วันนี้วันสุดท้าย
ตอนนี้น้ำเสียงของอีเบลลีน่าไม่หลงเหลือความขำขันอีกต่อไปแล้ว เสียงที่แข็งกระด้างและเย็นชา ไม่รู้เพราะอะไรฉันถึงได้ยินเสียงของนางคล้ายคนกำลังกระสับกระส่าย ไม่มีเหตุผลเลย คนที่เป็นฝ่ายถูกข่มขู่ไม่ใช่นาง แต่คือฉันต่างหาก ใครได้ยินคงคิดว่าอีเบลลีน่ากำลังถูกฉันข่มขู่อยู่แน่
‘วันสุดท้ายเหรอ’
พอคิดได้แบบนั้นฉันก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้ง่ายๆ แสงแดดจ้ายามเช้าลอดผ่านมาจากอีกด้านของหน้าต่าง เสียงร้องของกลุ่มวิหคที่โบยบินกันอย่างยุ่งวุ่นวาย ฉันปิดตาลงและดื่มด่ำกับสิ่งเหล่านี้ช้าๆ เป็นครั้งสุดท้าย วันนี้ที่เหมือนกับเมื่อวาน และไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว
ฉันหลับตาอยู่บนที่นอนแบบนั้นสักพัก ก่อนจะขยับตัวและเตรียมตัวออกไปนอกห้อง
ไม่นาน หลังจากสวมชุดเครื่องแบบง่ายๆ เสร็จก็ตรงไปห้องหนังสือ ฉันเห็นภาพของเหล่านักบวชคุ้นหน้าคุ้นตากำลังยืนถือเอกสารรออยู่ราวกับเป็นเรื่องสมควร
ผ่านไปกี่วันแล้วนะที่ได้เห็นภาพแบบนี้ พวกเขาค้อมหัวพลางกล่าวต้อนรับทันทีที่ฉันปรากฏตัว
“อรุณสวัสดิ์ขอรับ”
กล่าวทักทายเสร็จ เอกสารทั้งหมดก็กองลงบนโต๊ะหนังสือ จากนั้นเหล่านักบวชที่อยู่ด้านข้างต่างก็ส่งเสียงให้เจ้าเริ่มก่อนและไม่นานก็เข้าแถวเพื่อรอลำดับของตนเอง ฉันเริ่มดูเอกสารฉบับแรกอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปสักพัก ฉันเซ็นเอกสารและส่งคืนกลับไปให้ นักบวชรับมันแล้วกล่าวด้วยสีหน้าสดใส
“ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะนำส่วนที่เหลือมาให้ พรุ่งนี้ก็ฝากด้วยนะขอรับ!”
เขายิ้มพลางค้อมตัวแล้วออกจากห้องหนังสือไป เมื่อเห็นภาพด้านหลังที่ดูมีความสุขของเขาฉันก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
‘พรุ่งนี้งั้นเหรอ’
พรุ่งนี้ฉันอาจจะไม่อยู่ที่นี่แล้วก็ได้ ฉันอดกลั้นที่จะไม่พูดแบบนั้นออกไป แล้วก็พลันเกิดความสงสัยขึ้นมา พรุ่งนี้คนที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้จะเป็นใครกันนะ อีเบลลีน่าคนเดิมงั้นเหรอ? หรือจะเป็นวิญญาณดวงใหม่ที่อีเบลลีน่าหามาแทนฉัน?
ย้อนคิดถึงนักบวชคนที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่ เขาดูมีความสุขมากที่ได้เฝ้าคอยให้ถึงวันพรุ่งนี้เพราะจะได้จัดการงานที่เหลือต่อ
บางทีมันอาจจะเป็นความผูกพันธ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ฉันถึงรู้สึกเศร้าใจ
ฉันกวาดตามองไปรอบห้องหนังสือ เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่มาก ด้านหลังมีตู้หนังสือเรียงรายวางอยู่ไม่ต่างจากห้องสมุด โต๊ะหนังสือฝั่งตรงข้ามมีเอกสารที่เกี่ยวกับงานกองพะเนินอยู่ ตอนนี้เก้าอี้ที่อยู่อีกด้านมีเหล่านักบวชกำลังนั่งรอคิวของตนพลางสนทนาเกี่ยวกับภารกิจของวิหารหลวง
‘นางถามว่าทำไมฉันต้องทำตัวขยันขันแข็งโดยใช่เรื่อง’
อีเบลลีน่าที่พบในความฝันถามแบบนั้นกับฉัน
‘มันคือความใฝ่ฝันของฉัน’
สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกอิจฉาที่สุดในตอนที่นอนดูชีวิตประจำวันของผู้คนผ่านแอปโซเชียลมีเดียบนเตียงในโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องที่พิเศษอะไร อย่างเช่น การได้เม้าธ์มอยกับเพื่อน ได้ไปเที่ยวเล่นในสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงาม ไปกินอาหารอร่อยๆ และถึงจะน่าขำขัน แต่เรื่องที่ทำให้ฉันอิจฉาที่สุดในบรรดาเรื่องเหล่านั้น คือตอนที่ได้เห็นโพสต์ที่ลงรูปถือแก้วน้ำกลับบ้านที่ถ่ายระหว่างทางไปทำงาน และมีคนมาคอมเมนต์ว่า ‘วันนี้ก็สู้ๆ นะ!’
แม้แต่ละวันจะไม่ง่ายแต่ได้รับการยอมรับในบทบาทของคนๆ หนึ่งพร้อมกับการทำงานที่ตนได้รับ มอบหมาย ภาพแบบนั้นเป็นสิ่งที่ฉันอิจฉามากที่สุด
‘นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันตั้งใจทำ’
การได้สนุกสนานกับเรื่องพวกนี้ในชีวิตที่ฉันได้มาดั่งของขวัญมันน่าตื่นเต้นมาก แม้จะมีเหตุผลที่ฉันอยากมีใช้ชีวิตอยู่ต่อไปจึงพยายามเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในนิยาย แต่อันที่จริงแล้วความโลภของฉันมันยิ่งใหญ่กว่านั้น
***
“อันนี้สุดท้ายแล้วอย่างนั้นหรือ?”
แพลนที่วางไว้ว่าจะทำตัวให้ยุ่งและไม่คิดอะไรจนถึงวินาทีสุดท้ายพังทลายไปพร้อมกับคำที่บอกว่านี่คืออันสุดท้าย หนึ่งในตารางงานที่อัดแน่นจนเต็มถูกยกเลิกด้วยเหตุผลที่ว่ายังเตรียมได้ไม่ดีพอ
“งั้นทำงานอื่นต่อเลยก็ได้ เลื่อนงานส่วนของพรุ่งนี้เข้ามาก่อนก็ไม่…”
“ไม่ขอรับ วันนี้ท่านสมควรไปพักผ่อนแล้วจะดีกว่า”
เหล่านักบวชโบกมือและพูดขัดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาคุยอะไรกันส่วนตัวก่อนจะหยิบเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วรีบออกไป พอเห็นท่าทางแบบนั้น เหล่านักบวชที่เหลือก็ผงกหัวแล้วกล่าว
“ถ้าโหมทำงานหนักในคราวเดียวแล้วท่านเกิดสลบไปอีกจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
“ใช่ขอรับ ท่านเพิ่งฟื้นขึ้นมาได้ไม่นานแถมสาเหตุที่ทำให้สลบไปก็ยังไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้นตอนนี้สมควรพักให้มากอีกหน่อยดีกว่า”
ฉันรู้สึกวุ่นวายใจเมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา
‘ไม่เลย ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย’
แต่พอได้สติอีกทีฉันก็กลับมาอยู่ในห้องแล้วโดยไม่รู้ตัว อาหารเย็นที่ใส่ใจกว่าปกติถูกจัดเตรียมไว้ก่อนเวลา พอนั่งลงที่โต๊ะ อาหารเย็นที่หรูหรากว่าตอนไหนๆ ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าฉัน
‘อาหารเย็นมื้อสุดท้ายของชีวิต อย่างนั้นเหรอ?’
พอคิดได้ว่านี่คือครั้งสุดท้าย ฉันก็ค่อยๆ ขยับมือ ฉันลิ้มรสอาหารทุกจานที่นำขึ้นบนโต๊ะตามลำดับโดยไม่ตกหล่นจานใดราวกับนักโทษประหารชีวิตที่ได้กินข้าวมื้อสุดท้าย
“พวกเราขอตัวก่อนนะขอรับ พักผ่อนให้สบาย”
ห้องกลับมาเงียบสงบพร้อมกับเสียงปิดประตูที่ดังขึ้น พอเหลือตัวคนเดียว ฉันก็ปีนขึ้นไปบนเตียง กอดเข่าและฝังใบหน้าลง
ตอนนี้เหลือเวลาอีกเท่าไรถึงจะหมดวันนะ
‘อีเบลลีน่าจะเรียกฉันกลับไปที่ห้วงจิตอีกไหม? ถ้าอย่างนั้นในสายตาของคนอื่นๆ จะเหมือนคนหมดสติอีกเหรอเปล่า?
ความคิดยังคงดำเนินต่อไป
‘ด้วยนิสัยของอีเบลลีน่า ตอนนี้สมควรชวนคุยแล้วสิ แต่ทำไมถึงไม่ทำอะไรเลยล่ะ?’
ฉันคิดว่านางจะชวนคุยไม่หยุดเสียอีก นอกจากตอนเช้าที่ฉันตื่นนอน อีเบลลีน่าก็ไม่เคยเอ่ยอะไรกับฉันอีกเลยต่างจากที่คิดไว้ว่านางจะเอ่ยหยอกเย้า เช่น ยังไม่เปลี่ยนใจอีกงั้นหรือ เจ้าก็แค่จับใครสักคนที่เดินผ่านก็ได้แล้วไง ดังนั้นรีบออกไปวิงวอนขอค่ำคืนได้แล้วอ้อนวอนขอความสุขยามค่ำคืนได้แล้ว
‘คิดๆ ดูแล้วฉันยังไม่เคยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์แบบจริงจังเลยด้วย’
นอกจากครั้งที่ใช้ออกมาโดยอัตโนมัติตอนที่เปิดประตูทางลับก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตอนใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อีกเลย ไม่สิ ยังมีอีกหนึ่งครั้ง
ฉันพับชุดนอนขึ้นเงียบๆ ทันใดนั้นก็เห็นรอยทรงกลมสามรอยที่อยู่ด้านในของต้นขา
‘สงสัยจังว่ามันคืออะไร’
รอยที่มีคนจงใจทิ้งเอาไว้ มันยังไม่ใช่ตำแหน่งที่จะแสดงให้ใครเห็น อีกทั้งอีเบลลีน่ายังปิดบังไม่ให้มองเห็นความทรงจำส่วนนี้ ฉันจึงไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ามันคืออะไร
ครั้งที่เจอรอยนี้ครั้งแรกและพยายามถูมัน พลังศักดิ์สิทธิ์เคยส่องประกายออกมาแวบหนึ่ง
‘คงเป็นเพราะฉันอยากลบมัน’
พลังศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายออกมาคล้ายว่าต้องการรักษาและลบมันออกไป ถึงแม้มันจะเปล่าประโยชน์ก็ตาม นอกจากเรื่องนี้ยังมีเรื่องให้สงสัยอีกมาก นักบวชที่ชื่อคาร์ลคือใคร ทำไมถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลยในเมื่อติดตามเขา ในหัวมีเครื่องหมายคำถามวนเวียนอยู่สักพัก จากนั้นฉันก็ฝังหน้าลงไปอีกครั้ง
‘คิดไปก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับอีเบลลีน่าหมดเลย’
นี่ฉันกำลังสงสัยเรื่องของคนที่ทำให้ฉันตกอยู่ในสถานการณ์นี้อย่างนั้นเหรอ ฉันเริ่มรู้สึกไม่ยุติธรรมขึ้นมาทันใด
‘ทำไมอีเบลลีน่าถึงทำตัวแบบนั้นกัน’
ฉันย้อนนึกถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ฉันเข้ามาอยู่ในร่างของอีเบลลีน่าตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงแม้จะทำเรื่องที่เลวร้ายลงไปมากแต่ไม่นานมานี้แค่เพียงฉันตั้งใจทำงานและเข้าหาพวกเขาอย่างใจดี เหล่านักบวชในวิหารหลวงก็มีท่าทีที่เป็นมิตรกับฉันมาก เมื่อเห็นท่าทางพวกนั้นฉันก็รู้สึกอิ่มใจแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเกลียดชังในตัวอีเบลลีน่าไปพร้อมกัน
โลกใบนี้ใจดีกับอีเบลลีน่ามาก เป็นโลกที่เต็มไปด้วยผู้คนที่พร้อมจะตอบแทนคืนหลายเท่าเพียงแค่นางผู้เป็นนักบุญหญิงยื่นมือไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทำไมอีเบลลีน่าถึงได้เหยียบย่ำทุกอย่างด้วยตัวของนางเอง
‘หรือเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว?’
นางกลายเป็นนักบุญหญิงตั้งแต่อายุน้อย ดังนั้นนางจึงคิดว่าการที่โลกใจดีกับตนเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ พอคิดแบบนั้น ฉันก็ยิ่งเกลียดอีเบลลีน่ามากกว่าเดิม
ทั้งครอบครองรูปโฉมที่งดงามไปจนถึงพลังศักดิ์สิทธิ์และได้ขึ้นตำแหน่งเป็นนักบุญหญิง แถมยังได้รับความรักจากทุกคน แต่กลับทิ้งขว้างสิ่งที่ตนครอบครองไปอย่างง่ายดายเสียนี่
‘แต่คิดว่ายังไงทุกคนก็คงชอบเธอใช่มั้ยล่ะ’
ความรู้สึกเกลียดชังพลันพวยพลุ่งในใจอีกครั้ง หากร่างกายนี้กลับไปเป็นของอีเบลลีน่าอีกครั้ง ฉันก็อยากกระซิบกระซาบเหมือนกับที่อีเบลลีน่าทำกับฉัน เจ้าจะสูญเสียสิ่งที่มีอยู่ไปในไม่ช้า เจ้ากำลังจะตาย เจ้าสมควรแล้ว อย่างไรเจ้าไม่คิดว่าของที่เจ้ามีอยู่มันสำคัญอะไรนี่
คิดได้ถึงตรงนั้น ฉันก็ลุกขึ้น
“เพราะแบบนี้ถึงได้อยากทำงานยุ่งๆ ไง…”
ถ้าอยู่นิ่งๆ คนเดียวแบบนี้จะต้องเอาแต่คิดถึงเรื่องที่มืดมนและเลวร้าย เหมือนกับตอนอยู่ในโรงพยาบาล จิตใต้สำนึกที่คอยมองหาแต่คนน่าสงสารกว่าตนในตอนที่อ่านหนังสือถูกเปิดเผยอีกครั้ง
‘ไม่เอา’
ฉันไม่อยากตายโดยที่ต้องคิดแต่อะไรแบบนี้เป็นครั้งสุดท้าย ฉันเปิดประตูห้องออกทันที จากนั้นก็เห็นเหล่านักบวชที่คอยยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูบนโถงทางเดินตลอดทั้งวัน
“ท่านนักบุญหญิง? มีเรื่องอะไรหรือ?”
ฉันเดินออกมาโดยไม่สนใจคำพูดของพวกเขา
“ท่านนักบุญหญิง? เสื้อ…”
พวกเขาเดินตามฉันมาอย่างลุกลี้ลุกลนเมื่อเห็นฉันเดินไปบนทางเดินในสภาพที่ยังอยู่ในชุดนอน
“ไม่ต้องตามข้ามา”
“คะ? แต่ว่า…”
“ข้าบอกว่าไม่ต้องตามมาอย่างไรเล่า!”
พวกเขาชะงักฝีเท้าพร้อมกับแสดงสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินเสียงตะคอก ฉันวิ่งไปตามทางเดินโดยปล่อยพวกเขาไว้อย่างนั้น
***
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
ฉันยืนพิงผนังเย็นเชียบและปรับลมหายใจอยู่สักพัก ไม่รู้ว่าวิ่งอย่างบ้าคลั่งมานานแค่ไหนแล้วถึงได้สัมผัสได้ถึงกลิ่นของความเหนื่อยล้าจากลมหายใจที่พ่นออกมา แต่กระทั่งสิ่งนี้ฉันก็ชอบ ทุกช่วงเวลาที่ได้สัมผัสในร่างกายที่แข็งแรงล้วนมีค่า
ฉันนึกถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ปี๊ดเสียงสัญญานของเครื่องมือที่ดังขึ้นพร้อมกับความมืดมิดที่ปกคลุมตัวฉัน โลกที่ว่างเปล่าซึ่งไม่ได้ยินอะไรโดยสมบูรณ์
‘ไม่เอา ฉันกลัว’
เพียงแค่คิดร่างกายก็สั่นขึ้นมา ความหวาดกลัวที่พยายามไม่นึกถึงมาตลอดกลับมาอีกครั้ง ตอนนั้นเองพลันได้ยินเสียงระฆังดังมาไกลๆ จากหอคอยในวิหาร ลมหายใจสะดุดหลังจากนับเสียงระฆัง
‘เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง’
ตอนนี้ เวลาของวันนี้เหลืออีกเพียงหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าเท่านั้น เมื่อผ่านเที่ยงคืนไป ชีวิตที่ได้รับมาดั่งของขวัญก็จะจบแล้ว
“อีเบลลีน่า”
ฉันเรียกหานางโดยไม่รู้ตัว
“…ฉัน อยากมีชีวิตอยู่ต่อ”
ฉันอยากมีชีวิตต่อไป อยากอยู่ในร่างกายนี้ต่อไปอีกสักหน่อย หากอีเบลลีน่าไม่มีเยื่อใยให้ชีวิตตัวเองและใช้ร่างกายแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ฉันก็อยากให้นางมอบมันให้ฉัน ฉันจะใช้อย่างมีค่ามากกว่าใคร ถึงแม้มันจะไม่เป็นแบบที่อีเบลลีน่าต้องการก็ตาม
ยังมีวิธีอยู่นี่
ฉันได้ยินเสียงของตัวเองไม่ใช่เสียงของอีเบลลีน่าดังออกมาจากในหัว
ใช่แล้ว ยังมีวิธีอยู่ เงื่อนไขที่อีเบลลีน่าเคยเสนอไว้ เงื่อนไขที่สั่งให้ใช้เวลายามค่ำคืนกับชายหนุ่มคนใดก็ได้ เงื่อนไขนั้นมันรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอฉันถึงได้บอกว่าจะไม่ทำ
ฉันหมุนตัวกลับ ใครก็ได้ ใคร ผู้ชายที่จะพบเจอตอนนี้…
“ท่านนักบุญหญิง?”
ตอนนั้นเอง มีเสียงเรียกฉันดังขึ้นจากด้านหลัง พอหมุนตัวกลับไปก็เห็นองค์ชายรัชทายาทเลออนกำลังยืนมองฉันอยู่
“ไม่คิดว่าดึกป่านนี้แล้วจะได้มาพบท่านในที่แบบนี้เลย”
เขาก้าวเข้ามาทันทีที่เห็นฉัน โถงทางเดินที่พวกเรากำลังยืนอยู่ตอนนี้เป็นโถงที่ไม่ค่อยถูกใช้งานในเวลาปกติ ดังนั้นจึงไม่มีไฟแขวนไว้ตลอดทั้งคืนเหมือนทางเดินอื่นๆ มีเพียงแสงจันทร์ลอดเข้ามาผ่านหน้าต่างเท่านั้น แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่มีความคิดที่จะถามเขาเลยว่าทำไมถึงได้มาอยู่ในสถานที่แบบนี้
“คงไม่ใช่ว่าท่านมาค้นหาข้ารับใช้ของพระเจ้าจนถึงที่นี่หรอก…ใช่หรือไม่”
เขาเดินเข้ามาใกล้และพูดติดตลก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งสีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขากำลังทำตัวไม่ถูก นั่นเพราะนักบุญหญิงวิ่งมาในสถานที่ที่นานๆ จะมีคนผ่านด้วยเท้าเปลือยเปล่าในสภาพที่ยังอยู่ในชุดนอนเพียงตัวเดียว และนางถึงกับกำลังร้องไห้อยู่
เขากลุ้มใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนก็เปิดปากพูดอีกครั้ง
“หากไม่รบกวน พวกเรามากินอาหารว่างที่ยังไม่ได้กินด้วยกันครั้งที่แล้วเป็นอย่างไร? ที่พักของข้าค่อนข้างเงียบมากเหมาะแก่การสนทนา”
เขาพูดพลางยื่นแขนมาให้อย่างมีมารยาท เป็นการสื่อว่าหากต้องการไปเขาก็จะคุ้มกันเอง ฉันมองดูเขา นึกถึงจดหมายที่เขาเคยส่งมาให้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา
‘ถ้าหากเป็นคนๆ นี้ล่ะก็…’
ถ้าเอ่ยให้มาหลับนอนด้วยกันตอนนี้เขาก็ไม่มีทางปฏิเสธแน่ ฉันคว้าแขนที่เขายื่นมา ตอนนี้ ฉันจำเป็นต้องมีผู้ชายคนนี้
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะคุ้มกันท่านไปที่พั…”
“ไม่”
“…อะไรนะ?”
ฉันรีบเดินไปบนโถงทางเดินทั้งที่ยังจับแขนเขาไว้ ไม่นานก็เลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางและพบประตูหลายบาน พอเปิดประตูที่อยู่ใกล้ที่สุดออกก็ปรากฏห้องว่างที่มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ตั้งอยู่ ตึกนี้แต่เดิมคือตึกที่ใช้รับรองแขกภายนอกที่มายังวิหารหลวง ตอนนี้มีห้องว่างอยู่มากมายเพราะพิธีสวดภาวนาจบลงแล้วและคณะราชฑูตราชทูตส่วนใหญ่ก็เดินทางกลับไปแล้ว
ฉันลากเขาเข้ามาในห้องและปิดประตูลง องค์ชายรัชทายาทมองมาทางฉันด้วยสายตางงงวย ฉันยืนหลับตาแน่นหันหลังให้ประตูที่ปิดอยู่ และกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก
“…มานอนกับข้า”
“ครับ? ตอนนี้กำลังพูด…”
“ข้าบอกว่าให้มานอนกับข้า ไม่ต้องการงั้นหรือ?”