บทที่ 392

บทที่ 392

การสู้รบดำเนินไปจนค่ำ ทำให้การบาดเจ็บของกองทัพอินทรีสวรรค์และกองทัพหนิงถือว่าหนักหนายิ่ง เช่นเดียวกับความเหนื่อยล้าที่ก่อตัวขึ้น แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น หากแต่เมื่อไม่มีคำสั่งให้ถอย พวกเขาก็ได้แต่เพียงกัดฟันและอดทนต่อไป

เมื่อทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนถึงจุดที่เกินจะทนไหว ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง จ้านอู่ฉางจึงตระหนักได้ว่าถึงเวลาแล้ว และหันไปพูดกับจ้านอู่ตี้ที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “เจ้าจงไปนำทัพฝ่าวงล้อมศัตรูออกไป !”

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ! พี่ใหญ่ !” จ้านอู่ตี้เห็นด้วยในทันทีเมื่อได้รับคำสั่งให้เป็นผู้นำกองทัพ

หลังจากจ้านอู่ตี้จากไป จ้านอู่ฉางก็สั่งให้แปรกระบวนทัพทันที และเมื่อเสียงกลองดังขึ้น ทั้งกองทัพหนิงก็ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปขบวนไปจากเดิม…

แนวรบของพวกหนิงที่กำลังปะทะกับกองทัพอินทรีสวรรค์เปลี่ยนไปในพริบตานั้น ทหารที่อยู่ทางปีกซ้ายและขวาทั้งหมดถอยออกไป ปล่อยพวกทหารที่อยู่ตรงกลางเข้ารับแรงปะทะในแนวหน้าแทน …ในพริบตารูปแบบเกล็ดปลาของกองทัพหนิงก็ได้กลายเป็นรูปกรวยสามเหลี่ยม

คนอื่น ๆ อาจมองการก่อตัวของกองทัพหนิงไม่ออก แต่เขาสามารถเห็นได้ว่านี่เป็นรูปแบบแนวหน้าที่น่ารังเกียจยิ่ง อย่างไรก็ตามมันรุนแรงกว่ากระบวนทัพเกล็ดปลา ด้วยรูปแบบนี้เป็นเหมือนหอกแหลมคมที่มีไว้ทะลวงผ่านทุกสิ่งสรรพ !!!

ปฏิกิริยาของจีหยิงรวดเร็วเช่นกัน เขาส่งต่อคำสั่งทันทีและเปลี่ยนกระบวนทัพเกล็ดปลาเป็นกระบวนทัพปีกกระเรียน ที่เป็นการผสมผสานระหว่างการรุกและการป้องกัน โดยกองทัพกลางอยู่ด้านหลัง และมีหน้าที่หลักในการป้องกันการโจมตีของศัตรู ส่วนกองทัพซ้ายและขวาจะวิ่งไปข้างหน้าเพื่อเข้าล้อมศัตรู

ปฏิกิริยาของเขาไม่ผิด ด้วยการเลือกกระบวนทัพปีกกระเรียน เขาสามารถโจมตีไปที่หัวหอกของกองทัพหนิงได้ อย่างไรก็ตามเขาได้มองข้ามจุดหนึ่ง และนั่นก็คือเรื่องความเชี่ยวชาญของพวกหนิง !

ตามคำสั่งของเขา จ้านอู่ตี้ก็พลันพุ่งไปที่ด้านหน้าของกองทัพ ในขณะที่มีฝนธนูตามมาติด ๆ

ด้วยกระบี่แสงสีม่วงในมือ จ้านอู่ตี้ก็ได้กลายเป็นผู้นำในการวิ่งไปที่ด้านหน้าของกองทัพอินทรีสวรรค์ และเนื่องจากการตั้งขบวนรบกระเรียง ทหารที่อยู่แนวหน้าจึงต้องตั้งโล่ที่สูงและหนาขึ้น

…ทหารถือโล่ขณะที่พวกเขาหดตัวลง ซึ่งถ้ามองขึ้นไปพวกเขาก็จะเห็นเพียงกำแพงเหล็กที่มองไม่เห็นเท่านั้น และนี่ มันก็เป็นยุทธวิธีทั่วไปที่ทหารราบใช้ต้านทานพวกทหารม้า

ถึงแนวโล่จะต้านทานทหารม้าธรรมดาได้ แต่มันไม่สามารถหยุดจ้านอู่ตี้ได้ ! เขากระตุ้นม้าให้รีบวิ่งไปที่ด้านหน้าของกองทัพเฟิง และด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง ง้าวและหอกจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้ทะลวงผ่านช่องว่างระหว่างโล่ ก่อนเป็นง้าวยาวและหอกที่แทงสวนกลับออกมา !!

…จ้านอู่ตี้ตะเบ็งเสียงก้อง กวัดแกว่งดาบปราณจนเกิดเสียงของการฟาดฟังดังกังวานอย่างต่อเนื่อง

เมื่อมองไปที่ง้าวและหอกที่พุ่งเข้ามาหา พวกเขาทั้งหมดก็ตอบสนองกลับไป จนทำให้ปลายง้าวและหอกกระจัดกระจายไปทั่วพื้น

เสียงหอบหายใจดังขึ้นมาจากด้านหลังของโล่กองทัพเฟิง และก่อนที่ทหารจะยึดอาวุธที่พังทลายกลับมาได้ จ้านอู่ตี้ที่ถือดาบของเขาด้วยมือทั้งสองข้างก็ได้เล็งไปที่โล่ที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงทำการฟันออกไปในแนวนอนอย่างแรง !!!

แคร้ง !

โล่ที่มีน้ำหนักมากกว่าร้อยจินกลายเป็นดูอ่อนนุ่มราวกับเต้าหู้ …ภายใต้การเฉือนของดาบแสงสีม่วง โล่พวกนั้นถูกตัดออกเป็นสองส่วน พร้อมกับทหารเฟิงที่หลบอยู่หลังโล่นั่นที่ส่งเสียงโอดครวญดังไปทั่ว และก่อนที่พวกทหารจะมองเห็นได้ชัดเจนว่าเกินอะไรขึ้น ร่างกายของพวกเขาก็พลันถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ โดยคลื่นพลังปราณที่ถูกปล่อยออกมาจากการฟาดฟันนั้น

เกิดรูโหว่ขนาดใหญ่ตัดกลางกองทัพเฟิงจากฝีมือของจ้างอู่ตี้ และโดยไม่ต้องคิด เขาก็พลันเร่งม้าและรีบวิ่งเข้าไปผ่านช่องว่างนั้นในทันที !!

หลังจากที่จ้านอู่ตี้วิ่งเข้ามา เขาก็ทำการโจมตีทางซ้ายและขวาอย่างรุนแรง จนบางครั้งคมดาบก็จะกะพริบด้วยแสงใบมีดและบางครั้งมันก็จะยิงคลื่นพลังปราณออกมา ทำให้ทหารเฟิงที่อยู่รอบ ๆ ตกลงสู่พื้นทีละคน

…มีทหารเฟิงกว่าร้อยคนเสียชีวิตภายใต้ดาบของคนผู้นี้

ด้วยความแข็งแกร่งของเขาเอง จ้านอู่ตี้รีบวิ่งผ่านศูนย์กลางของกองทัพเฟิง ในขณะที่ด้านหลังเขา ก็มีแม่ทัพหนิงไม่น้อยเลยที่ติดตามมาด้วย

เมื่อเห็นว่าทหารศัตรูไม่สามารถหยุดยั้งได้ นายกองคนหนึ่งของกองทัพเฟิงก็พลันร้องคำรามเสียงดัง เขาตะโกนเรียกทหารที่อยู่ข้างหน้าและนำทหารม้า 20 คนตรงเข้าปะทะกับจ้านอู่ตี้

เมื่อไปถึงตัวอีกฝ่าย พวกเขาก็ไม่รอช้า นายกองที่กำหอกในมือแน่นก็ได้จ้วงแทงหอกไปยังหน้าอกของจ้านอู่ตี้อย่างแรง

จ้านอู่ตี้เอนตัวไปด้านข้างเล็กน้อย หลีกเลี่ยงปลายหอก และโดยไม่รอให้อีกฝ่ายผ่านไป เขาก็พลันเคลื่อนกายอย่างเร็วราวกับสายฟ้า เข้าคว้าด้ามหอกของอีกฝ่ายแล้วดึงกลับอย่างดุเดือดขณะที่ตะโกนว่า “หมอบลง !”

นายทหารผู้นั้นดูเชื่อฟังยิ่ง ด้วยทันทีที่สิ้นเสียง คนผู้นี้ก็พลันตกจากหลังม้าจากการดึงของจ้านอู่ตี้ในทันที

หลังจากสิ้นเสียง ทหารม้าก็พลันตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรง และโดยไม่รอให้เขาลุกขึ้น ทหารที่อยู่ข้างหลังจ้านอู่ตี้ก็ได้พุ่งเข้าไปแทงอีกฝ่ายจนตาย ในขณะที่ทหารม้าคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก ด้วยหอกของพวกเขาถูกปัดป้องโดยจ้านอู่ตี้ หลังจากนั้นคนหลังก็จะโบกใบมีดขนาดใหญ่ในแนวนอน ส่งคลื่นพลังปราณจันทร์เสี้ยวกวาดออกไป ทำให้ทหารเฟิงไม่อาจหลบหนี และถูกเฉือนด้วยคลื่นพลังปราณที่เข้ามาเต็ม ๆ

“ตู้มม !”

พวกเขาทั้งหมดถูกตัดครึ่งที่เอว ทำให้ร่างกายท่อนบนกลิ้งตกลงจากหลังม้า ในขณะที่ร่างกายท่อนล่างของพวกเขายังคงห้อยอยู่บนหลังม้าเช่นเดิม

ในขณะที่เฝ้าดูทหารม้าของตนล้มตายลงภายใต้เงื้อมมือของแม่ทัพศัตรู จีหยิงก็ทั้งโกรธและเศร้าโศกจนดวงตาของเขาแดงก่ำ !!

จ้านอู่ตี้ไม่ปราณีแม้แต่น้อย เขายังคงฟาดฟันออกไปอย่างต่อเนื่อง ก่อนทำการยกชูดาบแสงสีม่วงขึ้นฟันเข้าใส่แม่ทัพเฟิงนายหนึ่งอย่างรุนแรง

แม่ทัพเฟิงผู้นั้นกรีดร้องและตกจากหลังม้า ร่างกายของเขากระตุกสองสามครั้งจากนั้นก็หยุดเคลื่อนไหว …แม่ทัพหัวผู้สง่างามถูกแทงตายในมือโดยไม่ได้ขยับแม้แต่ครั้งเดียว ในสายตาของทหารเฟิงที่อยู่รอบ ๆ นี่เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงเกินไปและน่ากลัวเกินไป

ทุกคนพากันหวั่นเกรงกับพลังของจ้านอู่ตี้และตื่นตระหนก ทำให้แนวรบที่ปราศจากผู้นำสับสนวุ่นวายเข้าไปใหญ่ ซึ่งจ้านอู่ตี้ก็ไม่คิดจะปล่อยโอกาสที่ดีงามเช่นนี้ไป เขากลั้นหายใจพลางเหวี่ยงดาบอย่างทุลักทุเล ในขณะเดียวกันก็ตะโกนว่า “ใครขวาง…ตาย !”

ฟุ่บ !

แรงลมที่รุนแรงถูกปลดปล่อยออกไปเป็นริ้ว ๆ มันไร้สี และทำให้ทหารที่อยู่แถวหน้าได้รับผลกระทบ จนถูกสับเป็นชิ้น ๆ

..ส่วนแถวที่สองแถวที่สามนั้น ….แม้กระทั่งช่วงเวลาสุดท้าย เมื่อปราณดาบค่อย ๆ อ่อนแรงลง มันก็ยังคงทิ้งบาดแผลขนาดใหญ่ไว้บนร่างกาย ทำให้พวกเขากรีดร้องอย่างน่าสังเวชและล้มลงกับพื้นอย่างแรง

ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ขบวนรบของกองทัพเฟิงก็ราวกับถูกล้วงควักด้วยทัพพีขนาดใหญ่ ทำให้ทหารเฟิงอย่างน้อยสองร้อยคนถูกสังหารด้วยสายลมที่บ้าคลั่ง

จ้านอู่ตี้ไม่แม้จะกะพริบตา เขาเร่งให้ม้าพุ่งเข้าไปในช่องว่างที่เปิดออก พร้อมกับปล่อยปราณสายลมคลั่งด้วยกำลังทั้งหมดของเขาออกไป

เมื่อเทียบกับจ้านอู่ตี้ ทหารเฟิงพวกนี้ก็เหมือนใบหญ้าข้างทาง เขาปล่อยกระบวนท่าออกมาไม่หยุดยั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่าห้าร้อยคน ในขณะที่จ้านอู่ตี้พุ่งไปข้างหน้าไกลกว่า 6 จั้ง

เมื่อมีแม่ทัพที่กล้าหาญและทรงพลังเช่นนี้ ขวัญกำลังใจของทหารด้านล่างจะไม่ดีได้อย่างไร ? พวกทหารหนิงที่ติดตามมาทั้งหลายไม่พลาดแม้แต่น้อยที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้ พวกเขาเข้าซ้ำทหารเฟิงที่อยู่โดยรอบในทันที

…ในเวลานี้ไม่มีใครในกองทัพเฟิงที่สามารถต่อกรกับจ้านอู่ตี้ได้เลย จึงทำให้ทหารเฟิงล้มตายภายใต้คมดาบของอีกฝ่ายลงไปทีละคน ๆ

มาตอนนี้แม้แต่รองแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ จีหยิงก็ยังตะลึง และเมื่อฟื้นคืนสติได้ในที่สุด พวกเขาก็ตระหนักว่าจ้านอู่ตี้ใกล้เข้ามาแล้ว รองแม่ทัพสองสามคนเช็ดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผากของตน ก่อนจะหันไปพูดกับจีหยิงว่า “ท่านแม่ทัพ จ้านอู่ตี้ทรงพลังมากเกินไป พวกเราควรจะถอยก่อนขอรับ !”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น แววตาเย็นเยือกก็พลันปรากฏขึ้นในดวงตาของจีหยิงขณะที่เขาจ้องมองไปยังรองแม่ทัพอย่างเย็นชา ทำให้คนอื่น ๆ รีบลดศีรษะลงด้วยความตกใจและยกมือขึ้นคำนับ

เฮ้อ !

จีหยิงสงบสติอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปยังจ้านอู่ตี้ที่อยู่ในสภาพไร้เทียมทาน ก่อนจะได้แต่ถอนหายใจและตำหนิตัวเองที่ไม่เก่งกาจเท่า

หลังจากหยุดชั่วครู่ จีหยิงก็จึงพยักหน้าแล้วโบกมือ “…ถอนกำลังเดี๋ยวนี้ !”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น รองแม่ทัพทั้งสองสามคนนั้นก็พลันรู้สึกโล่งใจ ก่อนที่พวกเขาจะเร่งสั่งพวกทหารให้หลีกเลี่ยงการปะทะกับจ้านอู่ตี้ และถอยออกมา

เมื่อการต่อสู้มาถึงจุดสูงสุด กองทัพหนิงก็ได้ทำลายแนวรบของกองทัพเฟิงลง ทำให้มีทหารหนิงจำนวนมากที่หลบหนีไปได้

…แน่นอนว่าสาเหตุที่กองทัพสามารถฝ่ากองทัพเฟิงไปได้ มันก็เพราะฝีมือของจ้านอู่ตี้เพียงอย่างเดียว !!!

แต่แม้ว่ากองทัพหนิงจะฝ่าแนวรบกองทัพอินทรีสวรรค์มาได้ ทว่าทหารของพวกเขาก็ลดลงไปไม่น้อย และในเวลานี้หากนับจำนวนกำลังทหารที่เหลือ ดู ๆ แล้วกองทัพหนิงก็เห็นจะเหลือกำลังคนน้อยกว่า 2 หมื่นนายเสียอีก