“แม่นาง เหตุใดเจ้าถึงตบข้าอีก?”
“เขาไม่ได้พิการ” กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างเคร่งขรึม
อย่างแรกคือนางสามารถรังแกเยี่ยจิ่งหานได้ และสามารถเรียกเขาว่าคนพิการได้ แต่นางไม่ชอบให้ผู้อื่นรังแกเขาและด่าทอเขา
อย่างที่สองคือนางกำลังช่วยเขา คำว่าคนพิการของเขา เป็นการก้าวขาข้างหนึ่งเข้าในนรกแล้วเพียงแค่เยี่ยจิ่งหานโบกมือก็อาจทำให้ทั้งครอบครัวของพวกเขาหายไปจากเมืองหลวง หรือแม้กระทั่งหายไปจากโลกนี้
“เจ้า……เจ้ากับเขามีความสัมพันธ์ใดกันแน่?” แม้ว่าเสิ่นอวิ๋นลี่จะโง่มากแค่ไหน แต่ก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นไม่ธรรมดา
เขาเป็นลูกที่คนในครอบครัวรักและเอ็นดูมาโดยตลอด ไม่ว่าเขาต้องการอะไร พ่อแม่ก็จะหาทางเอามาให้เขา
ตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่เคยถูกเฆี่ยนตี แต่ในตอนนี้เขากลับถูกหญิงแปลกหน้าตบ
เสิ่นอวิ๋นลี่ถุยเลือดออกมาจากปาก และเปลี่ยนท่าทีที่ประจบประแจงเมื่อครู่ และเตือนอย่างเย็นชาว่า “เจ้ารู้หรือว่าที่นี่คือที่ไหน?”
“รู้สิ หอสุรา”
“นี่เป็นอาณาบริเวณของข้า ถนนทั้งสายในเมืองหลวงก็เป็นอาณาบริเวณของข้า เพียงแค่ข้าต้องการให้เจ้าตาย ต่อให้เทพแห่งสงครามอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องไว้หน้าข้า”
กู้ชูหน่วนยิ้มในทันที รอยยิ้มของนางอบอุ่นราวกับแสงแดดจ้า และสามารถละลายทุกอย่างได้ในพริบตาเดียว ประกอบกับรูปโฉมอันงดงามของนาง ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยในหอสุราต่างพากันหลงใหล
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้วและบุ้ยปากไปทางเยี่ยจิ่งหานด้วยสายตาที่เย้ยหยัน
ดูเหมือนนางกำลังถามเยี่ยจิ่งหานว่าต้องการจะไว้หน้าเขาจริง ๆ หรือไม่
เยี่ยจิ่งหานเพิกเฉยต่อสายตาที่เย้ยหยันของนาง ราวกับว่าเป็นคนนอก และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเขา
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย เพียงแค่เจ้ายอมคุกเข่าแล้วโขกศีรษะสามครั้ง และยอมที่จะเป็นทาสหญิงของข้า ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“ทาสหญิง?” เหอะ…..ไม่ยอมเป็นพระชายา แล้วจะหนีมาเป็นทาสหญิง?
“ใช่ หากเจ้ายอมปรนนิบัติรับใช้ข้าอย่างดี ข้าจะพิจารณายกเจ้าขึ้นมา”
“เจ้าเสียงดังเอะอะเกินไปแล้ว”
ในขณะที่กู้ชูหน่วนพูด นางก็กระแทกเขาจนกระเด็นออกไปนอกหน้าต่าง
“โอ้ย ข้าเจ็บแทบแย่ เจ้ามันเป็นหญิงต่ำช้า ข้าชอบพอเจ้าก็นับว่าเจ้าโชคดีมากแล้ว แต่เจ้ายังกล้าทำร้ายข้าอีก ข้า……”
“ผัวะ……”
เสิ่นอวิ๋นลี่ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ถูกตบหน้าอีกครั้ง ตบคราวนี้แรงมากจนเขากระเด็น และตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง จนเกือบจะคร่าชีวิตของเขาไปในชั่วพริบตาเดียว
“บังอาจ พวกเจ้ากล้าทำร้ายคุณชายเสิ่น ใครก็ได้ กระทืบพวกเขาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“ตูมตูมตูม…..”
คุณชายเหล่านั้นถูกเหล่าทหารยามโยนออกไปนอกหน้าต่างทีละคน แต่ละคนจับแขนขาและร้องครวญคราง
กู้ชูหน่วนส่ายหัว
พวกโง่เขลา นางให้โอกาสพวกเขาแล้ว
เป็นพวกเขาที่รนหาที่ตาย แล้วยังจะยั่วยุเยี่ยจิ่งหานอีก
กู้ชูหน่วนคิดว่าด้วยนิสัยของเยี่ยจิ่งหานแล้ว จะต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน
ไม่คิดเลยว่าเยี่ยจิ่งหานจะบอกให้พวกเขาไสหัวไป และไม่ได้เอาชีวิตเขา
นางตกตะลึงเล็กน้อย เยี่ยจิ่งหานกลายเป็นคนช่างพูดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ไม่นานเยี่ยจิ่งหานก็กล่าวอย่างใจเย็น “ดูเหมือนว่าเสนาบดีกรมพิธีการจะดำรงตำแหน่งนี้มานานหลายปีแล้ว เนื่องจากเขาไม่ได้สร้างความดีความชอบเลยแม้แต่น้อย เขาควรจะกลับบ้านไปดูแลตนเองได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ ชิงเฟิงจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
กู้ชูหน่วนส่ายหัวอีกครั้ง
ที่แท้นางก็ไร้เดียงสามากเกินไป นางคิดว่าเยี่ยจิ่งหานไม่ถือสาหาความ
และไม่เอาชีวิตของเขา เพียงเพราะเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ
นอกหน้าต่าง ผู้คนเหล่านั้นไปที่หอประมูลเฟิงเซียงฝั่งตรงข้าม กู้ชูหน่วนกล่าวด้วยความสงสัย
“ทำไมผู้คนมากมายถึงไปที่หอประมูลเฟิงเซียง?หรือว่ามีการประมูลของล้ำค่าอะไร?”
ชิงเฟิงตอบตามความจริงว่า “หอประมูลเฟิงเซียง เป็นหอประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง สิ่งของทั้งหมดที่ประมูลออกมาแต่ละชิ้นล้วนเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก กิจการของพวกเขาได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ได้ยินมาว่าวันนี้มีของสำคัญชิ้นหนึ่งมาประมูล ดังนั้นจึงมีผู้คนมากันมากันเป็นจำนวนมาก”