บทที่ 393

บทที่ 393

หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้ จ้านอู่ตี้ก็ดูจะเหนื่อยล้าเช่นกัน ด้วยพลังงานปราณส่วนใหญ่ในร่างกายของเขาถูกใช้ไปหมดแล้ว

จ้านอู่ฉาง จ้านอู่ตี้ ซ่งเทียนและทหารผ่านศึกที่บาดเจ็บกว่า 2 หมื่นคนภายใต้คำสั่งของพวกเขาพากันหนีด้วยความตื่นตระหนกมุ่งตรงไปยังเมืองเฟ่ย ในเวลานี้พวกเขาคิดว่าในที่สุดก็จะปลอดภัยแล้ว !

ทว่าในขณะที่เขาเข้าไปใกล้ มันก็พลันมีเสียงโห่ร้องดังมาจากกลางอากาศ

จ้านอู่ฉาง จ้านอู่ตี้และคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหน้าต่างก็ตกใจและหยุดม้าอย่างกระวนกระวาย

ฟิ่ว !

ในขณะที่พวกเขาหยุดม้า ลูกศรลึกลับก็พลันปักตรึงลงกับพื้นต่อหน้าต่อตา

นี่คือคำเตือนของศัตรูต่อศัตรู ! เห็นแบบนี้สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป ซ่งเทียนเป็นคนแรกที่หายจากอาการตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองหอประตูเมืองอย่างสงสัย ก่อนจะนึกอะไรได้และเร่งควบไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว

“เฟิงไห่ !อยู่ที่ไหน !”

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนที่อยู่ด้านบนของเมืองตะโกนกลับมา “ท่านคือใคร !?”

“เฟิงไห่ ข้ามาอยู่นี่แล้ว ทำไมเจ้าถึงยังไม่เปิดประตูอีก !!?”

เมื่อซ่งเทียนพูดจบ คนจากฝั่งกำแพงเมืองก็พลันเงียบเสียงลงในทันที

ในเวลานี้ เจ้าเมืองเฟ่ยไห่อยู่บนกำแพงเมือง และเขาก็ได้ยินทุกคำพูดของซ่งเทียน แต่เขาไม่ได้ตอบสนองเป็นเวลานาน เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาโดยรอบก็พากันร้องเตือนด้วยเสียงต่ำ “นายท่าน ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะมาถึงนอกเมืองแล้ว ?”

เฟิงไห่มองไปที่ผู้คนทางซ้ายและขวา เหล่ตาของเขา และพูดแผ่วเบา “ข้าไม่คิดอย่างนั้น กองทัพเทียนหยวนมีไหวพริบนัก มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาแอบอ้างเป็นฝ่าบาทและโกหกเพื่อให้ข้าเปิดเมือง ?”

“อ๋อ ?” เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาต่างก็สูญเสียคำพูด พากันมองหน้าไปมา แต่ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ

เฟิงไห่สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตะโกนเสียงดัง “ช่างเป็นเรื่องตลก อ๋องของเราอยู่ที่เมืองหวัน แล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ถอยไปซะ นี่เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย !”

หลังจากซ่งเทียนฟังจบ เขาก็ไม่รู้ว่าควรชื่นชมความภักดีของเฟิงไห่ดีหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่มันมืดและมีคบเพลิงในกองทัพจำกัด เขาจึงไม่สามารถให้คนบนกำแพงเมืองเห็นตนเองได้อย่างชัดเจน จึงได้แต่ตะโกนไปว่า “เจ้ากล้าดียังไงเฟิงไห่ กล้าถามตัวตนของข้า เจ้าลองลงมาดูสิว่าข้าเป็นตัวจริงรึเปล่า !”

เมื่อเฟิงไห่ได้ยินแบบนั้น เขาก็พลันหัวเราะแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าจะไม่ปล่อยให้คนของข้าออกไปจากเมืองเพื่อตายตามแผนการเจ้าหรอก อย่าคิดว่าจะหลอกข้าได้ !!”

“บัดซบ !” ในตอนนี้ซ่งเทียนหมดความอดทนแล้ว โบกมือให้ทหารที่อยู่ข้าง ๆ ตนหยิบตราหยกจักรพรรดิไปแสดงให้พวกในเมืองเห็น ซึ่งทหารผู้นั้นก็ตอบรับคำสั่งเป็นอย่างดี เร่งหยิบตราพระราชลัญจกรและรีบไปที่ทางเข้าเมืองในพลัน

ขณะที่เขาวิ่งออกจากขบวน เฟิงไห่และคนอื่น ๆ บนกำแพงเมืองก็เห็นอีกฝ่ายอย่างชัดเจน จึงมีแม่ทัพนายหนึ่งที่ชี้มาและพูดขึ้น “นายท่าน ศัตรูกำลังจะเข้ามาใกล้แล้ว !”

ข้าเองก็เห็นมัน ! เฟิงไห่พึมพำในใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พลันยกมือขึ้นและตะโกนไปว่า “ฆ่าเขาซะ !”

“นายท่าน… ท่านหมายความว่ายังไง ?”

โดยไม่รอให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาพูดจบ ใบหน้าของเฟิงไห่ก็พลันกลายเป็นมืดมน “อย่าชักช้า.. ฆ่าเขาซะ !”

“รับทราบ… ขอรับ !”

เฟิงไฮ่เป็นเจ้าเมือง ดังนั้นเขาจึงถือว่ามีอำนาจมากที่สุด และเมื่อสิ้นคำสั่ง ทหารทุกคนก็พากันง้างคันศรและเล็งธนูเล็งไปที่องครักษ์ของซ่งเทียนที่กำลังวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ฟุ่บ ! ฟุ่บ ! ฟุ่บ !

กลุ่มลูกศรพุ่งลงมาจากด้านบนของกำแพงเมือง บินตรงไปที่ทหารนายนั้น และเมื่อเขาได้ยินเสียงลูกศร สีหน้าของนายทหารผู้นั้นก็พลันเปลี่ยนไปเป็นตกใจ “อย่ายิง ! ข้า…. !?”

ฉึก ! ฉึก ! ฉึก !

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ลูกศรขนนกอินทรีก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว …ลูกศรนับพันเหล่านี้ได้เปลี่ยนนายทหารผู้นั้นและม้าศึกของเขาให้กลายเป็นเม่น

“… ?” ไม่คาดคิดว่าเฟิงไห่จะสั่งให้ยิงออกมา ซ่งเทียนคำรามด้วยความโกรธ “เฟิงไห่ เจ้าคิดที่จะก่อการกบฏอย่างนั้นเหรอ !!”

ในความเป็นจริง เฟิงไห่มั่นใจว่าคนที่มาถึงคือซ่งเทียนอย่างแน่นอน แต่ทว่าเขาไม่กล้าให้ซ่งเทียนเข้าเมือง

การป้องกันเมืองหยานเป็นอย่างไร ? เมื่อเทียบกับเมืองเฟ่ยแล้ว เมืองหลวงถือว่าแข็งแกร่งกว่าถึงร้อยเท่า แต่ซ่งเทียนก็ยังถูกกองทัพเทียนหยวนโจมตีจนต้องหนีออกมา แล้วถ้าทหารของถังหยินมาบุกตีเมืองเฟ่ยเล่า ? เขาจะสามารถต้านทานการโจมตีจากกองทัพเทียนหยวนได้อย่างนั้นเหรอ ? แน่นอนว่าคำตอบก็คือไม่ !!

…เขาไม่ต้องการที่จะภักดีต่อซ่งเทียนที่จะนำพาตนเข้าสู่เส้นทางที่ยังไงก็ไม่มีทางที่จะสวยหรูได้

อย่างไรก็ตาม เฟิงไห่ไม่มีความกล้าที่จะหักหลังซ่งเทียนอย่างเปิดเผย เนื่องจากตอนนี้มันมืดแล้ว ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้และประกาศว่าซ่งเทียนเป็นพวกของกองทัพเทียนหยวน ด้วยวิธีนี้เขาสามารถหยุดซ่งเทียนไม่ให้เข้าเมือง และยังทิ้งเส้นทางให้ตัวเองถอยหนีได้

“ไอ้พวกโจรป่า อย่าได้พยายามที่จะเฉียดเข้าใกล้เมืองนี้อีกเป็นครั้งที่สอง นี่เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย ! ให้ร่างที่ถูกเสียบด้วยธนูนั่นเป็นศพสุดท้ายซะจะดีกว่า” เฟิงไห่พูดทีละคำด้วยสีหน้าจริงจัง

“เจ้า… !!” ซ่งเทียนบันดาลโทสะ เขากัดฟันจนแทบแตกละเอียด แต่ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้แล้ว และได้แต่หันศีรษะไปพูดกับจ้านอู่ฉางอย่างโกรธแค้น “ท่านแม่ทัพ แสดงให้มันเห็นว่าพวกเราคือใคร !”

จ้านอู่ฉางมองไปยังซ่งเทียนอย่างลึกซึ้งและหัวเราะอย่างขมขื่น ขณะที่ส่ายหัว ด้วยไม่เข้าใจว่าซ่งเทียนฉลาดตรงไหน นี่เขายังมองไม่เห็นความตั้งใจของเฟิงไห่ได้อย่างไร ? เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการเปิดรับคน และแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

ตอนนี้มีแม่ทัพและทหารน้อยกว่า 2 หมื่นนาย และพวกเขาก็เหนื่อยมาก แม้แต่จ้านอู่ตี้ก็หมดเรี่ยวแรง หลังจากขี่ม้าไปได้สักพั ก แม้ว่าเขาจะเข้าไปในเมืองได้จริงๆ แต่ก็มีแม่ทัพและทหารเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ในเวลานั้นถ้ากองทัพเทียนหยวนเข้าล้อมเมืองทั้งหมด ก็คงจะไม่มีใครสามารถหลบหนีไปไหนได้ !!

เขาถอนหายใจยาว ๆ และพูดว่า “ฝ่าบาท เฟิงไห่ไม่ใช่คนที่จะภักดีกับท่าน ดังนั้นอย่าหวังว่าเขาจะเปิดประตูเมืองให้เ..”

ก่อนที่จะพูดจบ เขาก็พลันได้ยินเสียงใครบางคนจากด้านหลังกรีดร้องออกมา “รายงานขอรับ !”

ทหารหนิงวิ่งมาจากด้านหลังอย่างเร่งรีบและหยุดอยู่ตรงหน้าจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ ก่อนจะคุกเข่าลงและขัดจังหวะด้วยการกล่าวถึงสิ่งที่พบเจอ “รายงานท่านแม่ทัพ ! กองทัพเทียนหยวนตั้งทัพใหม่แล้ว และพวกเขาก็กำลังไล่ตามพวกเรามาขอรับ !!”

“ว่าไงนะ !?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวใจของจ้านอู่ฉาง จ้านอู่ตี้ ซ่งเทียนและคนอื่น ๆ ก็ถึงกับสั่นสะท้าน ด้วยพวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากที่ได้รับชัยชนะเหนือกองทัพของจีหยิงแล้ว อีกฝ่ายจะทำการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและไล่ตามมาอีก จ้านอู่ฉางขมวดคิ้ว เขาครุ่นคิดอยู่ จากนั้นก็ตะโกนไปว่า “เรียกแม่ทัพนายกองทั้งหมด ปล่อยเมืองเฟ่ยไปก่อน ถอยไปทางทิศใต้ !”

“รับทราบ !” เหล่าแม่ทัพรับคำสั่งของจ้านอู่ฉาง ส่วนซ่งเทียนก็ได้แต่ถูมือเข้าหากันอย่างกระวนกระวายและถามว่า “แม่ทัพจ้าน กองทัพของเราอ่อนแรงมาก เราไม่สามารถเดินทางต่อไปได้แล้ว”

‘ข้ารู้น่า…’ จ้านอู่ฉางกลอกตาของเขา และแม้จ้านอู่ฉางจะต้องการที่จะตำหนิซ่งเทียนสักสองสามครั้ง แต่ก็จำต้องกลืนคำพูดที่กำลังจะออกจากปากไป และเปลี่ยนเป็นพูดอย่างจริงจังแทน “ถ้าเข้าไปในเมืองเฟ่ย มีแต่จะทำให้เราตายเร็วกว่าเดิม เราต้องถอยไปทางทิศใต้ !”

“แต่ว่า… ?”

“ฝ่าบาทหากเรายังชักช้าอีก เมื่อกองกำลังข้าศึกตามทัน มันก็จะสายเกินไปที่เราจะล่าถอย !”จ้านอู่ฉางเตือนอย่างเย็นชา

ซ่งเทียนได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ ด้วยตอนนี้เขาไม่สามารถพึ่งพาใครได้อีกแล้วนอกจากจ้านอู่ฉาง เขาจึงจำต้องพยักหน้าและพูดอย่างอ่อนแรง “ตามที่ท่านเห็นสมควร !”

กองทัพหนิงถูกต้อนให้ต้องเผชิญกับทางเลือก พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเลี่ยงหนีไปทางทิศใต้

ทันทีที่พวกเขาจากไป เฟิงไห่ก็แทบรอไม่ไหวที่จะให้คนไปเปิดประตูเมือง เขาออกไปข้างนอกเพื่อดูว่าคนที่เพิ่งยิงคือใคร พร้อมทั้งทำการคาดเดาคร่าว ๆ จากเครื่องแบบที่ศพสวมใส่ ด้วยนี่ถือเป็นหลักฐานพิสูจน์ชั้นดี ว่าตนไม่อนุญาตให้ซ่งเทียนเข้าเมือง และนั่น มันก็หมายความว่าเขามุ่งมั่นที่จะเข้าข้างพวกเทียนหยวน !!!

ทว่าผลของเหตุการณ์ไม่คาดคิดกลับไม่ใช่ว่าศพเป็นใคร หากทว่ากับเป็นตราหยกของซ่งเทียนที่ถูกดึงออกมา

เมื่อเห็นตราหยกจักรพรรดิที่ซ่งเทียนสร้างขึ้น ผู้ใต้บังคับบัญชาของเฟิงไห่ก็แทบจะกลายเป็นบ้า ด้วยพวกเขารู้แล้วว่าฆ่าคนผิด ! ผิดกับเฟิงไห่ที่หัวเราะออกมาด้วยความสะใจพร้อมกับถือตราหยกที่อยู่ในมือไว้แน่น

ก่อนหน้านี้เขากังวลว่าตัวเองจะเสียเปรียบและได้แต่ยอมจำนนโดยไม่ได้อะไร แต่เมื่อมีตรายกนี่ งั้นแล้วสถานการณ์ก็ถือว่าเปลี่ยนไปแล้ว !!

ไม่นานหลังจากกองทัพหนิงและเปิงหนีออกไป จีหยิงก็มาพร้อมกับกองทัพของเขา

หลังจากการต่อสู้ครั้งก่อน มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 4 หมื่นคนในกองทัพอินทรีสวรรค์ และตอนนี้ดวงตาของจีหยิงเป็นสีแดงโดยสิ้นเชิง ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้รับบาดเจ็บหนัก และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเพิ่งได้รับข่าวว่าจูนัวเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งในความเห็นของจีหยิง การตายของจูนัวถือเป็นความรับผิดชอบของเขาทั้งหมด !!!

เมื่อเห็นว่าแม่ทัพใหญ่กังวลมากจนดวงตาของเขาแดงก่ำ เหล่าทหารโดยรอบก็ไม่กล้าที่จะไม่ต่อสู้ด้วยชีวิตของพวกเขา

ซ่งเทียนต้องการเข้าไปในเมืองเฟ่ย ดังนั้นเฟิงไห่จึงไม่กล้าเปิดประตูเมือง แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นกองทัพเทียนหยวน ท่าทีก็พลันแตกต่างออกไปในทันที ด้วยเขาเปิดประตูเมืองด้วยตัวเองและเชิญกองทัพเทียนหยวนเข้ามา หากแต่จีหยิงก็ไม่ได้เห็นเมืองเฟ่ยอยู่ในสายตาของเขาเลย เพราะพวกเขาไม่ได้คิดหยุดแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังเริ่มทำการไล่ล่ากองทัพหนิงต่อไปอีกด้วย !!

มีทหารและแม่ทัพเปิงกับหนิงหลายนายที่ได้รับบาดเจ็บ และด้วยเพราะพวกเขาไม่ได้พักเลยจนถึงตอนนี้ จึงมีหลายคนที่วิ่งตามไม่ทัน บ้างก็ล้มลงกับพื้น และบ้างก็นั่งพักเหนื่อยหอบหายใจ ซึ่งเมื่อจีหยิงที่ตามมาทันเห็นภาพตรงหน้า เขาก็ไม่คิดพลาดโอกาสนี้ไป ทำการออกคำสั่งให้จัดการคนพวกนั้นในทันที !