“ท่านพ่อ เราไปดูกันเถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นต้องการช่วยในเรื่องนี้แต่นางก็ต้องคิดหาวิธีการ
ไม่เป็นการดีที่จะทำให้ราชครูจวินขุ่นเคือง แต่ดูท่าทางท่านพ่อของนางนั้นหากว่านางไม่ช่วยเขาต้องล้มป่วยลงเป็นแน่
เมื่อออกจากประตูสองพ่อลูกเตรียมตัวจากไป หนานกงเย่เฝ้ามองดูคู่พ่อลูกออกจากประตูพร้อมกันเลยเตือนหนานกงเย่ว่า: “ชายาของเจ้าจากไปแล้ว”
หนานกงเย่เหลือบมองที่ประตูและสงสัยว่า: “ยามนี้แล้วออกไปทำอะไรข้างนอก?”
“หากเจ้าอยากดูเหตุใดจึงไม่ไปดูหล่ะ” หนานกงเหยี่ยนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักแต่หนานกงเย่กลับคิดจริงจัง
“ในเมื่อพี่รองกล่าวเช่นนี้แล้วงั้นข้าก็จะไปดู พี่รองหากท่านอยากไปด้วยก็ไปด้วยกันเถอะ ท่านดื่มเหล้าไปแล้วไปเดินเล่นรอบๆก็ดีเหมือนกัน อีกทั้งข้าสามารถส่งท่านกลับได้ด้วย”
“นี่เจ้าต้องการไล่ข้าไปหรือ?” หนานกงเหยี่ยนก็อยากกลับแล้วเช่นกัน หากไม่กลับก็จะไม่สมเหตุสมผล
เดินเล่นไปและให้กลิ่นเหล้ากระจายหายไป
ทั้งสองคนออกมาแล้วเดินตามแม่ทัพฉีและฉีเฟยอวิ๋นไป
ฉีเฟยอวิ๋นและแม่ทัพฉีไปที่จวนอาลักษณ์ราชสำนักหลี่ทั้งสองคน ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นพึ่งรู้ว่าท่านอาลักษณ์หลี่นั้นควบคุมดูแลกรมขุนนางซึ่งรับผิดชอบการแต่งตั้งและยกเลิก ตรวจสอบ ขึ้นและลดตำแหน่งรวมทั้งการโยกย้ายหน้าที่งานโดยเฉพาะ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้าสร้อย ราชครูจวินช่างเก่งกาจยิ่งนัก กรมขุนนางนั้นสามารถโยกย้ายผู้คนได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะสามารถอยืนหยัดมั่นคงได้นานขนาดนั้น
ควบคุมกรมขุนนางได้เช่นนั้นการแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางทั้งหมดต้องผ่านราชครูจวิน ผู้คนพวกนั้นซึ่งอยากเป็นขุนนางและต้องการเลื่อนขั้นก็จะต้องไปเข้าทางเขา
จวนแม่ทัพไปยังจวนอาลักษณ์ของกรมขุนนางอาลักษณ์นั้นใช้เวลาเดินทางโดยรถถึงหนึ่งก้านธูปหอม หากบิดาและบุตรสาวเดินไปพวกเขาไปถึงที่นั้นฟ้าก็มืดแล้ว
อาอวี่เห็นหนานกงเย่และหนานกงเหยี่ยนอยู่ข้างหลังตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขาเดินตามมาอย่างเงียบๆ
เมื่อเขามาถึงจวนอาลักษณ์ของอาลักษณ์หลี่ ฉีเฟยอวิ๋นยังคงเงยหน้ามองอย่างเศร้าโศก เมื่อไม่นานมานี้เผชิญหน้ากับคนของจวนอาลักษณ์เข้าแล้วและตอนนี้ก็ยังมาที่จวนอาลักษณ์ของกรมขุนนางอีก
เมื่อเข้าใกล้แล้วฉีเฟยอวิ๋นก็มองไปรอบๆแต่ไม่เห็นผู้ใดเลยน่าแปลก: “ไหนบอกว่าคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูไม่ใช่หรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีว่าราชวงศ์นี้เป็นเช่นนี้ เมื่อหญิงสาวทำผิดจะถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยม เทียบไม่ได้กับชายหนุ่มซึ่งแอบมีชู้เที่ยวเล่นหญิงไปทั่วไป หากไม่มีผู้ใดรู้ก็แล้วไปหากถูกผู้ใดรู้เข้าดีไม่ดียังต้องให้ออกหน้าออกตาและพาคนเข้าบ้านอย่างเปิดเผย
แม่ทัพฉีถอนหายใจ: “อยู่ทางโน้น”
แม่ทัพฉีชี้ไปที่สิงโตหินด้านหนึ่งแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เดินอ้อมไปดูและก็ต้องตกใจ
ที่อีกด้านข้างของสิงโตหิน หญิงผู้หนึ่งถูกมัดทั่วทั้งร่างพร้อมด้วยเสื้อผ้าที่ขาดหลุดรุ่ยนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น คุกเข่าอยู่ดังเช่นฉินฮุ่ยอย่างงั้นเลย
ท่อนบนของหญิงสาวถูกทุบตีจนผิวหนังแตกฉีกขาด ส่วนท่อนล่างถือว่ายังดีอย่างน้อยกางเกงก็ยังอยู่
ผมดำยุ่งเหยิงนั้นราวกับเล้าไก่ ใบหน้านั้นถูกบดบังไว้ซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นผู้ที่งดงามหรืออัปลักษณ์
แต่เนื่องด้วยชื่ออันสวยงามนั้นจึงทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าไม่น่าจะน่าเกลียดเท่าไหร่
สายตาของฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองไปที่ท้องของเฉาเหม่ยเหรินมันเหมือนกับแตงโมขนาดใหญ่ที่ปูดจนเสื้อผ้าขาด ท้องของนางก็ถูกทุบตีจนเป็นเส้นๆสีเลือด ดูแล้วช่างน่ากลัวยิ่งนัก
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนหน้าซีด: “เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาจริงๆ แม้ว่าจะทำผิดอย่างใหญ่หลวงก็ไม่น่าจะทำกับนางเช่นนี้และนางก็ยังมีลูกด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นเพิกเฉยต่อความสกปรกบนร่างกายของเฉาเหม่ยเหริน นางถูกผู้คนปฏิเสธและยังมีอุจจาระอยู่บนร่างกายของนาง ฉีเฟยอวิ๋นลงมือเช็ดให้กับนางเลยโดยตรงและยังถอดเสื้อผ้าบนร่างห่อตัวเฉาเหม่ยเหรินไว้เพื่อไม่ให้นางรู้สึกหนาว
หนานกงเย่และหนานกงเหยี่ยนมองจากที่ห่างไกลอย่างซาบซึ้งใจ
“บางครั้งก็ไม่รู้จริงๆว่านางคิดอะไรอยู่ แต่รู้สึกว่านางเปลี่ยนไปมาก” หนานกงเหยี่ยนกล่าวกับตนเอง
หนานกงเย่กล่าวว่า “นางโง่เขลา”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากไม่ใช่เรื่องที่นางจะจัดการได้ นางฉลาดขนาดนั้นต้องรู้อยู่แล้วแต่ก็ยังยืนหยัดที่จะออกหน้า หากไม่โง่เขลาแล้วจะเป็นอะไร??
แม่ทัพฉีทำอะไรไม่ถูก: “นางเดินไม่ได้แล้ว”
“เจ้าลุกขึ้นก่อนข้าจะช่วยเจ้าแก้เชือก” ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปข้างหลังและคิดจะแก้มัดมือทั้งคู่ของเฉาเหม่ยเหริน จากนั้นเพิ่งเห็นว่านางมีโซ่เหล็กมัดมืออยู่ หลังโซ่เหล็กมัดติดอยู่กับกำแพง ด้านบนกำแพงยังมีที่ล็อคเหล็กอีกด้วยและโซ่ติดอยู่กับด้านบนนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นจับโซ่นั้นมันหนาเกือบจะเท่ากับข้อมือของนาง เห็นชัดว่าเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
“นางเป็นเช่นนี้จะทานข้าวได้อย่างไร?” ฉีเฟยอวิ๋นโมโหยิ่งนักแล้วลุกขึ้นถามแม่ทัพฉี
แม่ทัพฉีเหลือบมองที่อ่างบนพื้น อาหารในนั้นเป็นข้าวและกับข้าวที่เหลือซึ่งส่งกลิ่นเหม็นเน่าแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นอารมณ์ขึ้นจึงเตะอ่างบนพื้น: “รังแกคนมากเกินไปแล้ว”
“อวิ๋นอวิ๋น กลับกับพ่อเถอะ” แม่ทัพฉีก็ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ หากมีคนตายและเด็กก็โตขนาดนี้แล้วผู้ใดก็ไม่สามารถจัดการได้
อาลักษณ์หลี่เป็นผู้ที่มีเหตุผลเขายังไม่สามารถจัดการได้
ฉีเฟยอวิ๋นโมโหยิ่งนักแล้วมองไปรอบๆเห็นบนพื้นมีของสกปรกอยู่มากมาย ดูเหมือนว่ามีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่ในช่วงกลางวันราวกับว่ามารวมตัวกันที่นี่เพื่อทำให้เรื่องราววุ่นวาย
ภาพของโต้วเอ๋อปรากฏขึ้นในสมองของฉีเฟยอวิ๋น ที่นี่เป็นสถานที่ที่คนสามารถกินคนได้จริงๆ
“ท่านพ่อ นางเป็นมนุษย์ซึ่งไม่ควรถูกทารุณเช่นนี้ จะฆ่าจะแกงมีฝ่าบาทและกฎหมายอยู่ เหตุใดถึงต้องลงประชาทัณฑ์อีกทั้งนางยังมีลูกด้วย ถึงแม้ว่านางจะทำเรื่องหยามเกียรติและศักดิ์ศรีก็ไม่ควรทำกับนางเช่นนี้” ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
ผู้หญิงอยู่ในสถานที่นี้ก็น่าเวทนาเช่นนี้ส่วนผู้ชายนั้นดื่มเหล้าเคล้านารีกลับไม่มีผู้ใดจัดการ
แม่ทัพฉีรู้สึกไร้ซึ่งหนทาง: “พ่อก็จนปัญญา จะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อก่อกวนได้เช่นไรกัน? เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล”
บุตรชายของอาลักษณ์หลี่เสียชีวิตและภรรยาของเขาก็ทำเรื่องเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกที่ท่านอาลักษณ์จะทำเช่นนี้
“นางกำลังจะตาย” ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังนั่งงอเข่าและก้มลงมองเฉาเหม่ยเหริน จับไหล่ของเฉาเหม่ยเหรินไว้เพื่อมองดูนาง ใบหน้าเฉาเหม่ยเหรินถูกทำให้เสียโฉมแล้ว ยามนี้มองไม่ออกถึงความงามก่อนหน้านี้ของนางเลย มีเพียงแค่รอยแผลเป็นอันน่าเกลียดจนฉีเฟยอวิ๋นผงะตกใจเกือบจะล้มลง
เฉาเหม่ยเหรินหลั่งน้ำตาแล้วจ้องไปยังฉีเฟยอวิ๋นเสียงแหบแห้งราวกับคนชรา: “ไม่ต้องสนใจข้า ขอบคุณพวกท่าน ช่วยพี่ใหญ่ของข้าด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นพยายามข่มใจและมองไปยังเฉาเหม่ยเหรินอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ลูกของเจ้าเป็นของผู้ใด บอกข้ามาข้าจะไปหาเขา” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยโกรธแทนผู้ใดเลย เนื่องจากทุกคนมีความทะเยอทะยานของตัวเองและไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้ชัดเจนนัก แต่ตอนนี้นางเกลียดพ่อของเด็กในท้องของเฉาเหม่ยเหรินยิ่งนัก
เหตุใดชายผู้นั้นถึงหลบซ่อนตัว ตอนเขาทำผิดเขาไม่เคยคิดเลยหรือว่าเขาทำเช่นนี้เป็นการทำร้ายเฉาเหม่ยเหริน?
เฉาเหม่ยเหรินได้ยินฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเลยร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา รอยแผลเป็นบนใบหน้ายิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นเมื่อนางร้องไห้ แต่ดวงตาคู่งามของนางนั้นกำลังบอกฉีเฟยอวิ๋นว่านางถูกปรักปรำ
“เจ้าบอกข้า ข้าจะไปหาเขา” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ยอมแพ้
เฉาเหม่ยเหรินร้องไห้และกล่าวว่า: “ข้าไม่ได้แอบมีชู้จริงๆ ข้าไม่รู้ว่าข้าตั้งครรภ์ได้เช่นไร”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงและจ้องไปยังเฉาเหม่ยเหริน: “เจ้าไม่ได้แอบมีชู้แล้วเจ้าตั้งท้องหรือ?”
เฉาเหม่ยเหรินพยักหน้า: “ข้าไม่รู้ว่าข้าตั้งท้องได้เช่นไร แต่ข้าไม่ได้แอบมีชู้จริงๆ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกได้ว่าเฉาเหม่ยเหรินไม่ได้โกหก
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเดินไปข้างหลังเฉาเหม่ยเหริน พยายามฝืนจับมือของเฉาเหม่ยเหรินดูอาการให้นางและพอเริ่มดูอาการฉีเฟยอวิ๋นก็ตะลึง
ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นไร้ชีวิตชีวา ส่วนแม่ทัพฉีก็กังวลว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับเด็ก ไม่ว่าเด็กจะเป็นของผู้ใดแต่เขาก็เป็นผู้บริสุทธิ์
“อวิ๋นอวิ๋นเป็นเช่นไร?”
แม่ทัพฉีถามนางแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้นออกไป
“ท่านพ่อ ข้าต้องการช่วยชีวิตนาง ท่านเชื่อข้าหรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นถามแม่ทัพฉีแล้วแม่ทัพฉีก็พยักหน้าซ้ำๆ
“พ่อเชื่อ” ถึงแม่ทัพฉีจะไม่เชื่อแต่หากฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเขาก็เชื่อ แต่เขาไม่รู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังกล่าวถึงสิ่งใด
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ท่านพ่อ ข้าจะช่วยเฉาเหม่ยเหรินท่านช่วยปล่อยมัดนาง จากนั้นท่านรีบเข้าวังทันที ข้าจะเขียนจดหมายให้ท่านแล้วท่านข่วยนำเข้าวังไปมอบให้ฝ่าบาท ท่านต้องมอบให้กับมือเท่านั้น”
แม่ทัพฉีเหลือบมองที่เฉาเหม่ยเหรินและกล่าวว่า: “อวิ๋นอวิ๋น พ่อรู้ว่าตั้งแต่เจ้าแต่งงานกับหนานกงเย่แล้วเจ้าโตขึ้นและไม่สร้างปัญหา แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ง่ายๆ ฝ่าบาทอาจไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ อาลักษณ์หลี่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของพระองค์ แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่ดีเท่าพ่อกับฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทไม่ใช่ฝ่าบาทที่เห็นแก่พระพักตร์ เรื่องนี้เจ้าต้องตรึกตรองให้ดี”
“ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นไร ท่านเพียงแค่ต้องมอบจดหมายของข้าให้ฝ่าบาทโดยเร็ว ข้ารออยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”
แม่ทัพฉีเห็นฉีเฟยอวิ๋นเด็ดเดี่ยวส่วนผู้เป็นพ่อก็โปรดปรานบุตรสาวจริงๆ แม้ว่าจะรู้ว่าเรื่องนี้ทำเกินไปแต่ก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ได้ พ่อไปเดี๋ยวนี้ เจ้ารีบเขียนจดหมายโดยเร็วเถอะ” แม่ทัพฉีชี้ไปยังฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังอาอวี่: ” อาอวี่ เอากระดาษและปากกามา”
อาอวี่หันหลังไปหากระดาษและปากกามามอบให้ฉีเฟยอวิ๋นอย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นหยิบขึ้นมาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยกแขนเสื้อขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อเตรียมพร้อมจะเขียน
ไม่มีโต๊ะอาอวี่เลยก้มลง ฉีเฟยอวิ๋นปูกระดาษลงไปที่ด้านบน
เขียนจดหมายแล้วฉบับหนึ่งฉีเฟยอวิ๋นพับใส่ซองจดหมายแล้วมอบให้แม่ทัพฉี: “ท่านพ่อ ท่านต้องมอบให้ฝ่าบาทด้วยมือท่านเองทีกทั้งยิ่งเร็วยิ่งดี”
แม่ทัพฉีเก็บไว้อย่างดี ใบหน้าอันเย็นชาพร้อมน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ครู่เดียวแปรเปลี่ยนจากบิดาที่ใจดีเมื่อครู่นี้ดังเสมือนเทพสังหารอันเด็ดขาดมากกว่า: “อาอวี่ อวิ๋นอวิ๋นมอบให้เจ้าแล้ว หากมีผู้ใดกล้าทำร้ายอวิ๋นอวิ๋นจัดการได้เลย แม่ทัพผู้นี้จะรับผิดชอบเอง”
“ท่านแม่ทัพวางใจได้ ผู้น้อยจะปกป้องพระชายาอย่างเต็มที่และไม่ยอมให้พระชายาได้รับอันตรายแม้แต่น้อย”
อาอวี่ให้คำมั่นจากนั้นแม่ทัพฉีก็หันหลังจากไป รถม้าซึ่งหยุดอยู่บนถนนก็ตรงไปยังพระราชวัง
ฉีเฟยอวิ๋นรอจนคนจากไปแล้วจึงหันไปมองเฉาเหม่ยเหริน: “ข้าไม่สนใจว่าผู้อื่นจะเชื่อเจ้าหรือไม่แต่ข้าเชื่อเจ้าเจ้าไม่ได้แอบมีชู้”
เฉาเหม่ยเหรินตกตะลึงและเงยหน้าขึ้นมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นโดยที่ร้องไห้จนน้ำตาแห้งหมดแล้ว
“ช่วยพี่ชายของข้าด้วย” เฉาเหม่ยเหรินร้องไห้เมื่อกล่าวถึงรองแม่ทัพเฉา
ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “ไม่ต้องกังวล ข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง”
นางไม่สามารถเห็นคนเป็นผักปลาได้ นางช่วยชีวิตและรักษาผู้บาดเจ็บได้เพียงเท่านั้น
อาอวี่เหลือบมองไปไกลๆ ท่านอ๋องอยู่ที่นั่นและไม่ได้หยุดรั้ง
ยินยอมพร้อมใจแล้วหรือ?
ไม่นานนักก็มีคนในเรือนของอาลักษณ์ราชสำนักหลี่ออกมา และเมื่อเขาเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ถามว่า: “เจ้าเป็นลูกสะใภ้เรือนใดถึงมาทำอะไรตามใจอยู่ที่นี่ได้”
ฉีเฟยอวิ๋นมองเสี่ยวซือของอาลักษณ์ราชสำนักหลี่ด้วยความโกรธ “ข้าคือพระชายาเย่ ฉีเฟยอวิ๋น”
เสี่ยวซือตะลึงไปครู่หนึ่งเนื่องด้วยเคยได้ยินเกี่ยวกับฉีเฟยอวิ๋น
“ข้าไม่รู้ว่าพระชายาเย่มาทำอันใดที่นี่?” เสี่ยวซือไม่ได้กลัวฉีเฟยอวิ๋นเลยแล้วยังดูถูกดูแคลนฉีเฟยอวิ๋นด้วย
ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงไม่รู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นเป็นคนเช่นไร จวนอาลักษณ์ของพวกเขาไม่เคยสนใจนางเลย
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจเอาเรื่องเอาราวเสี่ยวซือ ยืนอยู่ข้างๆแล้วกล่าวว่า: “ข้าเห็นว่าคนผู้นี้คุกเข่าอยู่ตรงนี้คิดว่าไม่ได้เป็นปัญหาอันใดต่อจวนอาลักษณ์”
เสี่ยวซือเหลือบมองที่เฉาเหม่ยเหรินบนพื้นและพูดจาดูถูกเหยียดหยาม: “นางเป็นสุนัขตัวเมีย พระชายาเย่อยากดูก็ดูไปเถอะ”
“ขอบใจ”
ฉีเฟยอวิ๋นสงบนิ่งส่วนเสี่ยวซือคิดว่านิสัยนางไม่ยอมเปลี่ยนก็เลยไม่ได้สนใจมากนัก หันหลังกลับเข้าไปในจวนอาลักษณ์
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองเฉาเหม่ยเหรินแล้วกล่าวว่า: “ไม่ต้องกังวล ข้าจะพาเจ้าไป
“ช่วยพี่ชายข้าด้วย” เฉาเหม่ยเหรินยังคงร้องไห้ คิดถึงแต่พี่ชายของนาง
“ไม่ต้องห่วง” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใดดี ในยุคนี้ก็เป็นเช่นนี้การรักษาพยาบาลล้าหลังเกินไป หากไม่ใช่เพราะความสามารถพิเศษของนาง นางก็คิดว่าตั้งท้องซะแล้ว
แต่เฉาเหม่ยเหรินนั้นไม่ใช่