ตอนที่ 347 โจมตีกลับ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เฉิงฉือได้ยินแล้วก็เดือดดาล

ในเมื่อต้องการออกหน้าให้โจวเสาจิ่น ตอนที่เสาจิ่นถูกคนสงสัยและซักถามในโพรงหินตั้งแต่นั้นเขาทำอะไรอยู่เล่า ตอนนี้เฉิงสวี่ได้รับการวินิจฉัยว่ากินของบางอย่างคล้ายผงห้าศิลาจำพวกนั้น เขากลับกระโดดออกมาบอกว่าต้องการสืบหาคนผิดคนถูกให้ได้ เฉิงสวี่ไม่ได้สติอย่างนี้ ต่อให้มีความผิดนั่นก็เป็นการกระทำโดยไม่เจตนา!

เช่นนั้นมิเท่ากับว่าเสาจิ่นรับความชอกช้ำใจนั้นโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ!

ไม่แปลกใจที่จวนหลักคอยสนับสนุนจวนสี่อยู่ในเงามืดมานานหลายปีถึงเพียงนี้แต่จวนสี่กลับยังอยู่ในสภาพนี้อยู่ ดูแล้วปัญหาหลักคงจะเป็นเพราะสมองของเฉิงเหมี่ยนใช้การได้ไม่ดีนี่เอง!

นับเป็นครั้งแรกที่เฉิงฉือรู้สึกว่าสถานะความเป็น ‘น้า’ ของตนนี้ช่างขวางทางเสียเหลือเกิน!

แต่เขาคร้านจะพูดอะไรมากกับเฉิงเหมี่ยน

เฉิงลู่โน้มน้าวต่งซื่อผู้เป็นมารดาให้แกล้งป่วยเพื่อขายที่ดินมรดกของตระกูลในราคาถูกเพราะอยากจะติดสินบนผู้ดูแลการศึกษาทว่ากลับไม่ได้รับความช่วยเหลือแต่อย่างใด ระหว่างที่กำลังตกอยู่ภายใต้ความกดดันนั้น เฉิงเก้าแต่งงาน เขาไม่เพียงมาร่วมงานแต่งงานของเฉิงเก้าเท่านั้น ยังมาร่วมงานเลี้ยงแนะนำตัวเจ้าสาวกับบรรดาญาติๆ ของเฉิงเก้าและภรรยาอีกด้วย เขาจึงรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน ก็เลยส่งไหวซานไปจับตาดูเฉิงสวี่เอาไว้ ส่วนตนก็ไม่ปล่อยให้เฉิงลู่อยู่ห่างจากสายตาของเขาตลอดเวลา ตอนที่ได้ยินว่าเฉิงสือกับเฉิงเจิ้งและคนอื่นๆ กำลังร่ำสุราอยู่กับเฉิงสวี่นั้น เขาก็มั่นใจว่าเหตุการณ์ที่เสาจิ่นเล่าให้ฟังนั้นจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เขาคิดว่าถ้าเสาจิ่นรู้ทันอุบายเหล่านั้น ก็คงจะหลบหลีกออกไป แต่ถ้าหากรู้ไม่ทัน มีไหวซานติดตามเฉิงสวี่อยู่ อย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้เสาจิ่นต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากชาติที่แล้วอีกเป็นแน่ นอกจากนี้ยังได้โอกาสบอกปัดให้ชัดเจน ให้เฉิงสวี่ตัดใจได้เสียที

แต่นึกไม่ถึงว่า แม้เสาจิ่นจะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมเหล่านั้น แต่กลับไม่ได้หลบหนี ซ้ำยังลอบเรียกจี๋อิ๋งมา ทุบตีเฉิงสวี่ไปรอบหนึ่ง

ได้เห็นเสาจิ่นในมุมที่เข้มแข็งเช่นนี้ ในใจของเขาบังเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างท่วมท้นยากที่จะอธิบาย!

โดยเฉพาะตอนที่นางโต้ตอบฮูหยินหยวนกลับไป ใบหน้านั้นเผยให้เห็นความเด็ดเดี่ยวอยู่รางๆ ทำให้ทั้งตัวของนางเปล่งประกายขึ้นมา

เสาจิ่นที่เป็นเช่นนี้ มีความงดงามบางอย่างที่แตกต่างออกไป!

เขาไม่ปรารถนาให้มีเรื่องที่อาจทำให้คนเอาไปครหาใดๆ มาลากนางไปเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น

เฉิงฉือจึงตัดสินใจในทันที

ให้เสาจิ่นออกจากสถานการณ์ยุ่งเหยิงนี้ไปก่อน

เรื่องต่อจากนี้ รอให้เฉิงสวี่ตื่นขึ้นมาแล้วค่อยว่ากัน

นอกจากนี้ทันทีที่เขาเห็นสภาพของเฉิงสวี่ก็รู้ว่ากินยาที่มีฤทธิ์หลอนประสาทเข้าไป นี่ก็ขจัดความสงสัยในใจของเขาได้หมดแล้ว ต่อให้เฉิงสวี่จะไม่รู้ตัว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเรื่องผิดศีลธรรมหลังจากร่ำสุรา จะต้องมีสิ่งอื่นที่ปิดบังอยู่ในนั้นอีกเป็นแน่

แต่เขากลัวจะทำให้เด็กน้อยเสียใจอีก จึงจงใจไม่เอ่ยถามออกไป

ดังนั้นเขาจึงเดินตามทุกคนอยู่ข้างหลังอย่างช้าๆ อยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ตอนนี้มองดูแล้ว กลัวว่าเรื่องนี้คงจะวางแผนเอาไว้มานาน และมีคนพัวพันอยู่ในนั้นมากมายเสียด้วย

สายตาของเฉิงฉือค่อยๆ เยือกเย็นขึ้นมาเล็กน้อย

ในเมื่อทุกคนต่างไม่ให้ความสำคัญกับเด็กน้อยเลยสักนิด เช่นนั้นก็ให้เขาเป็นผู้หนุนหลังเด็กน้อยเองก็แล้วกัน

เรื่องนี้นอกจากเขาหมายจะสร้างเรื่องให้วุ่นวายตามที่พวกเขาต้องการแล้ว ยังหมายจะก่อเรื่องให้ใหญ่โตอีกด้วย เอาให้วุ่นวายจนคนที่ดูถูกดูแคลนเด็กน้อยเหล่านั้นต่างถอยออกไปไม่ได้

ขณะที่เฉิงฉือครุ่นคิดอยู่นั้น สีหน้าบนดวงหน้าก็ดูอ่อนโยนยิ่งขึ้น กล่าวขึ้นว่า “ถ้อยคำของพี่ชายเหมี่ยนช่วยเตือนสติข้า แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเป็นเช่นไรกันแน่นั้น พวกเราต่างก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ข้ารับปากท่านได้เลยว่า หากเรื่องนี้เป็นความผิดของเจียซ่าน จวนหลักของพวกข้าจะไม่ปกป้องเขาอย่างแน่นอน ทางด้านใต้เท้าโจว ข้าจะไปขอโทษถึงหน้าประตูด้วยตนเอง จะไม่ปล่อยให้คุณหนูรองตระกูลโจวได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างแน่นอน”

แต่ถ้าหากเรื่องนี้เป็นความผิดของโจวเสาจิ่นเล่า

ทันใดนั้นเฉิงเหมี่ยนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้

เฉิงสวี่ได้รับการวินิจฉัยว่ากินของบางอย่างคล้ายผงห้าศิลาเข้าไป จากนั้นก็ถูกทุบตีจนมีสภาพเช่นนั้น ต่อให้ก่อนหน้านั้นจะกระทำเรื่องเสียมารยาทเพียงใด โจวเจิ้นยังจะสืบสาวหาความได้อยู่หรือ

เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก อยากจะเอาถ้อยคำที่พลั้งปากพูดออกไปเมื่อครู่กลับคืนมาเหลือเกิน ทว่าเฉิงฉือกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสียแล้ว กล่าวกับทุกคนว่า “ถ้อยคำของพี่ชายเหมี่ยนได้สะกิดใจข้า เนื่องจากพวกเราต่างรู้แล้วว่าเจียซ่านกินของผิดสำแดงบางอย่างที่คล้ายผงห้าศิลาเข้าไป ทว่าคนข้างนอกอาจไม่รู้ จึงอาจจะหลงเชื่อได้ ข้าคิดว่าเรื่องนี้มิอาจจัดการอย่างส่งเดชได้ ควรจะสืบสวนอย่างถ้วนถี่ถึงจะถูก!”

เฉิงหลูเอ่ยชมเสียงดังขึ้นว่า “ดี” แล้วกล่าวว่า “ควรจะทำเช่นนี้ตั้งนานแล้ว! หากว่าพวกเราเอาแต่เก็บซ่อนสีหน้าไม่ทำอะไรเลย คนที่ทำเรื่องชั่วช้าเหล่านั้นจะหลงคิดว่าสิ่งที่ตนกระทำลงไปคงไม่ถูกคนอื่นจับได้เป็นแน่ หากปล่อยให้บ่มเพาะความชั่วช้าไว้ในใจ มีแต่จะนำไปสู่หายนะอันใหญ่หลวง ไม่สู้สืบสาวหาความจริงให้ถึงที่สุดเสียดีกว่า มีผู้ใดบ้างที่มิได้ขาดสำนึกผิดชอบเมื่อยามเยาว์วัย แต่หากทำผิดแล้วก็ต้องรู้จักปรับปรุงแก้ไข!”

ในความคิดเห็นของเขา เป็นไปได้ว่าเฉิงสวี่คงจะฟังคำยุยงของใครบางคน แล้วแอบกินยาประเภทนั้นเข้าไป จากนั้นก็พบกับโจวเสาจิ่นโดยบังเอิญ… เพราะฉะนั้นเฉิงฉือจึงเงียบมาโดยตลอด เพราะกลัวคนอื่นจะรู้ว่าเฉิงสวี่กินยาประเภทนั้นเข้าไป

เขาพูดเสร็จ ก็เอ่ยถามเฉิงอี๋ขึ้นว่า “พี่ชายอี๋ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”

เฉิงอี๋โกรธเกรี้ยวจนปากเกือบจะบูดเบี้ยว

ไอ้หนอนหนังสือตัวนี้ ไม่ใช่เวลาพูดก็พูด

ก็ ‘ดี’!

หากสืบสาวราวเรื่องต่อไป จะพบว่าบุตรชายเจ้าใช้ให้สาวใช้ของบุตรสาวเจ้าพาโจวเสาจิ่นไปที่โพรงหินนั้น เจ้าคิดว่าจวนสามจะปัดความรับผิดชอบไปได้อยู่หรือ!

คิดถึงตรงนี้ เขาก็อดขบคิดในใจไม่ได้ หรือว่าเฉิงหลูจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?

ช่างน่าสนใจจริงๆ!

เช่นนั้นอยากสืบสวนก็สืบสวนไป!

สำหรับเรื่องวางยาเขามีแผนสำรองเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่มีทางที่ผู้ใดจะจับได้อย่างแน่นอน

ทว่าเรื่องที่เฉิงเจิ้งนำคนไปที่โพรงหินนั้นหากยิ่งสืบสาวก็ยิ่งโยงไปถึงตัวเขา

เช่นนี้ก็ดีจะได้สั่งสอนเฉิงเจิ้งสักครั้งหนึ่งเสียเลย

บุตรชายของเขาลากผู้อื่นเข้าสู่กองไฟแต่ตนกลับคิดจะหลบหนีไปคนเดียว ไม่มีทางหนีได้ไปหรอก!

จู่ๆ เฉิงอี๋ก็รู้สึกเบิกบานอยู่ในใจ ทว่าสีหน้ากลับเคร่งขรึมยิ่งขึ้นพลางกล่าวว่า “ข้าคิดว่าสิ่งที่น้องชายเหมี่ยนพูดมาก็มีเหตุผลยิ่ง เช่นนั้นก็ตรวจสอบอย่างละเอียดเถิด! จะได้คืนความบริสุทธิ์ให้เจียซ่านด้วยพอดี ข้ารู้สึกมาโดยตลอดตั้งแต่ต้นว่าเจียซ่านไม่มีทางกระทำเรื่องที่ขัดต่อคุณธรรมอันดีของสุภาพบุรุษอย่างแน่นอน คนอื่นอาจไม่รู้ แต่โหย่วอี้กับเจียซ่านอาศัยอยู่ที่ซอยซิ่งหลินด้วยกันเกือบสองปี ข้าจะไม่รู้ได้หรือ!”

เฉิงเวิ่นเห็นว่าทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน หากว่าตนไม่เห็นด้วย ทั้งมิอาจเปลี่ยนผลลัพธ์อะไรได้แล้ว ไม่แน่ว่ายังจะทำให้เฉิงฉือเคลือบแคลงสงสัยขึ้นมาอีกด้วย เขาไม่รอให้เฉิงฉือเอ่ยปากพูดอะไร ก็รีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าก็คิดว่าควรจะตรวจสอบให้ละเอียดเช่นกัน”

ทว่าในใจกลับเริ่มขบคิดหาโอกาสให้บ่าวเด็กคนสนิทรีบเร่งกลับไปเอายาหลอนประสาทที่เขาเก็บซ่อนไว้ไปเททิ้งในทะเลสาบเพื่อทำลายหลักฐานอย่างเงียบๆ ถึงจะใช้การได้

เฉิงเจิ้งโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรดี

เขาไม่เคยเห็นผู้ใดที่เป็นภาระของผู้อื่นได้เท่าบิดาของเขามาก่อน

หากสืบสาวราวเรื่องต่อไปเช่นนี้ ต่อให้เขาอธิบายให้หายข้องใจว่าเหตุใดเขาถึงสั่งให้ชุ่ยหวนเดินไปทางนั้นได้ ก็ทำให้จวนหลักรู้สึกคลางแคลงใจอยู่ดี หากต้องการขจัดข้อสงสัยให้หมด เขายังไม่รู้ว่าจะต้องพยายามอีกกี่ปี!

แค่คิดเฉิงเจิ้งก็รู้สึกเหนื่อยใจแล้ว

ไปปรึกษากับมารดาดีกว่า หาทางส่งบิดาไปอาศัยอยู่ที่อื่นสักสองสามปีก็แล้วกัน

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

เฉิงเจิ้งเหลือบมองเฉิงลู่ครั้งหนึ่ง

เจ้าคนผู้นี้ก็ดียิ่ง ลอกคราบตนเองเสียจนขาวสะอาด

จากนั้นเขาก็ชำเลืองมองเฉิงสือด้วย

เฉิงสือมีสีหน้าปรกติ คิดว่าแผนการของบิดาก็ไม่เลวเหมือนกัน

พวกจวนสามนั้นคงจะต้องให้บทเรียนพวกเขาสักครั้ง หาไม่แล้วต่อไปอาจจะมาฉุดลากจวนรองให้ถดถอยลงได้

อย่างไรก็ตาม ควรจะลากเฉิงลู่ลงน้ำไปด้วยดีหรือไม่นะ

ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งจึงเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เจตนาของเฉิงลู่

แต่หลังจากใช้ให้เขาหยิบทวนมาแทงเสร็จแล้วคิดจะดูเปลวไฟอยู่บนชายฝั่ง บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องที่ง่ายดายปานนั้นกัน!

ขณะที่เฉิงสือกำลังครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากพูดอย่างไรไม่ให้ตนเองเข้าไปเกี่ยวพันด้วยแต่ให้ดึงเฉิงลู่เข้าไปแทนอยู่นั้น จู่ๆ เฉิงฉือก็เรียกชื่อแทนตัวของเขาขึ้นก่อนว่า “โหย่วอี้ เมื่อครู่ตอนที่ภรรยาของนั่วเกอเอ๋อร์กรีดร้องเสียงดังไปทั่วนั้นไม่เพียงทำให้พวกเราตื่นตระหนก แต่เกรงว่าบ่าวไพร่ในจวนก็คงรู้สึกกังวลใจมาโดยตลอดด้วยเช่นกัน เนื่องจากเจียซ่านได้รับวินิจฉัยแล้วว่ากินของผิดสำแดงจำพวกยาหลอนประสาทเข้าไป บ่าวไพร่ในจวนพวกนั้นอย่างไรก็ต้องปลอบขวัญพวกเขาสักหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ทุกคนกุข่าวลือต่างๆ นานาขึ้นมา เพราะคิดว่าภรรยาของนั่วเกอเอ๋อร์ไปเจออะไรเข้า เจ้าเป็นพี่ชายคนโตของจวน มีประสบการณ์อยู่ข้างนอกมานานหลายปี เรื่องนี้มอบหมายให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน”

ให้เขาตามเช็ดก้นของเจียซ่านอย่างนั้นหรือ!

เฉิงสือยากจะเก็บซ่อนสีหน้าตกตะลึงของเขาเอาไว้ได้

เหตุใดท่านอาฉือถึงได้มอบหมายเรื่องนี้ให้เขาเล่า

หรือว่าเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง หรือกำลังหยั่งเชิงเขาอยู่ หรือเขาจะคิดมากไปเอง ท่านอาฉือเพียงให้เขาจัดการเรื่องนี้เพราะว่าเขาเป็นพี่ชายคนโตสุดในบรรดาญาติพี่น้องก็เท่านั้น…

เขาเป็นส่วนหนึ่งของซอยจิ่วหรู เมื่ออยู่ในจวนก็แบ่งแยกกันเป็นคนละบ้าน แต่ยามอยู่ข้างนอกคนอื่นกลับมองว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน เขาไม่ปรารถนาจะก่อเรื่องให้วุ่นวายจนคนภายนอกรู้กันไปทั่ว ดังนั้นตอนที่วางอุบายเฉิงสวี่เขาจึงเลือกเวลาหลังจากจบงานเลี้ยงแนะนำตัวเจ้าสาวกับบรรดาญาติๆ เป็นตอนที่แขกที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองแต่งงานต่างกลับไปกันหมดแล้ว นอกจากนี้เขาเพียงอยากให้เฉิงสวี่พูดจาหมิ่นเกียรติหรือกระทำการหลู่เกียรติโจวเสาจิ่นเล็กน้อยตอนที่ไม่ได้สติเพื่อทำให้โจวเสาจิ่นหวาดกลัวเท่านั้น รอให้พวกเขาไปถึงแล้วขอเพียงโจวเสาจิ่นเอ่ยตำหนิเฉิงสวี่หรือร้องไห้เงียบๆ ก็พอแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะดำเนินต่างไปจากสิ่งที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

โจวเสาจิ่นไม่ได้ถูกทำให้ตกใจกลัว ทว่ากลับเป็นเฉิงสวี่ที่ถูกคนทุบตีไปคำรบหนึ่งแทน

จากนั้นโจวเสาจิ่นยังกลับเรือนหานปี้ซานไปราวกับไม่ได้รู้สึกขุ่นข้องหมองใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังจะไปช่วยเก็บกวาดห้องหลังฉากกั้นอีกด้วย

หากไม่ใช่เพราะพวกเขาได้รับข่าวที่เชื่อถือได้ว่าตระกูลเฉิงกับตระกูลหมิ่นทั้งสองตระกูลส่งของหมั้นให้กันแล้วละก็ เขายังคิดว่าคนที่เฉิงสวี่ต้องการแต่งงานด้วยคือโจวเสาจิ่น… เดี๋ยวก่อน หลังจากทุบตีเฉิงสวี่แล้วโจวเสาจิ่นยังสงบนิ่งได้ขนาดนั้น ที่สำคัญก็คือข้างกายของนางมีสาวใช้ข้างกายของท่านอาฉือยืนอยู่ด้วยได้อย่างไร… หรือว่านี่จะเป็นแผนการที่ท่านอาฉือเตรียมเอาไว้ทั้งหมด?

แต่ท่านอาฉือจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออันใดเล่า

เรื่องนี้เป็นเขาที่ขบคิดได้ไม่รอบคอบ เขาควรจะให้ท่านย่ามาด้วย เช่นนี้ก็พอจะหยั่งเชิงดูท่าทีของโจวเสาจิ่นได้

ตอนนี้โจวเสาจิ่นกลับเรือนหานปี้ซานไปแล้ว เช่นนั้นมิใช่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับหยวนซื่อให้นางพูดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นหรอกหรือ

เฉิงสือไม่มีเวลามาใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างละเอียด

เห็นทีว่าคงได้แต่ต้องค่อยๆ ดูไปทีละก้าวเสียแล้ว!

เขาได้แต่ขานรับคำว่า “ขอรับ”

เฉิงฉือพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วสั่งเฉิงเจิ้งว่า “เจ้าเป็นพี่ชายคนรอง ชาวเมืองจินหลิงต่างชื่นชมเจ้าว่าเป็นบุรุษผู้เยาว์วัยแต่มากด้วยประสบการณ์ อ่อนน้อมและรักษากิริยามารยาท เมื่อจัดการสิ่งใดก็คงจะเป็นผู้ที่มีลำดับขั้นตอนคนหนึ่ง ยาหลอนประสาทในสุรานั้นได้มาจากที่ใด เรื่องนี้มอบหมายให้เจ้าไปตรวจสอบก็แล้วกัน!”

เฉิงเจิ้งขานรับว่า “ขอรับ” ทว่าในใจกลับเสมือนมีคลื่นยักษ์ซัดโถมอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ให้เขาไปตรวจสอบเฉิงสือ!

ท่านอาฉือจงใจหรือไม่ได้ตั้งใจกันแน่

หากว่าตรวจสอบแล้วไม่พบอะไรจะทำอย่างไรดี

ท่านอาฉือจะคิดว่าเขาเป็นผู้วางแผนทำร้ายเฉิงสวี่หรือไม่นะ

นึกถึงท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนของเฉิงสือเมื่อครู่ขึ้นมาแล้ว เฉิงเจิ้งจึงไม่กล้าไม่ตกปากรับคำ

ใบหน้าของเฉิงสือที่ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ มาตลอดพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไปชั่วขณะ

นี่หมายความอย่างไร

ทั้งสองคนไม่กล้าแม้แต่จะประสานสายตากัน ได้แต่ก้มหน้าลงไป

จากนั้นเฉิงฉือกล่าวกับเฉิงเวิ่นว่า “ทางด้านภรรยาของนั่วเอ๋อร์นั้น คงต้องรบกวนพี่ชายเวิ่นเสียแล้ว มีเรื่องบางอย่างที่ข้ายังไม่ได้ซักถามให้ดี ประเดี๋ยวท่านให้นางมาที่เรือนหานปี้ซานสักครั้งหนึ่ง ข้ามีเรื่องต้องการถามนางสักหน่อย”

เฉิงเวิ่นแทบจะทนรอไม่ได้

เช่นนี้เขาก็จะมีโอกาสให้บ่าวเด็กคนสนิทจัดการทิ้งยาหลอนประสาทนั้นได้แล้ว

เฉิงฉือเห็นเฉิงเวิ่นขานรับแล้ว ก็เรียกสาวใช้ที่ถือน้ำชาเข้ามา “ไปเรียกต้าซูกับฮวนสี่บ่าวข้างกายคุณชายใหญ่มาให้หมด”

สาวใช้ขานรับแล้วออกไป

โจวเสาจิ่นกับจี๋อิ๋งนั่งดื่มชาอยู่ในห้องน้ำชา

ตอนที่ปี้อวี้บอกนางว่าเฉิงสวี่กินของบางอย่างคล้ายกับผงห้าศิลาจำพวกนั้นเข้าไป นางก็เหม่อลอยไปครู่ใหญ่

หากว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นความคับแค้นใจหลายปีของนางนั้นจะมิใช่เรื่องน่าขันไปแล้วหรอกหรือ!

แต่ในใจของนาง นางก็รู้สึกว่าปี้อวี้ไม่ได้โกหกนาง และท่านหมอโจวก็ไม่ได้วินิจฉัยผิดเช่นกัน นางจิบน้ำชาเงียบๆ ไปคำหนึ่ง

จี๋อิ๋งโพล่งขึ้นมาว่า “เสาจิ่น ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะถูกคนวางยา เจ้าว่าข้าทุบตีเขาแรงเกินไปหรือเปล่า ไม่รู้ว่าประเดี๋ยวนายท่านสี่จะมาคิดบัญชีย้อนหลังหรือไม่ เสาจิ่น คืนนี้ข้านอนที่เรือนฝูชุ่ยก็แล้วกัน หากว่านายท่านสี่ถามหา เจ้าก็บอกไปว่าเจ้าหวาดกลัวมาก จึงลากข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า!”