บทที่ 139 ลูกที่เกิดหลังจากที่ผู้เป็นพ่อเสียชีวิตแล้ว

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

หลังจากนั้นหนานกงเหยี่ยนได้เริ่มดื่มเหล้า ดื่มแล้วดื่มอีกจนเมามาย หนานกงเย่ได้ประคองหนานกงเหยี่ยนไปพักผ่อน อยู่ภายในจวนของท่านแม่ทัพ

ส่งคนเรียบร้อยแล้วหนานกงเย่ถึงได้กลับไปพักผ่อน ถอดเสื้อผ้าแล้วเอนกายลงบนเตียง จากนั้นเอื้อมมือของฉีเฟยอวิ๋นไปดู ฉีเฟยอวิ๋นเบิกตาโพลงลุกขึ้นถามเขาว่า “ท่านอ๋อง กลางวันแสกๆก็จะนอนแล้วหรือ?”

“ข้าเหนื่อยเล็กน้อย ไม่นอนแล้วจะทำสิ่งใดหรือ?”กล่าวแล้วโถมตัวเข้ามากอด ฉีเฟยอวิ๋นดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผล มองดูว่าด้านหน้าประตูไม่มีผู้ใดแล้ว เลยคล้อยตามอารมณ์กับเขาด้วย

ลุกขึ้นจากเตียงมาก็เป็นช่วงเที่ยงแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ประตูด้วยความเศร้าสร้อย พ่อบ้านอาวุโสมาลับๆล่อแล้วก็กลับไป

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นจากเตียงแล้วเปลี่ยนชุด

“กลับมาที่เรือนครั้งหนึ่งทั้งทีท่านก็จะยังมาทำเรื่องเยี่ยงนี้กับข้า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามก็คือท่านอ๋อง ไม่เกรงว่าคนจะหัวเราะเยาะหรือ?”ฉีเฟยอวิ๋นจัดการตัวเองแล้วหันกลับไปมองคนที่ลุกขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางหงุดหงิด

หนานกงเย่รู้ว่าตนเป็นฝ่ายผิด กลับมาที่เรือนของพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ควรที่จะทำเรื่องเยี่ยงนี้ เลยทำตัวคล้ายดั่งถ่อมตัวฟังที่ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวตักเตือน

เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นอยากจะว่าหนานกงเย่อีกสักหน่อย เห็นเขาที่มีท่าทางเช่นนี้ก็พูดไม่ออกเลย

ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองหนานกงเย่อยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เดินออกมาจากห้อง

มองจากไกลๆเห็นลี่ว์หลิ่วมองเข้าไปด้านในห้องอีกห้องหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจเลยเดินไปถาม ซ้ำยังทำให้ลี่ว์หลิ่วตกใจไปด้วย

“เจ้าดูสิ่งใดหรือ?”

ลี่ว์หลิ่วรีบถอนสายบัวเป็นพัลวัน เดินมาข้างกายของฉีเฟยอวิ๋นแล้วกล่าวกระซิบกระซาบว่าท่านอ๋องตวนไม่ได้ดื่มเหล้าจนเมามาย อยู่ด้านในห้องใจลอยอยู่เลย

ฉีเฟยอวิ๋นทำท่าทีรับรู้ หันกลับไปมองหนานกงเย่ที่เดินมา

“ข้าจะไปพูดคุยเป็นเพื่อนท่านพ่อ พวกเจ้าคุยกันเถอะ”

เรื่องของท่านอ๋องตวนนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่อยากที่จะพูดอะไรมาก แท้ที่จริงแล้วทุกคนล้วนรู้และเข้าใจ การที่ทุกอย่างที่ท่านอ๋องตวนเป็นอยู่ตอนนี้ ก็เป็นเพียงเพราะการกระทำอย่างนั้นของจวินฉูฉู่เท่านั้น

ท่านอ๋องตวนก็คล้ายดั่งสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งที่จวินฉูฉู่อุ้มรับมาเลี้ยง เขารู้สึกว่าเจ้าของไม่ได้ดีกับเขามากเท่าไหร่ เขาถึงได้เป็นเช่นนี้

พูดอย่างตรงไปตรงมา นั่นก็คือจิตใจหดหู่ เสียใจ

คนคนหนึ่ง ด่วนมุ่งหวังเอาทุกอย่างที่ชื่นชอบในชีวิตมอบให้แก่คนคนเดียว แต่คนคนนี้ไม่ได้ซาบซึ้งในพระคุณ ไม่เพียงแต่ไม่ซาบซึ้งในพระคุณ ยังไม่สนใจและดูถูกเหยียบย่ำ เปลี่ยนเป็นใคร ใครก็ไม่สามารถรับได้หรอกนะ

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านอ๋องตวนที่ตั้งแต่เล็กถูกคนเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม ต้องการสิ่งใดก็ย่อมได้สิ่งนั้น ตั้งแต่ไหนแต่ไรล้วนเป็นเขาที่สามารถกลั่นแกล้งคนอื่น คนอื่นไม่สามารถคนของเขาได้เลย

ที่จริงฉีเฟยอวิ๋นกับท่านแม่ทัพฉีพักอยู่ด้านข้าง เพียงแค่ท่านแม่ทัพฉีไม่ได้อยู่ที่เรือนนี้ ฉีเฟยอวิ๋นไปหาเขาที่ทางด้านห้องฝึกซ้อม

มาถึงห้องฝึกซ้อมฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นพ่อบ้านยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว เลยหันไปยิ้มให้ พ่อบ้านเลยรีบยิ้มตาหยีมาให้กับเธอเช่นกัน

เดินมาถึงหน้าประตูแล้วเคาะ กล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”

“เข้ามาเถอะ ”น้ำเสียงข้างท่านแม่ทัพฉีเหี่ยวแห้งโรยรา ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าท่าไม่ดีเลย

เลยหันกลับไปชำเลืองมองดูสีหน้าของพ่อบ้านที่เปลี่ยนสี คล้ายกับว่าพบเจอเรื่องราวที่ยุ่งยาก

ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ กล่าวถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

ท่านพ่อบ้านอ้าปากพูดอึกอัก แล้วด้านในก็มีเสียงของท่านแม่ทัพฉีดังมาว่า “อวิ๋นอวิ๋น เข้ามาเถอะ”

ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้ก้าวเท้าฉับๆเข้าไปด้านใน คิดไว้ว่าจะฟังดูสิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พ่อบ้านไม่พูดแน่นอนว่าจะต้องมีคนที่พูดได้

ท่านแม่ทัพฉีเช็ดซับเหงื่อ เดินไปนั่งอีกด้าน

ฉีเฟยอวิ๋นปิดประตูเรียบร้อยแล้วเดินไป ถึงแม้ว่าเพิ่งจะมีการร่วมรักมาแล้วอ่อนเพลีย แต่เธอก็ยังอยากเคลื่อนไหวออกกำลังกาย ด้วยเหตุนี้เลยหยิบดาบเล่มหนึ่งลงมา แล้วเดินวนรอบห้องอยู่หนึ่งรอบ

ปกติแน่นอนว่าท่านแม่ทัพฉีจะให้การชี้แนะ หรือว่าให้การช่วยเหลือฉีเฟยอวิ๋น แต่ทว่าครั้งนี้ท่านแม่ทัพฉีเพียงแค่มองบุตรสาวแล้วยิ้มชื่นชม นับว่าเป็นการปลุกเร้าใจให้เธอฮึกเหิมแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นวางดาบลงแล้วเช็ดซับเหงื่อ เดินไปนั่งลงตรงหน้าของท่านแม่ทัพฉี

“ท่านพ่อ มีเรื่องหรือเจ้าคะ?”

ท่านแม่ทัพฉีค่อนข้างห่อเหี่ยวใจกล่าวว่า “ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดอันใดหรอก แต่ว่าพ่อไร้ความสามารถฝีมือ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ในใจของพ่อรู้สึกทรมานละอายแก่ใจยิ่งนัก”

“ท่านพ่อ เรื่องอันใด เหตุใดท่านพ่อถึงได้รู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ท่านพ่อน่าจะลองบอกข้า ข้าจะได้ท่านช่วยวิเคราะห์เจ้าค่ะ”ฉีเฟยอวิ๋นใช้คำพูดความรู้สึกมาทำลายกำแพงของท่านแม่ทัพฉี

ท่านแม่ทัพฉีเลยกล่าวว่า “พอพูดแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกันกับรองแม่ทัพเฉา เมื่ออดีตครั้นรองแม่ทัพเฉายังเป็นหนุ่มได้มีน้องสาวอยู่ที่นี่ น้องสาวของเขาอายุน้อยกว่าเขามาก

ตอนที่เขาออกศึกกับข้าข้าเคยพบน้องสาวของเขา ยังอุ้มกอดดื่มนมอยู่

รองแม่ทัพเฉาไม่ได้มีพี่ชายพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆแล้ว ท่านแม่ของเขาเสียชีวิตเร็ว ตอนที่เสียชีวิตรองแม่ทัพเฉาเพิ่งจะอายุหกขวบ ท่านพ่อของเขาเลี้ยงมาจนโตก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาอายุสิบเจ็ดปีได้ติดตามอยู่กับพ่อ วันนี้อายุได้สามสิบเจ็ดปีแล้ว อะไรก็ดีหมด

เขาไม่มีฮูหยิน มีแค่น้องสาวคนเดียว ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องนี้ดี เข้าอกเข้าใจกัน

เมื่ออดีตท่านพ่อของรองแม่ทัพเฉาคนนั้น ตอนที่เขายังเป็นเด็กได้ติดตามกับแม่หม้าย แม่หม้ายผู้นั้นก็เป็นบุคคลที่มีจิตใจดี เห็นพวกเขาพ่อลูกน่าสงสาร มีบางตอนที่นางอยู่เพียงลำพังได้ถูกกลั่นแกล้ง ไปๆมาๆก็ได้ดูแลพวกเขาพ่อลูก ดูแลรองแม่ทัพเฉาราวกับเป็นลูกที่ตนเป็นผู้ให้กำเนิด

แต่ท่านพ่อของรองแม่ทัพเฉากลัวว่าจะถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้ง ก็เลยไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับแม่หม้ายผู้นั้น แม่หม้ายผู้นั้นก็ไม่ได้แต่งงานออกเรือนด้วย

เมื่อมาถึงตอนที่รองแม่ทัพเฉาอายุได้สิบหกปี แม่หม้ายผู้นั้นถามรองแม่ทัพเฉาว่าสามารถเป็นแม่เลี้ยงของเขาได้หรือไม่ แน่นอนว่ารองแม่ทัพเฉายินยอม ต่อมาก็ได้กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน

ตอนนั้นพ่อต้องการพารองแม่ทัพเฉาไปด้วย เห็นว่าเขาองอาจผึ่งผาย เป็นผู้ที่มีความสามารถเหมาะแก่การบ่มอบรม ไม่สมัครเข้าเป็นนายทหารแล้วเสียเวลา

ตอนที่เขาไปกับพ่อ แม่เลี้ยงของเขาคลอดน้องสาวออกมาคนหนึ่ง เด็กน้อยผู้นั้นตอนที่รองแม่ทัพเฉาเดินทางไปกับพ่อเขายังเป็นเด็กที่อุ้มในอ้อมกอดอยู่ เล็กมากๆ

พวกเราทำการสู้รบมายี่สิบปี ไม่ได้กลับมาเท่าไหร่ พอช่วงเหมันตฤดู คิมหันตฤดู วสันตฤดู สารทฤดูผ่านไป ก็เป็นยี่สิบปีแล้ว

และโชคชะตาชีวิตของน้องเขาคนนั้นก็ลำบาก ตอนอายุสิบหกปีก็ได้แต่งงานออกเรือนกับคนคนหนึ่ง คนนั้นเป็นรองเสนาบดี รองเสนาบดีผู้นั้นร่างกายไม่แข็งแรง จากนั้นได้เสียชีวิตไป

น้องสาวของรองแม่ทัพเฉาผู้นี้ไม่มีลูก อยู่ที่เรือนของสามีได้รับความทุกข์อย่างมาก น้องชายของสามีสองคนของนางมักจะเหยียบย่ำอยู่เสมอ นางได้รับโทษไม่น้อย แต่นางมิกล้าที่จะกลับเรือนมาบอกรองแม่ทัพเฉา

สิ่งนี้ยังไม่นับ ช่วงที่ผ่านที่น้องสาวคนนี้ของรองแม่ทัพเฉาคนนี้ถึงแม้จะตั้งครรภ์ สิ่งนี้เมื่ออยู่ที่ต้าเหลียงของพวกเราเป็นสิ่งที่ขัดต่อกฎบ้านเมืองกำหนดไว้อย่างใหญ่หลวง

หญิงสาวเป็นหม้ายไม่ได้แต่งงานอีกครั้งแล้วตั้งครรภ์มีลูก ต้องถูกบทลงโทษ

ท้องนั่นพ่อก็เห็นแล้ว ใหญ่เท่าลูกแตงโมแล้ว

เพราะเรื่องนี้ทำให้ที่เรือนของสามีน้องสาวรองแม่ทัพฉี ตีลงโทษอย่างหนัก และเรียกรองแม่ทัพเฉาไป รองแม่ทัพเฉาเห็นน้องสาวของตนถูกตีเฆี่ยน ก็เลยเหยียบขยี้น้องชายของสามีน้องสาวตาย วันนี้ รองแม่ทัพเฉาถูกขังไว้ในคุก น้องสาวของรองแม่ทัพเฉาก็ถูกมัดไว้อยู่หน้าประตูเรือนของแม่สามี เสื้อผ้ารุงรังคุกเข่าอยู่ พ่อไปเยี่ยมรองแม่ทัพเฉาแล้ว เขาร่ำไห้ขอร้องอ้อนวอนให้พ่อช่วยเหลือเขา

แต่พ่อว่าพ่อเป็นนายทหาร เป็นคนถูกหลักทำนองคลองธรรมพบเจอกับคนที่ไม่ฟังเหตุผลก็ไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจนแล้ว

อีกอย่างเรื่องที่หญิงสาวมีชายอื่นเยี่ยงนี้ พ่อจะไปช่วยเหลือได้อย่างไรกัน?“

พอท่านแม่ทัพฉีพูดจบฉีเฟยอวิ๋นนับว่าเข้าใจแล้ว เพราะเรื่องของรองแม่ทัพเฉาเลยทำให้ท่านพ่อของเธอลำบากใจนี่เอง

รองแม่ทัพเฉานั้นฉีเฟยอวิ๋นก็เคยพบเจอ แม้ว่าจะเป็นคนที่หยาบกระด้างชัดเจนเปิดเผย แต่ก็เป็นคนดีคนหนึ่ง

เพียงแต่อารมณ์ร้อนไปบ้าง เธอนึกว่าอายุสี่สิบกว่าแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งจะอายุสามสิบกว่าปี

“ท่านพ่อ ในเมื่อบอกว่าหญิงสาวลักลอบเป็นชู้กับชายอื่น เช่นนั้นแล้วเป็นชู้หรือไม่เจ้าคะ?”ฉีเฟยอวิ๋นอยากรู้อยากทำให้มันชัดเจน น่าเสียดายที่ตอนนี้หนานกงเย่ไม่ได้รับคำสั่งให้ทำคดีแล้ว หากว่ายังเป็นเขาอยู่ล่ะก็ จะได้เชิญให้ไปช่วยเหลือ

วันนี้เขาสำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิดูแลบ้านเมือง ยังจะสามารถลงมาทำคดีได้หรือ?

ท่านแม่ทัพฉีกล่าวว่า“แปลกก็แปลกอยู่ตรงนี้ รองแม่ทัพบอกว่าถามอยู่หลายหน น้องสาวของเขาบอกว่าไม่ได้ลักลอบมีชู้ แต่ไม่ได้ลักลอบมีชู้ แล้วในท้องมาได้อย่างไรกัน?

ท้องใหญ่ขนาดนั้น และก็มองเห็นแล้วด้วย”

ท่านแม่ทัพฉีจนปัญญางงไปครู่ใหญ่

ฉีเฟยอวิ๋นเอียงตัวลุกขึ้น กล่าวว่า “เช่นนี้ ไม่ใช่คนของเรือนสามีพูดปด ก็เป็นน้องสาวของรองแม่ทัพเฉาพูดปด แต่ไม่ว่าผู้ใดจะพูดปด รองแม่ทัพเฉาก็เข้าคุกไปแล้ว เขาเป็นถึงรองแม่ทัพ เหยียบขยี้คนตายอยู่ด้านนอก ถึงอย่างไรก็พูดต่อไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”

“รองแม่ทัพเฉาเคยขอร้องพ่อ แต่ทว่าพ่อกลับไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ เขาพูดกับพ่อว่า น้องสาวของเขาถูกคนเหล่านั้นเฆี่ยนตีอย่างหนัก เขาโกรธจนตาแดงก่ำ

ท่านแม่ทัพฉีเกลียดช้ำใจเข้ากระดูกดำ ที่ไม่สามารถช่วยเหลือความร้อนรนใจของรองแม่ทัพเฉาได้
ฉีเฟยอวิ๋นอยากไปดู เลยกล่าวว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากไปดูน้องสาวของรองแม่ทัพเฉาเจ้าค่ะ”

ท่านแม่ทัพฉีลุกขึ้นกล่าวว่า “ดูแล้วไม่มีอะไร แต่นั่นก็เป็นเพียงการดู”

ท่านแม่ทัพฉีสีหน้าค่อนข้างจนปัญญา ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจเลยถามว่า “ท่านพ่อ ท่านพ่อพูดเยี่ยงนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ? ดูท่าทางของท่าน เหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากจะโต้แย้งแล้ว”

ท่านแม่ทัพฉีเลยพูดว่า “ต่อให้ไม่เป็นเรื่องยากที่จะตอบโต้ นั่นก็ไม่สามารถกลับคืนมาได้แล้ว เดิมพ่อคิดว่าจะไปขอร้ององค์จักรพรรดิ แต่วันที่พ่อไป อาลักษณ์ราชสำนักหลี่ก็อยู่ด้วย เดิมทีรองเสนาบดีที่ตายคือบุตรชายคนโตของอาลักษณ์ราชสำนักหลี่ และรองแม่ทัพเฉาได้เหยียบขยี้บุตรชายของคนเล็กเขาจนตายด้วย

ตอนที่พ่อไปขอร้องอ้อนวอนองค์จักรพรรดิ อาลักษณ์ราชสำนักหลี่ก็กำลังร่ำไห้คร่ำครวญ บอกว่าชีวิตของเขายากลำบาก

ที่แท้ท่านพ่อก็สามารถพูดได้ไม่กี่คำ แต่อาลักษณ์ราชสำนักหลี่ผู้นี้เป็นสหายที่เล่าเรียนมาด้วยกัน พ่อกับเขาก็นับว่าเป็นสหายโรงเรียนเดียวกัน ถึงแม้ว่าพ่อจะร่ำเรียนไม่มาก แต่ก็เคยเป็นบุคคลที่อยู่เป็นสหายกับองค์จักรพรรดิ

และฮูหยินของอาลักษณ์ราชสำนักหลี่ เป็นลูกพี่ลูกน้องหญิงของราชครูจวิน เขาเป็นคนสนิทของราชครูจวิน พ่อมีจิตใจที่จะช่วยเหลือ แต่ทว่าไร้ความสามารถที่จะทะเลาะอะไรอย่างนั้น ถึงพ่อไหว แต่การต่อสู้กับเสนาบดีที่ใหญ่โตอย่างนี้ พ่อต่อสู้พวกเขาไม่ไหวหรอก

เรื่องนี้ไม่ง่ายที่จะดันทุรัง พ่อรู้สึกไม่สบายใจเลย”

ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองท่านพ่อของเธอ จากนั้นกล่าวถามว่า “ท่านพ่อ ท่านเคยต่อสู้กับพวกเขาหรือไม่เจ้าคะ?”

“พ่อไม่มีค่าควรแก่การทำ แม้ว่าราชครูจวินจะอยู่บนราชสำนักจะหยาบคายไร้เหตุผลอยู่บ้าง แต่ราชครูจวินก็ปฏิบัติกับพ่อได้ไม่เลว พ่อโง่เขลา แต่เขาก็ยังเป็นราชครูของพ่อ

ตัวอักษรก็เป็นเขาที่พร่ำสอนพ่อ เมื่อก่อนพ่อก็เป็นสหายเล่าเรียนกับองค์จักรพรรดิ เพียงแต่พ่อไม่ชอบเรียนตัวอักษร ก็เลยยืนฟังอยู่ด้านนอก

เมื่ออดีตตอนที่พ่อเป็นหนุ่ม ราชครูจวินนับว่าไม่เลวเลย ยังวางแผนที่จะเอาลูกพี่ลูกน้องหญิงแต่งงานกับพ่อด้วย แต่พ่อไม่ได้ชอบลูกพี่ลูกน้องหญิงของเขา ก็เลยแล้วกันไป”

ฉีเฟยอวิ๋นฟังท่านแม่ทัพฉีพูดแล้วประหลาดใจ นานถึงได้กล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านเลอะเลือนอย่างแท้จริง นั่นคือเขาต้องการเอาใจท่าน ทำให้ท่านกลายเป็นคนของเขา ไม่อย่างนั้นอาลักษณ์ราชสำนักหลี่จะกลายเป็นน้องเขยของเขาได้อย่างไร ประตูธรรมเนียมนี้เป็นการบวกน้องเขย แต่ญาติแต่งงานกับญาตินี่ โชคดีที่ท่านพ่อไม่ตอบตกลง หากท่านตอบตกลง ก็ทำผิดต่อท่านแม่ของข้าอย่างแน่นอน”

เมื่อก่อนตอนที่พ่อยังเป็นหนุ่ม ท่านแม่ทัพฉียิ้มแล้วกล่าวว่า “พ่อไม่มีทางทำผิดต่อท่านแม่ นอกจากแม่ของเจ้า พ่อก็ไม่ชอบใครเลย”

ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ สรุปว่าเธอมีท่านแม่แบบไหน ถึงได้ทำให้ท่านพ่อรักสุดจิตสุดใจเยี่ยงนี้ได้

ตอนที่เอ่ยถึงท่านแม่ของเธอ แววตาของท่านพ่ออบอุ่นเหลือเกิน

ท่านพ่อนายทหารของเธอ เป็นคนมุ่งมั่นจดจ่อรักเดียวเสียจริง

หากเป็นหนานกงเย่ก็เป็นอย่างนี้ ถือว่าไม่เลวเลย

“ไม่กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว ท่านพ่อ ตอนนี้พวกเราไปดูน้องสาวของรองแม่ทัพเฉากันเถิดนะเจ้าคะ ใช่แล้ว น้องสาวของรองแม่ทัพเฉาชื่ออะไรหรือเจ้าคะ?”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถาม

ท่านแม่ทัพฉีกล่าวว่า“ชื่อเฉาเหม่ยเหริน”

“……..”ฉีเฟยอวิ๋นตะลึงงันครู่ใหญ่ “นี่คือชื่อหรือเจ้าคะ?”

“แน่นอนว่าเป็นชื่อ นี่เป็นรองแม่ทัพเฉาบอกกับพ่อ แต่ละคำที่กล่าวออกมาคือเหม่ยเหริน พ่อยังถามเขาอย่างเจาะจงเลย”ท่านแม่ทัพฉีกล่าวอธิบายให้ฟัง

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยความแปลกใจว่า“ข้านึกว่าเฉาเหม่ยเหรินเป็นชื่อพระราชทานมอบให้”

ท่านแม่ทัพฉีส่ายศีรษะกล่าวว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ หญิงสาวที่แต่งงานแล้ว ก็เป็นนางแล้ว แต่เหล่านั้นคืออาณาประชาราษฎร์ หากเป็นรองเสนาบดีล่ะก็น้อยที่จะมีคนเรียกนางว่านาง ก็คือจะเรียกนางว่าฮูหยินของรองเสนาบดีกัน หากอนาคตสามีแต่งภรรยารอง ก็จะเป็นอนุภรรยาฮูหยินรองอะไรนั่นแล้ว

พ่อก็ไม่ค่อยจะเข้าใจว่าเหตุใดถึงได้วุ่นวายเช่นนี้”

พอท่านแม่ทัพฉีกล่าวพูดฉีเฟยอวิ๋นกลับหัวเราะ และก็ไม่มีอะไรที่อยากจะพูด ท่านพ่อของเธอผู้นี้คล้ายดั่งเด็กคนหนึ่ง