บทที่ 394

บทที่ 394

ซ่งเทียนหนีไปทางใต้พร้อมกับพวกกองทัพหนิง ฝ่ายกองทัพอินทรีสวรรค์ก็ไล่ตามเขาอย่างไม่ลดละ ทำให้สถานการณ์นั้นวิกฤตถึงขีดสุดและน่าเศร้าอย่างยิ่ง

เขาไม่เพียงแต่ทิ้งเสบียงที่เหลืออยู่ทั้งหมด แม้แต่ครอบครัวและนางสนมของซ่งเทียนก็ไม่ได้รับการยกเว้น ในท้ายที่สุดมีเพียงภรรยาหลวงของเขาเท่านั้นที่อยู่เคียงข้าง

กลุ่มทหารที่พ่ายแพ้กลุ่มนี้วิ่งไปทางใต้จากเมืองเฟ่ยเป็นระยะทางกว่า 4 ร้อยลี้ในคืนเดียว ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์เลย แม้แต่ม้าทหารก็เหนื่อยล้าและเกิดฟองที่ปาก พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะก้าวขาต่อได้ เมื่อท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างขึ้นกองทัพหนิงอ่อนล้าก็อ่อนล้าเสียจนไม่มีแรงจะเคลื่อนทัพอีกต่อไป แต่โชคดีที่กองทัพอินทรีสวรรค์หยุดการไล่ล่าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กองทัพหนิงกับกองทัพเปิงรู้สึกเหนื่อยล้า เช่นเดียวกับฝ่ายกองทัพอินทรีสวรรค์ที่เหนื่อยล้าไม่ต่างกัน ไม่มีเครื่องแบบทหารเหลืออยู่ในกองทัพอีกต่อไปแล้ว มีทหารเฟิงจำนวนไม่น้อยเลยที่ทำการเปลือยอกไล่ตามศัตรูไป ทว่าในขณะนั้นเอง จีหยิงก็พลันได้รับข้อความจากถังหยิน ทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจ และตัดสินใจที่จะตั้งค่ายหยุดพักเป็นการชั่วคราว

เมื่อได้รับคำสั่งของถังหยิน จีหยิงก็ไม่กล้าขัดขืน ผนวกกับที่ไล่ตามศัตรูมาทั้งคืน ทั้งแม่ทัพนายกองและทหารของเขาต่างก็หมดแรงเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย ดังนั้นจึงคิดว่าพักเสียหน่อยก็ถือเป็นเรื่องดี !!

…เดิมทีเขาคิดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองวันสำหรับกำลังเสริม แต่คาดไม่ถึงว่ากองกำลังจะมาถึงในเวลาเพียงครึ่งวัน !

ทว่ากำลังเสริมที่ว่ากับมีกำลังพลไม่มากนัก มีเพียงประมาณหมื่นคนเท่านั้น และพวกเขาทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่เป็นทหารม้าเกราะเบาทั้งสิ้น

ซึ่งผู้นำของทหารม้าเกราะเบานี้ไม่ใช่ใครอื่น …นอกจากถังหยินที่ส่งข้อความมายังจีหยิง

เขามาพร้อมกับ หยวนยู่ หยวนอู่ หยวนเปียว เช่นเดียวกับ จ้านหู หลีเทียน อัยเจีย อู่เหมยและอู่อิง !!

จีหยิงกำจัดกองกำลังหลักของกองทัพหนิงไปได้แล้วก็จริง

แต่อย่างไรก็ตาม ฝั่งเขาก็มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคนเช่นกัน นอกจากนี้แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อู่กวนก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ในขณะที่จูนัวเสียชีวิตในสนามรบ

เมื่อจีหยิงทราบข่าวว่าถังหยินเดินทางมาเป็นการส่วนตัว เขาที่กำลังนั่งอยู่ในค่ายก็ถึงกับลุกขึ้นยืนทันทีและพาผู้ใต้บังคับบัญชาของตนออกจากค่ายมารอต้อนรับ

เมื่อเห็นถังหยินที่เหนื่อยล้า โดยไม่พูดอะไรจีหยิงก็พลันคุกเข่าลงบนพื้นป้องมือของเขาและกล่าวว่า “ข้าน้อยทำความเคารพนายท่านขอรับ !” ในฐานะแม่ทัพ ตนกลับทำให้จูนัวเสียชีวิตด้วยน้ำมือของจ้านอู่ตี้ จีหยิงรู้สึกว่านี่เป็นความรับผิดชอบ ดังนั้นเขาจึงรีบแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา

ถังหยินมองลงไปยังจีหยิง ที่ปกติมักจะดูแลรูปลักษณ์ของเขาให้ดีเสมอ ผมต้องถูกหวีอย่างเรียบร้อย ชุดเกราะบนร่างกายจะถูกเช็ดจนสะอาดจนไม่มีแม้แต่เศษฝุ่นเกาะ แต่ตอนนี้ผมยุ่งเหยิง เคราถูกรวบไว้อย่างลวก ๆ ใบหน้าหมองคล้ำและปกคลุมไปด้วยสิ่งสกปรกบนร่างกาย

เฮ้อ ! ถังหยินถอนหายใจออกมา จูนัวเป็นลูกน้องเก่า ดังนั้นชายหนุ่มจึงเข้าใจในตัวของจูนัวเป็นอย่างดี ว่าอีกฝ่ายเป็นคนตรงไปตรงมาและหุนหันพลันแล่น คนคนนี้ไม่ได้ระวังตัวเลย อีกทั้งยังไม่สนใจด้วยว่าจ้านอู่ตี้แข็งแกร่งแค่ไหน แต่จีหยิงไม่รู้ได้อย่างไร ? มีแม่ทัพมากมายในกองทัพอินทรีสวรรค์ เหตุใดเขาจึงยืนกรานที่จะปล่อยให้จูนัวออกไปต่อสู้กับจ้านอู่ตี้ นี่มันไม่ต่างอะไรกับการส่งไปตายเลยไม่ใช่หรือ !

…แต่ตอนนี้เมื่อชายหนุ่มได้เห็นสภาพที่น่าสังเวชของจีหยิง ความผิดหวังที่ถังหยินมีก็พลันลดลงไป เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นก้มศีรษะลงเพื่อมองไปยังจีหยิงที่คุกเข่าต่อหน้า และพูดไม่ออกเป็นเวลานาน

ถังหยินไม่ได้พูดอะไร แต่จีหยิงก็ไม่กล้าที่จะยืนขึ้น ในขณะที่รองแม่ทัพและผู้บัญชาคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

เมื่อเห็นเช่นนั้น อู่เหมยจึงดึงแขนเสื้อชายหนุ่มอย่างเงียบ ๆ และมองเขาด้วยสายตาที่สงสัย

ถังหยินกัดริมฝีปากของเขา ก่อนทำการพยุงร่างของจีหยิงขึ้นและพูดอย่างเฉยเมย “ท่านแม่ทัพจีหยิง… เจ้ายัง….?”

คำพูดของชายหนุ่มทำให้จีหยิงรู้สึกอึดอัดมากขึ้น เขาจึงทำการคุกเข่าลงอีกครา พร้อมกับพูดเบา ๆ ออกมา “มันเป็นความผิดพลาดของข้า ที่ทำให้แม่ทัพจูนัวถูกจ้านอู่ตี้ฆ่าตาย…”

โดยไม่ต้องรอให้เขาพูดจบ ถังหยินก็พลันใช้กำลังเล็กน้อยในอ้อมแขนของเขาเพื่อพยุงจีหยิงที่คุกเข่าให้ลุกขึ้น ในเวลาเดียวกันชายหนุ่มก็ได้พูดอย่างแผ่วเบาพร้อมกับดวงตาของเขาที่เป็นสีแดงเล็กน้อย “แม้ว่าจูนัวกับข้าจะรู้จักกันเพียงปีเดียว แต่เราก็สนิทกันเหมือนพี่น้อง เขามีเพียงพ่อที่ชราภาพมากแล้ว แม่และภรรยาของเขาเสียชีวิตก่อนการสู้รบเสียอีก ข้าจะอธิบายให้ครอบครัวของเขาฟังได้อย่างไร เพราะข้าเองก็มีส่วนรับผิดชอบในความผิดพลาดครั้งนี้ด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ร่างกายของจีหยิงก็พลันสั่นไหว หัวเข่าของเขาอ่อนลงและกลับมาคุกเข่าอีกครั้ง แต่ทว่าฝ่ามือของถังหยินที่จับแขนของเขาไม่คลายออก ชายหนุ่มจับเข้าที่ลำตัวของเขาแน่นป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายคุกเข่าลง ก่อนที่ถังหยินจะมองไปยังจีหยิงและพูดด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว “มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่แม่ทัพจะต้องพลีชีพในสมรภูมิ เนื่องจากเขาเลือกแล้ว งั้นมันก็ต้องเป็นไปตามที่เกิดขึ้น ท่านแม่ทัพจีหยิง ท่านไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเองแล้วล่ะ”

ในขณะที่พูดแบบนั้น ถังหยินก็ได้หันมองไปที่แม่ทัพรอบตัวและพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่รู้จักพวกเจ้าดีนักหรอก แต่พวกเจ้าก็ถือเป็นสมาชิกของกองทัพเทียนหยวน เป็นดั่งพี่น้อง ถ้าพวกเจ้าต้องตาย ข้าก็คงเสียใจ แต่ข้าเชื่อว่าพวกเราทุกคนไม่กลัวความตายรวมถึงแม่ทัพจูนัวด้วย …วันนี้หยาดเหงื่อและหยาดโลหิตของพวกเราทุกหยดจะไม่เสียเปล่า พวกมันจะรวมกัน และกลายเป็นเสาหลักที่จะค้ำจุนแคว้น ทำให้แคว้นเฟิงมั่นคงสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน !”

คำพูดของเขาดังและมีพลังยิ่ง ทำให้ผู้บังคับบัญชาทุกคนและทหารทุกคนอยู่ในปัจจุบันตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม

การจ้องมองของถังหยินเหมือนสายฟ้า เขาหายใจเข้าลึก ๆ ยกแขนขึ้นและร้อง “แด่แคว้นเฟิง !”

“แด่แคว้นเฟิง ! แด่แคว้นเฟิง ! แด่แคว้นเฟิง !”

ทุกคนเลือดเดือดพล่านขณะที่ตะโกนพร้อมกัน แม้แต่ทหารด้านนอกที่ไม่ได้ยินคำพูดของถังหยินก็ได้รับผลกระทบและพวกเขาก็ตะโกนตาม ทำให้เกิดเสียงลมหวีดหวิวไม่หยุดหย่อน

ไม่มีใครรับประกันได้ว่าพวกเขาจะได้อยู่ดูวันพรุ่งนี้หรือไม่ สงครามย่อมมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ซึ่งคำพูดของถังหยินก็ถือเป็นการให้กำลังใจทหารในกองทัพ และถือเป็นการให้กำลังใจตัวเองด้วย

“นายท่าน ?” หัวใจของจีหยิงโหมกระพือไปด้วยความฮึกเหิม เมื่อเทียบกับซ่งเทียนที่เห็นแก่ตัวและขุนนางคนอื่น ๆ แล้ว ถังหยินถือว่าแข็งแกร่งกว่ามาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นโชคดีของแม่ทัพที่มีเจ้านายเช่นนี้ได้ และถือเป็นโชคดีของกองทัพทั้งหมดด้วย !

เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างต่อเนื่องของทหาร ถังหยินก็จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความเศร้าโศกและความขุ่นเคืองในใจของเขาที่การเสียชีวิตของจูนัวลดน้อยลง

เขามองไปที่จีหยิง แต่ไม่ได้ดุอีกฝ่าย เพียงกล่าวชมเชยไปว่า “ในการต่อสู้ครั้งนี้ ความเป็นผู้นำของแม่ทัพจีหยิงนั้นยอดเยี่ยมยิ่ง”

ต้องรู้ว่ากองทัพหนิงมีแม่ทัพที่กล้าหาญเช่นจ้านอู่ตี้ และมันก็ถือเป็นสงครามที่ดุเดือด ซึ่งแค่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมันก็น่าพอใจมากแล้ว แน่นอนว่าถ้าจูนัวไม่ตาย …การต่อสู้ครั้งนี้ก็อาจกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ

เมื่อจีหยิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็ไม่สามารถหยุดน้ำตาที่ไหลลงมาได้

ถังหยินยิ้ม คว้าจับข้อมือของจีหยิง ขณะเดินลึกเข้าไปในค่าย “ข้าเข้าใจดี ดังนั้นแม่ทัพจีหยิงจึงไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวเกินไปหรอก ท่านทำได้ดีมากแล้ว” ถังหยินอาจไม่ได้ชอบจีหยิงมากนัก แต่เขาชื่นชมความสามารถของจีหยิงในแง่ของความสามารถในการปรับตัว ที่แม้แต่มูฉิงก็ไม่สามารถเทียบกับอีกฝ่ายได้

เมื่อเข้าไปในค่าย ถังหยิน จีหยิงและคนอื่น ๆ ก็พากันนั่งลง

ในเวลานี้สีหน้าของถังหยินกลายเป็นจริงจัง เขาถามว่า “สถานการณ์ของซ่งเทียนเป็นอย่างไร ?”

ข่าวจากเนตรเวหาและเครือข่ายใยพิภพทำให้เขาเข้าใจสถานการณ์ของศัตรูแล้ว แต่ชายหนุ่มต้องการจะฟังการวิเคราะห์ของจีหยิงอีกที

จีหยิงลุกขึ้นยืนและตอบด้วยความเคารพทันที “ปัจจุบันกำลังทหารทั้งหมดของกองศัตรูคงเหลือไม่เกิน 2 หมื่น อีกทั้งพวกเขายังปัญหาเรื่องการขาดแคลนเสบียงอาหาร ดังนั้นถ้าไม่มีอันใดผิดพลาด พวกซ่งเทียนก็คงอยู่ที่เมืองเจี้ยน และถ้าเราออกเดินทาง เราจะไปถึงที่นั่นได้ก่อนที่มันจะมืด”

ถังหยินฟังและพยักหน้า เขาหันไปและพูดกับหยวนอู่ “ขอแผนที่ที”

หยวนอู่รับคำ ก่อนจะดึงแผนที่มาคลี่กางไว้บนโต๊ะด้านหน้าของถังหยิน

ต่อจีหยิงหลับตา เขาก็ยังคงคุ้นเคยกับพื้นที่ของแคว้นเฟิงอย่างดี เขาดูแผนที่และค้นหาอย่างระมัดระวัง หลังจากมองไปสักพัก เขาก็พึมพำกับตัวเอง “เมืองเจี้ยนอยู่… ที่นี่ ?”

“ขอรับ…. นายท่าน !” จีหยิงขยับเข้ามาใกล้และชี้ไปที่เมืองเจี้ยน จากนั้นจึงทำการอธิบายว่า “เราอยู่… ตรงนี้ขอรับ”

“อืม… !” ถังหยินรับคำ ก่อนถาม “แล้วใครเป็นคนดูแลเมืองนี้กัน ?”

จีหยิงตอบในทันที “ชิวเยว่ขอรับ…”

“ชิวเยว่ ?” ในอดีต ตอนที่ถังหยินยังเป็นผู้บัญชาการทหาร เขาได้เดินทางผ่านเมืองเจี้ยนและได้พบกับเจ้าเมือง หลังจากได้ยินคำอธิบายของจีหยิง เขาก็นึกถึงคนคนนี้ขึ้นมาทันที ชายหนุ่มจึงพูดเบา ๆ ออกมาว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด ก่อนที่ซ่งเทียนจะชิงบัลลังก์ เขาคนนี้ก็เป็นเจ้าเมืองอยู่ก่อนแล้ว”

“ใช่แล้วขอรับ นายท่านความจำดีนะขอรับ” จีหยิงสรรเสริญนายของเขา

ถังหยินหัวเราะและกล่าวว่า “ในกรณีนั้นชิวเยว่ไม่น่าที่จะอยู่ฝ่ายซ่งเทียน ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้งานได้” หลังจากที่พูดจบ ชายหนุ่มก็จึงหันมองไปที่หลีเทียนและอัยเจีย ปากถามว่า “จนถึงตอนนี้ซ่งเทียนอยู่ในเมืองเจี้ยนแล้วรึยัง ?”

“ยังขอรับ !” หลีเทียนกล่าวว่า “…นายท่านขอรับ เราเพิ่งได้รับรายงาน ว่ากองทัพกบฏของซ่งเทียนกำลังพักอยู่ห่างจากเมืองเจี้ยน 10 ลี้”

“ดีมาก !” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังหยินก็ยิ้มจากนั้นจึงพูดกับจีหยิง “จีหยิง เจ้าจงเขียนจดหมายแนะนำถึงชิวเยว่ในนามของข้า ขอให้เขายอมจำนนต่อกองทัพของเรา และปฏิเสธที่จะให้การช่วยเหลือซ่งเทียนเสีย”