกว่าคนที่เขาจ้างมากำลังตะโกนแหกปาก

“เจียงวั่ง ต้องชนะ! เจียงวั่ง ต้องชนะ!”

ทั้งยังมีธงสองผืนโบกสะบัดรับลม…

ธงด้านซ้ายเขียนไว้ว่า ‘หมัดชกซานซาน ในสายตาไร้คู่ต่อสู้’

ส่วนด้านขวาเขียนไว้ว่า ‘เท้าเหยียบวั่งเจียง ผู้ใดคือวีรบุรุษ’

ถึงแม้เจียงวั่งจะไม่รับความหวังดีนี้ก็ตาม

เสียงตะโกนเรียกชื่อเจียงวั่งดังไปทั่วลานทันที การเสวนาเต๋ารอบนี้เหมือนกลายเป็นการแสดงของเจียงวั่งไปแล้ว มีคนซุบซิบพูดคุยตลอด ถามว่าเจียงวั่งคนนี้เป็นใคร หลังจากที่รู้ว่าเป็นผู้เข้าแข่งขันของเมืองเฟิงหลิน ประชาชนเมืองเฟิงหลินที่ใสซื่อก็ส่งเสียงโห่ร้องเช่นกัน

เจียงวั่งยืนอยู่บนลานประลอง รู้สึก…กระอักกระอ่วนนัก

สนามประลองสามสนามตั้งอยู่ใกล้กัน ผู้บำเพ็ญทั้งหกคนอยู่บนสนามประลอง จากสายตาที่กวาดมองมาทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ เจียงวั่งพบว่าตัวเองกลายเป็นเป้าหมายของทุกคนไปแล้ว หากไม่ใช่ว่ามีกฎจำกัดเอาไว้ น่ากลัวว่าตอนนี้คงได้ห้ารุมหนึ่ง ในนั้นก็รวมไปถึงศิษย์พี่คนนั้นที่อยู่สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินเหมือนกัน

“คนหลงตัวเอง อวดอ้างอะไร!” หลินเจิ้งหลี่ที่มาจากเมืองวั่งเจียงไม่พอใจยิ่งนัก เขาไม่สนใจคู่ต่อสู้ของตัวเอง กลับถ่มน้ำลายไปทางเจียงวั่ง

เสียงไม่เบาไม่ดัง เจียงวั่งได้ยินแต่ไม่สนใจ

ทั้งลานฝึกยุทธ์ถูกแบ่งเป็นสนามประลองสามสนาม ระหว่างแต่ละสนามเว้นเป็นที่ว่างขนาดใหญ่

ผู้บำเพ็ญจากสำนักเขตปกครองเป็นผู้ตัดสินหลัก อาจารย์สองคนจากสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินเป็นผู้ตัดสินรอง การต่อสู้แบบนี้ง่ายมาก คนไหนล้มลงคนนั้นแพ้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องกังวลว่าผู้ตัดสินจะลำเอียงอะไร ความจริงแล้วหน้าที่หลักของผู้ตัดสินคือหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายเพราะผู้บำเพ็ญรุ่นเยาว์ควบคุมได้ไม่ดี

คู่ต่อสู้ของเจียงวั่งมาจากเมืองซานซาน

คนผู้นี้ตัวเตี้ยแต่กำยำ สวมชุดจอมยุทธ์รัดรูป กล้ามเนื้อแน่นจนราวกับก้อนหิน

ทั้งสองฝ่ายคารวะกันตามแบบเต๋า ยืนแยกคนละฝั่ง

เมื่อเสียงของผู้ตัดสินดังขึ้น เจียงวั่งก็ชักกระบี่พุ่งออกไป!

คนดุจมังกรทะยาน กระบี่ทะลวงดั่งดาวตก

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ผู้บำเพ็ญเมืองซานซานคนนั้นประสานปางมือได้ครึ่งทางแล้ว เจียงวั่งก็ตั้งกระบี่ประชิดเข้าไปใกล้

เฉียบขาด รวดเร็ว

ในการต่อสู้ก่อนที่จะเหนือกว่ามนุษย์สามัญ เคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาแทบจะได้เปรียบกว่าอย่างท่วมท้น

ในการคัดเลือกของฝ่ายในสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินก่อนหน้านี้ เขาก็ใช้กระบวนท่าเช่นนี้เอาชนะฟางเฮ่อหลิง ตอนนี้เหมือนเหตุการณ์เดิมจะฉายซ้ำอีกครั้ง

แต่สิ่งที่ทำให้เจียงวั่งและผู้ชมทั้งหลายประหลาดใจคือ ผู้บำเพ็ญจากเมืองซานซานคนนี้ไม่หลบ!

เขากระทั่งว่าไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาจ้องกระบี่ที่เจียงวั่งโจมตีเข้ามาเขม็ง มือก็นิ่ง ตราประทับเต๋าของเขาก่อรูปขึ้นท่ามกลางการจับจ้องเช่นนี้เอง

ในสถานการณ์แบบนี้ หากเขาไม่ทิ้งตราประทับแล้วหลบหลีก ก็ต้องยอมแพ้ไปเลย แต่ด้วยความเร็วที่เจียงวั่งสำแดงออกมา วิชาเต๋าวิชาต่อไปที่จะใช้หลังจากหลบก็จะยิ่งไม่มีโอกาสได้ลงมือ

และเขาก็เลือกทางที่แตกต่างไปจากฟางเฮ่อหลิงโดยสิ้นเชิง!

พลังปราณธาตุดินรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง เจียงวั่งสัมผัสได้ถึงพลังที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินกลุ่มหนึ่ง เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่านั่นคืออะไร

เขามั่นใจมากพอว่าสามารถใช้กระบี่แทงทะลุหัวใจคู่ต่อสู้ได้ก่อนที่หนามปฐพีจะพุ่งแทงมา แต่สองเท้าของเขาก็ต้องถูกหนามปฐพีที่พุ่งตามขึ้นมาแทงทะลุเป็นแน่

ใช้บาดแผลแลกความตาย เขาก็ยังคงชนะ ทว่าเขาไม่อยากชนะแบบนี้

กระบี่ยาวของเจียงวั่งพลันหมุน ครั้นแตะหนามปฐพีที่พลันพุ่งมาจากใต้เท้าก็แยกออกจากกัน ส่วนเขาอาศัยแรงนี้ตีลังกากลับไปยังที่เดิม

ตอนนี้หนามปฐพีที่แหลมคมปูกระจายอยู่รอบๆ ผู้บำเพ็ญเมืองซานซานคนนั้นเต็มไปหมด

ผู้บำเพ็ญที่มาจากเมืองซานซานคนนี้ คนที่ถูกดูถูกว่าเป็นคนเถื่อน เมื่อครู่เขาใช้ชีวิตตัวเองพลิกสถานการณ์มาได้

เขารีบเตะออกไปอย่างต่อเนื่อง เตะหนามปฐพีบนพื้นตรงหน้าให้หักพุ่งโจมตีไป หนามปฐพีราวกับหอก ส่งเสียงหวีดหวิวเป็นชุดขณะจู่โจมเข้าใส่เจียงวั่ง

ส่วนผู้บำเพ็ญจากเมืองซานซานก็ตามหลังหนามปฐพีที่ลอยหวือมา บุกประชิดเข้าโจมตีเจียงวั่ง

ในสายตาตึงเครียดของเจียงอันอัน เจียงวั่งหมุนตัวปานสายลม เคลื่อนตัวหลบหลีกกลุ่มหนามปฐพีที่โจมตีมาอย่างสบายๆ ไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย

แต่ผู้บำเพ็ญเมืองซานซานเข้ามาใกล้แล้ว

ร่างเตี้ยแต่กำยำของเขากระโดดขึ้นสูง หมัดของเขาค่อยๆ หลอมรวมเป็นหิน ขยายใหญ่เป็นหมัดยักษ์ดั่งภูเขาลูกย่อมๆ ลูกหนึ่ง

หมัดพลิกศิลา!

โจมตีป้องกันพลิกสถานการณ์!

ด้วยฝืนรับไม่ได้ เจียงวั่งจึงตั้งกระบี่ไว้ข้างหน้า ใช้หน้ากระบี่รับหมัดศิลาไว้ คิดจะอาศัยแรงโจมตีลอยออกไปไกลๆ แล้วค่อยหาโอกาสใหม่

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม รากพลังเต๋าของผู้บำเพ็ญที่เพิ่งสร้างรากฐานก็มีขีดจำกัด ไม่สามารถใช้วิชาเต๋าได้มากนัก ขอแค่ยื้อเวลาต่อไป วิชากระบี่ของเขาจะต้องเอาชนะได้อย่างแน่นอน

แต่หมัดศิลานั่นจู่ๆ ก็พลิกกลับ คว้ากระบี่ในมือเจียงวั่งเอาไว้แล้วบีบมันจนแหลก!

หมัดพลิกศิลาเดิมเป็นวิชาเต๋าชั้นสี่ระดับบนเท่านั้น แม้เจียงวั่งจะยังไม่ชำนาญ แต่ก็คุ้นเคยดี ไม่คิดมาก่อนเลยว่าวิชานี้จะมีการพลิกแพลงที่คล่องแคล่วว่องไวแบบนี้ด้วย

ภายใต้ความฉุกละหุก เจียงวั่งปล่อยด้ามกระบี่ สองมือกุมหมัดศิลาที่ขยี้กระบี่จนแหลกข้างนั้นไว้แล้วออกแรงหมุน

ความแข็งแกร่งของพลังกายเนื้อที่ได้จากเคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพทุ่มลงไปอย่างไม่ออมมือ เศษหินลอยกระเด็นตามแรงหมุน

ปลายเท้าของเจียงวั่งแตะพื้น ทั้งตัวกระเด็นถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็หลบหมัดศิลาข้างนั้นที่พลันระเบิดออก!

ในช่วงเดียวกับที่เจียงวั่งทำลายหมัดศิลา ผู้บำเพ็ญเมืองซานซานก็ทำให้มันระเบิดเสียเลย เพื่อเป็นการรุกโจมตีอีกแบบหนึ่ง แต่ไม่คิดว่าปฏิกิริยาตอบสนองของเจียงวั่งจะว่องไวขนาดนี้ ยังหลบหลีกได้ในทันที

หมัดขวาระเบิดไม่มีผลกระทบอะไรสำหรับเขา ถึงแม้จะควบคุมเอาไว้แล้ว แต่ทั้งแขนขวาก็ยังเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดสดไหลหยด

ทว่าเขาเหมือนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เอาแต่ไล่ตามเจียงวั่งโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

เขาไม่ได้ประสานปางมืออีก และก็ไม่ทันใช้วิชาเต๋าด้วยเช่นกัน หรือกล่าวอีกอย่างคือเขาตระหนักได้ว่าวิชาเต๋าที่เขาชำนาญในตอนนี้ไม่อาจเอาชนะคู่ต่อสู้ได้

เช่นนั้นลองใช้กายาพลิกยอดคีรี ลองหมัดและบาทาสังหารสิงโตพยัคฆ์ของเขาหน่อยก็แล้วกัน

ฟันศอก แทงเข่า เอาหัวกระแทก!

เจียงวั่งก็ไม่สามารถทิ้งระยะห่างได้อีก เขาไม่มีกระบี่แล้ว ทั้งยังสำแดงวิชากระบี่ออกมาไม่ได้

หมัดชก เท้าถีบ ไหล่รับ!

ทั้งสองคนเข้าต่อสู้ระยะประชิด!

ในพื้นที่เล็กๆ นี้ พวกเขาดุดันที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุด บ้าคลั่งที่สุด!

ในผู้ชมมีผู้ฝึกยุทธ์คนธรรมดาที่ใช้ท่าเหล่านี้เป็นไม่น้อย เมื่อได้เห็นก็เดือดพล่านขึ้นมาทันที!

………………………………………………………