บทที่ 395

บทที่ 395

ถังหยินสามารถเขียนภาษาเฟิงได้ก็จริง แต่มีคำที่เขียนได้ไม่มากนักและลายมือก็ไม่ดี ดังนั้นเขาจึงยกหน้าที่นี้ให้คนทำ

ในขณะเดียวกันเขาก็แอบชื่นชมความสามารถของเนตรเวหาและเครือข่ายใยพิภพ ที่ทำให้ฝ่ายของเขาทราบข่าวสำคัญก่อนใคร

จีหยิงเขียนจดหมายเสร็จเร็วมาก หลังจากหมึกแห้งแล้วเขาก็พับมันอย่างระมัดระวัง “ข้าจะรีบจัดการให้อย่างเร็วที่สุดขอรับ”

“ถ้าเจ้าไปเองก็อาจช้าเกินไป…” ถังหยินหัวเราะจากนั้นจึงหันหัวไปทางหลีเทียนและกล่าวว่า “ให้คนของเนตรเวหาไปส่งจดหมายที”

“เข้าใจแล้วขอรับ นายท่าน !” หลีเทียนก้าวไปข้างหน้าและรับจดหมายมา จากนั้นเขาก็โบกมือเรียกให้รองหัวหน้าหน่วยเข้ามา ก่อนจะทำการส่งจดหมายไปให้อีกฝ่าย

ถังหยินมองไปข้างนอกเต็นท์ ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดในตอนบ่าย เขาจึงถอนหายใจและถามจีหยิง “แม่ทัพจีหยิง ตอนนี้อากาศร้อนเกินไปและพวกทหารก็เหนื่อยล้า แล้วไหนจะผ่านการต่อสู้อย่างหนักมาทั้งคืนอีก พวกเราควรจะพักกันสัก 2 ชั่วยามดีหรือไม่ ?”

จีหยิงไม่เคยคิดว่าถังหยินจะขอความเห็นจากเขาในเรื่องนี้ เขาพยักหน้าอย่างกังวลและตอบว่า “ข้าจะทำทุกอย่างตามความเห็นของท่าน”

“ดีมาก !” ถังหยินพยักหน้าแล้วถาม “แม่ทัพจีหยิง ผู้เสียชีวิตในการต่อสู้ครั้งนี้เป็นอย่างไร ?”

สีหน้าของจีหยิงมืดลง เขาพูดด้วยเสียงต่ำ “จำนวนพี่น้องของเราที่เสียชีวิตในสนามรบมีมากกว่า 3 หมื่นคน และจำนวนพี่น้องของเราที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถต่อสู้ได้ก็มีมากกว่าหมื่นนาย”

ถังหยินอุทานเบา ๆ ในขณะที่เขาก้มศีรษะลงและไม่ตอบกลับ ด้วยเพียงแค่ดูจำนวนผู้เสียชีวิตในกองทัพอินทรีสวรรค์ก็ไม่ยากที่จะนึกภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้น กองทัพอินทรีสวรรค์ 1 แสนนายกับทหารหนิง 7 หมื่น ทำให้เสียกำลังสู้รบไปมากถึง 4 หมื่นคน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ แต่โชคดีที่จำนวนนี้ไม่ได้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยนี่ทำให้กองทัพหนิงต้องสูญเสียกำลังพลไปมากกว่า 5 หมื่นคน

เมื่อเห็นถังหยินขมวดคิ้วและนิ่งเงียบอยู่นาน ทันใดนั้นจีหยิงก็นึกบางอย่างได้จึงกล่าวว่า “โอ้ใช่นายท่าน กองทัพของเรายึดเสบียงได้มากมายในขณะที่ไล่ตามศัตรู ทั้งยังจับคนในครอบครัวของซ่งเทียนมาได้ ท่านคิดว่าเราควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ?”

“อ๋อ ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้นถังหยินก็หันกลับมาตั้งสติและถามว่า “คนในครอบครัวของซ่งเทียน ? ใครกัน ?”

“บิดาผู้ชราของซ่งเทียนและนางสนมของเขากว่าสิบคน ไม่สิ….”เนื่องจากถังหยินไม่ยอมรับซ่งเทียนในฐานะอ๋อง เขาจึงไม่สามารถเรียกพวกนางว่านางสนมของซ่งเทียนได้

หลังจากถังหยินได้ยินเรื่องนี้เขาก็ดีใจมาก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า “พาเข้าไปดูที” จริง ๆ แล้วเขาอยากรู้เกี่ยวกับหน้าตาของสนมซ่งเทียน และหลังจากที่พูดจบ ถังหยินก็พลันรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ไล่มาตามกระดูกสันหลัง ชายหนุ่มจึงหันกลับไปมองและตระหนักว่าอู่เหมย ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตนกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา

ถังหยินยิ้มให้อย่างขมขื่น เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมาซะเฉย ๆ และขอให้ทหารยามนำชามาให้

หลังจากนั้นไม่นานบิดาชราของซ่งเทียนและนางบำเรออีกหลายสิบคนก็ถูกพาเข้าไปในค่าย ซ่งเทียนอายุยังน้อยนัก และจากรูปลักษณ์ของเขา บิดาของอีกฝ่ายก็คงมีอายุราว ๆ แปดสิบปี ด้วยคนผู้นี้มีเคราและผมเป็นสีขาวทั้งหมด อีกทั้งพวกมันก็ดูแทบจะหลุดร่วงได้ตลอดเวลาอีกด้วย

บิดาของซ่งเทียนมาจากตระกูลที่ร่ำรวย มากไปด้วยอำนาจ ทำให้เขามีนิสัยของขุนนางอยู่เต็มเปี่ยม และแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในมือของกองทัพเทียนหยวน แต่เขาก็ยังคงมีศักดิ์ศรี หลังจากเข้ามาในเต็นท์ ชายชราไม่ได้คุกเข่า แต่กลับทำการสำรวจแม่ทัพหลายคนก่อนที่สายตาของเขาจะหันมองไปยังถังหยินที่นั่งอยู่ตรงกลาง ก่อนที่ชายชราจะกระแอมไอในลำคอและถามอย่างมั่นใจ “เจ้าเป็นใครกัน ? ข้าเป็นผู้อาวุโส และเป็นพ่อของท่านอ๋อง เห็นอย่างนี้แล้วยังไม่หาที่นั่งให้ข้าอีกอย่างนั้นเหรอ ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จมูกของแม่ทัพทุกคนในค่ายก็ดูจะคดตัวลงเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าลูกไม้จะหล่นไม่ไกลต้นเลยแม้แต่น้อย ! ถังหยินโกรธและหัวเราะ เขาแอบส่ายหัวให้กับท่าทีของชายชรา และคิดสงสัยว่าอีกฝ่ายเลอะเลือนหรือว่าอ่านสถานการณ์ไม่ออกกันแน่ ?

“โครม !”

ถังหยินทุบโต๊ะ ชี้นิ้วไปที่จมูกของบิดาซ่งเทียนและตะโกนว่า “รู้ไหมว่าสิ่งที่เจ้าพล่ามออกมาจะทำให้เจ้าโดนสับเป็นชิ้น ๆ ได้ !”

ชายชราตกใจกับเสียงตะโกนของถังหยิน เขามองไปที่ถังหยินด้วยความตกใจ และไม่สามารถตอบสนองได้เป็นเวลานาน ด้วยมันผิดกับท่าทีของจีหยิง ที่ทำตัวสุภาพกับตนเมื่อก่อนหน้านี้ยิ่ง

ถังหยินไม่ได้มีความคิดเช่นจีหยิง เช่นนั้นเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องสุภาพเลย

“เจ้า !… เจ้ากล้าดียังไง !” ชายชราตัวสั่นด้วยความโกรธขณะที่เขาจ้องไปที่ถังหยินโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก

“ฮ่า ! ฮ่า ! ฮ่า !” ถังหยินหัวเราะเยาะ “ข้าก็กล้าขนาดนี้นี่แหละ !!” ขณะที่พูด เขาก็ทำการเอียงศีรษะและตะโกนว่า “ทหาร !”

ตามเสียงตะโกนของเขา ทหารในชุดเกราะสองคนเดินเข้ามาจากด้านนอก “ขอรับท่าน”

“เอามันไปตัดหัว !”

“ขอรับ !” พวกทหารไม่สนใจเรื่องใด พวกเขาไม่สนใจสถานะของอีกฝ่าย ทั้งคู่เพียงฟังคำสั่งของแม่ทัพใหญ่เท่านั้น ว่าแล้วทั้งสองก็พลันเดินไปหาชายชรา ก่อนจะเข้าจับไหล่ของเขาและลากอีกฝ่ายหน้าออกไป

“เดี๋ยวก่อน !” เมื่อเห็นเช่นนั้นจีหยิงก็พลันเดินเข้ามาขวางไว้ จากนั้นจึงพูดกับถังหยินด้วยเสียงต่ำ “นายท่าน ข้ามองว่าเรื่องนี้ไว้จัดการต่อหน้าซ่งเทียนดีกว่า จะได้เป็นบทเรียนแก่เขา”

“ฮ่ะฮ่า !” ถังหยินหัวเราะโดยหันหน้าไปทางท้องฟ้าและพูดอย่างไม่เร่งรีบ “แม้ว่าซ่งเทียนจะยอมจำนน เขาก็ต้องตายเพื่อล้างแค้นให้กับแม่ทัพแคว้นเฟิงที่เสียสละในสงครามครั้งนี้ ชีวิตซ่งเทียนอยู่ในกำมือของข้าแล้ว ดังนั้นมันไม่สำคัญว่าเขาจะอยู่หรือไม่ก็ตาม ดังนั้นจีหยิง คำแนะนำของเจ้าไม่มีความจำเป็น”

คำพูดของถังหยินได้ใจแม่ทัพหลายคน เมื่อสงครามเริ่มขึ้นการบาดเจ็บล้มตายก็เกิดขึ้นตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อจำนวนผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้น ความไม่พอใจระหว่างทั้งสองฝ่ายก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ตอนที่ถังหยินเริ่มต่อสู้จนถึงตอนนี้ ก็ได้มีทหารบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ทำให้พวกเขาเกลียดชังซ่งเทียนเข้ากระดูกดำ

“นายท่านทำถูกแล้ว ฆ่าซ่งเทียน ! ฆ่าบิดาของมันซะ ! ฆ่า !”

เหล่าแม่ทัพตะโกนอย่างพร้อมเพรียง

เนื่องจากถังหยินได้พูดออกไปแล้ว จีหยิงจึงทำได้แค่ปล่อยให้มันเป็นไป

เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังจะฆ่าเขาจริง ๆ ชายชราก็ตื่นตระหนก เขากลัวมากจนหน้าซีดและตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน… ? ถ้าฆ่าข้า ลูกของข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าเอาไว้แน่ !?”

“ฮึ !” ยิ่งอีกฝ่ายพูด ถังหยินก็ยิ่งโกรธ ชายหนุ่มหรี่ตาส่องด้วยแสงแห่งความชั่วร้ายที่คุกคามและตะคอกอย่างรุนแรง “เรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้หรอก ! ทว่าข้าก็อยากที่จะเห็นเสียเหลือเกินว่าตอนนี้ไอ้กบฏนั่นมีความคิดที่จะแก้แค้นให้เจ้าจริงหรือไม่ !”

สิ้นคำพูดของถังหยิน เขาก็ร้องสั่งให้ประหารพ่อของซ่งเทียนในทันที !

…เมื่อเห็นการฆ่าผู้คนที่เหมือนกับการฆ่าเป็ดฆ่าไก่ มันก็ทำให้นางสนมที่ถูกพาตัวมาด้วยตัวสั่นด้วยความกลัว บางคนก็ถึงขั้นทรุดลงกับพื้น

“ไม่ ! เมตตาข้าด้วย ! ไว้ชีวิตข้าด้วย !”

เหล่านางสนมของซ่งเทียนเข้ากอดกันแน่น ขณะที่พวกนางพากันร้องขอความเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สายตาของถังหยินค่อย ๆ กวาดไปทั่ว ก่อนจะหยุดลงและทำการพยักหน้าเพียงเล็กน้อย จากนั้นจึงชี้ไปยังนางสนมที่เด็กและงดงามที่สุดพร้อมถามว่า “เจ้านามว่าอะไร ?”

“ขะ…ข้า หวังหลง ” แม้ว่าหญิงสาวจะกลัวมาก แต่ท่าทีของนางก็ดูจะผ่อนคลายกว่านางสนมคนอื่น ๆ เล็กน้อย

…เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่ตัวนางนั้นตกอยู่ในเงื้อมมือของกองทัพเทียนหยวนแล้ว ดังนั้นในฐานะนางสนมของซ่งเทียน หากนางต้องการมีชีวิตอยู่ นางก็ต้องพึ่งพาสิ่งดั้งเดิมที่สุดที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

ถังหยินมองไปที่อีกฝ่ายและอดไม่ได้ที่จะขยับตัว ทว่าก่อนที่เขาจะพูดสิ่งใด ชายหนุ่มก็พลันได้ยินเสียงไอเบา ๆ จากด้านข้าง

ถังหยินจึงได้แต่หัวเราะอย่างเชื่องช้า พลางกระแอมในลำคอและพูดกับจีหยิง “ท่านแม่ทัพจีหยิงทำหน้าที่ได้ดีมาก ข้าจะยกนางคนนี้ให้เพื่อตอบแทนความพยายามของท่าน !”

“อึก !” จีหยิงสำลักในลำคอ เขาไอออกมาสองสามครั้งและยืนขึ้นก่อนพูดว่า “แม่ทัพผู้ต่ำต้อยคนนี้ไม่คู่ควรหรอกขอรับ” ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผู้หญิงคนนี้ก็ถึงเป็นนางสนมของซ่งเทียน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในนางสนมคนโปรดเสียด้วย !

….ในอดีตถ้าเห็นนาง เขาจะต้องคุกเข่าลงและโค้งคำนับ แล้วแบบนี้เขาจะกล้ายอมรับนางได้อย่างไรกัน ?

เมื่อเห็นจีหยิงลุกลี้ลุกลนแบบนั้น ถังหยินก็มีความสุข เขามองไปทางซ้ายและขวา ก่อนจะเห็นหยวนยู่ที่จ้องมองไปยังผู้หญิงคนนั้นโดยไม่กะพริบตา จึงได้หัวเราะออกมาและพูดว่า “หยวนยู่ รางวัลนี้สำหรับเจ้า …คิดว่าอย่างไร ?”

หยวนยู่ตกใจในตอนแรก แต่ก็ลุกขึ้นทันที ก่อนที่จะเดินเข้ามาโค้งคำนับให้ “ขอบคุณในความกรุณาขอรับ”

จากนั้นถังหยินก็ชี้ไปที่สนมคนอื่น ๆ ของซ่งเทียนและกล่าวกับแม่ทัพที่อยู่รอบ ๆ “ถ้ามีแม่ทัพคนไหนต้องการ ได้โปรดรับไปได้เลย”

ทุกคนมองหน้ากันเมื่อได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ตอนนี้พวกเขาอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของการต่อสู้ระหว่างสองกองทัพ จึงควรให้แม่ทัพทั้งหลายมีสมาธิอย่างสมบูรณ์และไม่เสียสมาธิแม้เพียงนิด แต่สิ่งที่ชายหนุ่มทำนี่เล่า นี่มันอะไรกัน ?

“นายท่าน ?” จีหยิงกลืนน้ำลาย ทำการยืนขึ้นด้วยสีหน้าหนักใจและกำมือ

ถังหยินชี้ไปที่เขาและหัวเราะว่า “ก่อนหน้านี้ เจ้าไม่ต้องการรางวัลเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดและสวยที่สุด แล้วตอนนี้นางก็หลุดลอยไปอยู่กับคนอื่นแล้ว ทำไม เจ้าเสียใจอย่างนั้นหรือ ?”

“พรูดดดด !” อู่เหมยและอู่อิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

ใบหน้าจีหยิงค่อย ๆ แดงขึ้น เขาส่ายหัวและถอนหายใจ ด้วยไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าถังหยินฉลาดหรือแค่แกล้งฉลาด แต่ไม่ว่านี่จะเป็นความตั้งใจจริงหรือไม่ เขาก็จำต้องกล่าวอย่างจริงจังไปว่า “นายท่าน พวกเรากำลังอยู่ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับผู้ทรยศ ในขณะนี้เราต้องตั้งมั่นอยู่กับการต่อสู้ไม่ใช่หรือขอรับ ?”