โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วหัวเราะไม่หยุด ตอบไปว่า “ถ้าหากท่านน้าฉือตำหนิเจ้า เจ้าก็ไปเมืองเป่าติ้งกับข้าก็แล้วกัน!”
จี๋อิ๋งประหลาดใจ เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าจะกลับเมืองเป่าติ้งหรือ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า พลางกล่าวว่า “เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ต่อให้เฉิงสวี่ล่วงเกินข้าโดยไม่เจตนา หากเกิดข่าวลือแพร่ออกไปก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”
จี๋อิ๋งได้ยินนางเรียกชื่อของเฉิงสวี่ตรงๆ แล้ว ก็รู้ว่านางไม่หลงเหลือความรู้สึกดีๆ อันใดต่อเฉิงสวี่อีกแล้ว จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ พลางปลอบโยนนางว่า “นายท่านสี่อยู่ที่นั่นด้วย ย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปอย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นก็เชื่ออย่างนั้น กล่าวว่า “แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร หยวนซื่อจะมองข้าด้วยสีหน้าที่ดีได้อยู่หรือ ด้านหนึ่งเป็นข้า อีกด้านหนึ่งเป็นเฉิงสวี่ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่รู้สึกลำบากใจได้หรือ แล้วยังมีท่านน้าฉืออีก จะให้เขาเกิดความหมางบาดกับท่านลุงใหญ่จิงเหตุเพราะข้าได้อย่างไร!”
นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องจริง
จี๋อิ๋งตอบว่า “ข้าคงไปเมืองเป่าติ้งกับเจ้าไม่ได้หรอก เว้นเสียแต่ว่านายท่านสี่จะอนุญาต…”
โจวเสาจิ่นจึงขยิบตาให้นางอย่างหยอกเย้า กล่าวขึ้นว่า “ข้าหมายความว่าหากเจ้าไม่มีที่ไป ก็ไปอยู่กับข้าที่นั่น ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ท่านพ่อของข้าก็เป็นขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งโดยราชสำนัก ขอเพียงเจ้าไม่ก้าวออกไปที่ไหน ใครจะกล้าบุกไปจับเจ้าถึงจวนเจ้าเมืองได้!”
จี๋อิ๋งหัวเราะ พลางกล่าวว่า “หากว่าศิษย์พี่ของข้าได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ล่ะก็ จะต้องดีใจแย่แน่ๆ”
“เจ้ายังมีศิษย์พี่ด้วยหรือ” โจวเสาจิ่นเอ่ยถามอย่างดีใจ “เขามีหน้าตาเช่นไร อายุเท่าไร ทำอะไร แต่งงานแล้วหรือยัง…” น้ำเสียงประหนึ่งเป็นแม่สื่อ
จี๋อิ๋งถามอย่างฉงนว่า “นี่เจ้าต้องการทำอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไรๆ” โจวเสาจิ่นหัวเราะคิกคัก คิดว่าระหว่างจี๋อิ๋งกับเจียวจื่อหยางผู้นั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว ทว่าอายุของจี๋อิ๋งกลับมากขึ้นทุกๆ ปี ต้องรีบหาสามีสักคนหนึ่งให้ได้โดยเร็วที่สุดถึงจะถูก
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่ในห้องน้ำชา
ภายในห้องหลังฉากกั้นของฮูหยินผู้เฒ่ากัว เฉิงสวี่ดื่มยาของท่านหมอโจวแล้วก็ผล็อยหลับไป
หยวนซื่อนั่งอยู่ที่หัวเตียง จับมือของเฉิงสวี่เอาไว้ด้วยดวงตาแดงก่ำ มองดวงหน้าของเฉิงสวี่ที่สะบักสะบอมจนแยกโฉมหน้าไม่ออกพลางสะอื้นกล่าวว่า “ถ้าหากเจียซ่านเสียโฉมไปล่ะก็ ต่อไปจะทำอย่างไรเจ้าคะ ต่อให้ข้าต้องสู้จนชีวิตจะหาไม่ ก็ไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายได้อยู่ดีเป็นแน่…”
ทว่าถ้อยคำของนางยังไม่ทันสิ้นเสียง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ตบหน้านางดัง เพียะ
เสียงตบดังลั่นห้องหลังฉากกั้นที่เงียบสงบ นอกจากหยวนซื่อจะตกตะลึงแล้ว แม้แต่บ่าวรับใช้ภายในห้องก็อึ้งงันกันไปหมดด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยวนซื่อถึงได้คืนสติกลับมา เอามือกุมหน้าพลางมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างเหลือเชื่อ ร้องพึมพำว่า “ท่านแม่” แล้วกล่าวอย่างเสียใจว่า “ลูกสะใภ้ทำอะไรผิดหรือเจ้าคะ ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้กับข้า ต่อไปท่านจะให้ข้าเป็นคนอยู่ได้อย่างไร…”
สื่อมามาและคนอื่นๆ ก็ได้สติแล้วเช่นกัน ไม่รอให้ผู้ใดมาสั่ง ต่างกระวีกระวาดออกจากห้องหลังฉากกั้นไปทีละคน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มเย็นอย่างดูแคลน “เจ้าคิดว่าสภาพของเจ้าตอนนี้ดูดีนักหรือไร ออกไปข้างนอกแล้วจะควบคุมผู้อื่นได้อย่างนั้นหรือ! เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเองก็เป็นยายคนแล้ว ทั้งยังทุ่มเทดูแลเจ้าใหญ่สองพ่อลูกมาตลอด รอยตำหนิเพียงรอยเดียวมิอาจดับราศีของหยกได้ นอกจากนี้เรื่องการสั่งสอนบุตรชายหญิงก็เป็นความรับผิดชอบของพวกเจ้าผู้เป็นบิดามารดา ข้าจึงไม่อยากสอดมือเข้าไปยุ่ง อย่างไรวันหนึ่งข้างหน้าครอบครัวนี้ก็ต้องมอบให้เจ้าดูแลอยู่ดี แต่ข้านึกไม่ถึงเลยว่า เจ้าไม่เพียงเห็นแก่ตัวและดูถูกผู้ที่ต่ำกว่าเท่านั้น ยังมีจิตใจคับแคบและมองการณ์ตื้นเขินอีกด้วย! มิน่าบิดาของเจ้าเป็นถึงบัณฑิตหลวงในราชสำนัก ทว่าสุดท้ายผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเข้าสู่ราชสำนักจากตระกูลของพวกเจ้ากลับเป็นหยวนเหวยชางจากบ้านห้า บรรดาพี่ชายน้องชายของเจ้านั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าเรียนหรือการรับราชการล้วนมีประสบการณ์ที่สามัญธรรมดาทั้งสิ้น ไม่อาจใช้การอะไรได้…”
หยวนซื่อถูกพูดแทงใจดำ
ดวงหน้าของนางถอดสี อ้าปากพะงาบๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็มิได้เอ่ยคำใดออกมาแม้ประโยคเดียว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวปรายตามองหยวนซื่ออย่างดูแคลนครั้งหนึ่ง
ตอนแรกผู้ที่นางพึงใจคือน้องสาวร่วมอุทรของหยวนเหวยชาง ทว่าเฉิงจิงกลับพึงใจหยวนซื่อ นางเองเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองกัน จึงปรารถนาให้พวกบุตรชายหญิงมีคู่ชีวิตที่รักใคร่กลมเกลียวเฉกเช่นฉินกับเส้อที่สอดประสานกันเช่นเดียวกัน อีกทั้งเห็นว่าการวางตัวของหยวนซื่อก็สุภาพเรียบร้อย คิดว่าหากมีตนคอยขัดเกลาและอบรมสั่งสอน ก็คงจะไม่ย่ำแย่ถึงเพียงนั้น ช่วงแรกๆ ทุกอย่างล้วนดียิ่ง ทว่าหลังจากที่หยวนซื่อล่วงรู้ว่าผู้ที่ตนพึงใจในตอนแรกสุดคือน้องสาวแท้ๆ ของหยวนเหวยชางแล้ว นางก็ค่อยๆ กลายเป็นคนคิดหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องยศตำแหน่งในราชสำนัก นอกจากนางจะปรารถนาให้สามีของตนเข้าสู่ราชสำนักให้ได้แล้ว ยังตั้งมั่นว่าจะปั้นบุตรชายให้เป็นขุนนางใหญ่คนหนึ่งอีกด้วย
ใครบ้างไม่เคยมีความคิดเช่นนี้
หากว่าความคิดเช่นนี้ผลักดันให้คนขวนขวายหาความก้าวหน้าได้ละก็ ทำไมจะมีไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็พอจะเข้าใจความคิดของบุตรสะใภ้ จึงหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งให้กับสิ่งที่นางกระทำ
แต่นึกไม่ถึงเลยว่ายิ่งเดินนางกลับยิ่งออกนอกเส้นทางไปไกล!
นางก็โทษตนเองด้วยเช่นเดียวกัน
หากมิใช่เพราะตนทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่บุตรชายคนเล็ก ตนคงจะสังเกตเห็นมานานแล้วว่าหยวนซื่อเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก!
นึกถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดหลับตาลงไม่ได้ บอกไม่ได้ว่าในใจรู้สึกเจ็บปวดหรือเสียใจมากกว่ากัน
นางเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “จวนหลักทั้งหมดก็มีกันอยู่ไม่กี่คนแค่นี้ เรื่องทั้งหมดก็มีเพียงแค่นี้ เจ้าใหญ่รับราชการอยู่ที่จิงเฉิง แต่เหตุใดข้าถึงเรียกเจ้ากลับมา เจ้าไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ”
หยวนซื่อมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างตกตะลึง
“ตอนนี้เยี่ยอี้ผู้เป็นน้องเขยของขุนนางใหญ่หยวนดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการศาลต้าหลี่แล้วกระมัง” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเบาๆ “ในปีนั้นตอนที่เจ้าใหญ่ดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางเส่าชิงประจำศาลต้าหลี่นั้น เขายังเป็นเพียงบัณฑิตสำนักฮั่นหลินผู้หนึ่งอยู่กระมัง น้องสาวร่วมอุทรของขุนนางใหญ่หยวนพาลูกๆ เข้าเมืองหลวงเพื่อดูแลปรนนิบัติสามี เจ้าพาเจียซ่านไปเป็นแขกที่ตระกูลเยี่ย ฮูหยินเยี่ยเห็นเจียซ่านมีฟันขาวสะอาดและริมฝีปากแดงฉ่ำ อายุยังน้อยแต่ก็พูดจาฉะฉานแล้ว จึงอยากจะทาบทามบุตรสาวคนโตของตระกูลให้เจียซ่าน เพื่อเกี่ยวดองกระชับความสัมพันธ์กับเจ้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แล้วเจ้าปฏิเสธฮูหยินเยี่ยไปอย่างไร เจ้าคงยังจำได้กระมัง”
หยวนซื่อก้มหน้าลง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเสียงเบาบางว่า “ข้าดูแล้วแม้นเสาจิ่นจะอายุยังน้อย และถึงแม้จะมีอุปนิสัยอ่อนแอ แต่ถ้อยคำที่พูดออกมาเพียงไม่กี่ประโยคกลับมีเหตุผลยิ่ง มีมารดาเช่นเจ้า หากเขาไม่ซึมซับอิทธิพลจากเจ้าจนขาดความรับผิดชอบ ก็คงจะถูกเจ้าครอบงำจนทำให้สหายร่วมสำนักขุ่นเคือง…”
“ท่านแม่!” หยวนซื่อเงยหน้าขึ้นมา มองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างโงนเงนคล้ายจะล้มมิล้มแหล่ ดวงหน้าขาวซีดยิ่งกว่าผ้าไหมดิบ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่คิดจะปรานีนางแต่อย่างใด กล่าวต่อไปอีกว่า “เรื่องในอดีตข้าจะไม่พูดถึงแล้วก็แล้วกัน ตอนนี้มาพูดเรื่องที่ภูเขาจำลองในสวนดอกไม้นั่นดีกว่า เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”
หยวนซื่อรีบกล่าวว่า “เมื่อครู่ท่านเองก็ได้ยินแล้ว เจียซ่านถูกคนวางยา เขาจึงไม่มีสติ ต่อให้ก่อนหน้านี้จะกระทำเรื่องเสียมารยาทต่อโจวเสาจิ่น นั่นก็เป็นเรื่องที่พอจะให้อภัยกันได้เจ้าค่ะ ทว่าโจวเสาจิ่นกลับทำร้ายเจียซ่านจนมีสภาพเช่นนี้…” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็ฉุกคิดได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่โจวเสาจิ่นจะลงมือทุบตีเฉิงสวี่จนมีสภาพเช่นนี้ด้วยตนเอง จึงกล่าวอีกว่า “ต่อให้มิใช่นางที่เป็นคนลงมือ แต่ก็มีสาเหตุสืบมาจากนางอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ข้าคิดว่า ขอเพียงโจวเสาจิ่นมอบตัวคนร้ายให้พวกเราจัดการ เรื่องของโจวเสาจิ่นพวกเราก็จะเห็นแก่ใต้เท้าโจว หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งให้จบกันไปเสีย…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโกรธเกรี้ยวจนหน้าทะมึน กล่าวเสียงเข้มว่า “เจ้าได้คิดแค่นี้หรือ”
หยวนซื่อไม่เข้าใจ นึกถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ปกป้องโจวเสาจิ่นก่อนหน้านี้ ในใจของนางก็รู้สึกฉุนโกรธ กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านก็เป็นแม่คนเหมือนกัน เจียซ่านถูกทุบตีจนมีสภาพเช่นนี้ ข้ายอมเปิดแหข้างหนึ่งทิ้งเอาไว้ให้โจวเสาจิ่นแล้ว ท่านไม่อาจให้ข้าถอยไปมากกว่านี้แล้ว เจียซ่านก็เป็นหลานชายของท่านเหมือนกันนะเจ้าคะ…”
“โง่เขลา!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเช่นกัน คว้าจอกชาในมือแล้วสาดใส่หยวนซื่อ
น้ำชาสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งตัวของหยวนซื่อ
น้ำชาไหลหยดลงมาตามเส้นผมของนางเป็นสายๆ ทั้งศีรษะและใบหน้าเต็มไปด้วยใบชา
ดวงหน้าของหยวนซื่อถอดสี
แม่สามีทำเกินไปแล้ว!
ตอนแรกก็ตบหน้านางต่อหน้าบ่าวหญิงทั้งหลาย ตอนนี้ก็สาดน้ำชาใส่นางอีก… ร้ายดีอย่างไรนางก็เป็นสะใภ้สายตรงของบุตรชายคนโตของซอยจิ่วหรู เรื่องนี้นางจักต้องไปฟ้องเฉิงจิง ต่อให้เฉิงจิงกับนางจะทะเลาะกัน นางก็จะไม่ยอมลงให้แม้แต่ก้าวเดียว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นนางถลึงตาโต ไม่รู้จักสำนึกผิดแม้แต่น้อย ก็โมโหจนปลายนิ้วสั่นระริก อยากจะก้าวไปตบหน้านางอีกสักครั้งเหลือเกิน “ช่างเป็นไม้แก่ดัดยากจริงๆ ปรกติเจียซ่านเป็นเด็กที่สุภาพอ่อนน้อม เป็นมิตรกับบรรดาญาติพี่น้องชายหญิงในตระกูล ผู้ใดบ้างไม่ลงรอยกับเขาที่สุภาพอ่อนน้อมดุจหยกและเป็นสุภาพบุรุษ อีกทั้งยังสอบได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนตั้งแต่อายุยังน้อย เจ้าจะไม่ลองฉุกคิดดูบ้างหรือว่ายานั้นได้มาจากที่ใด ผู้ใดมอบให้เจียซ่าน หรือเหตุใดเจียซ่านถึงได้นั่งอยู่ในโพรงหินตามลำพัง เสาจิ่นเป็นเด็กในเรือนหานปี้ซานของพวกเรา เติบโตอยู่ข้างกายข้า เหตุใดถึงเดินไปทางนั้นได้อย่างพอเจาะพอเหมาะ นางไปพบผู้ใด และเหตุใดถึงได้คิดจะใช้เส้นทางนั้น… เจ้าไม่ถามแม้สักประโยค รู้จักแต่จะทำให้เจียซ่านพ้นผิดอย่างเดียว สมองของเจ้ามีไว้เพื่อประดับตกแต่งเท่านั้นหรืออย่างไร”
หยวนซื่อตะลึงงัน ในหัวสมองสับสนมึนงงไปหมด
ตามความคิดเห็นของแม่สามีก็คือ มีคนวางแผนทำร้ายเจียซ่าน!
ไม่ผิดๆ!
หากว่ามิใช่ด้วยเหตุนี้ เจียซ่านจะถูกคนทำร้ายได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นโจวเสาจิ่นที่บอบบางจนหากมีลมพัดแรงหน่อยก็คงถูกพัดจนปลิวไปได้กับสาวใช้ข้างกายของนางที่ล้วนเป็นเพียงเด็กสาวอ่อนแอที่มือไม่มีแรงพอจะจับไก่เลยด้วยซ้ำเหล่านั้น จะทุบตีเจียซ่านจนมีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร ต้องรู้ว่า เจียซ่านเป็นเจี้ยหยวนวัยสิบเก้าปีคนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีคนอิจฉาริษยาเขาอยู่ในเงามืดมากมายเพียงใด
นางตั้งสติ เก็บความไม่พอใจที่มีต่อโจวเสาจิ่นไว้ข้างๆ ก่อน ในที่สุดสมองก็เริ่มขบคิดได้อย่างเป็นปรกติ
“ท่านแม่! หรือว่าจะเป็นจวนรองหรือไม่ก็จวนสามเจ้าคะ” ฮูหยินหยวนกล่าวอย่างลังเล “ข้าคิดดูแล้ว มีเพียงสองจวนนี้เท่านั้นที่อาจจะ…”
“เจ้าช่างคิดได้ดีจริงๆ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเหน็บแนม “ประการแรกไม่รู้ว่ายามาจากที่ใด ประการที่สองไม่มีหลักฐานยืนยัน ประการที่สามไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เจ้าก็ยังกล้าพูดว่าเจียซ่านถูกวางแผนทำร้าย กล้าพูดว่าจวนรองกับจวนสามเป็นผู้บงการ! ข้าว่านอกจากสมองของเจ้าจะใช้การไม่ได้แล้ว หัวใจก็ยังถูกสุนัขกัดกินไปหมดแล้วเช่นกัน!”
ดวงหน้าของหยวนซื่อประเดี๋ยวก็แดงประเดี๋ยวก็ซีด ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้เจียซ่านอาศัยอยู่กับข้าที่นี่ ต่อไปเจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องของเขาอีก…”
หยวนซื่อตกตะลึงจนดวงหน้าเปลี่ยนสี รีบกล่าวว่า “ท่านแม่ จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ! ก่อนหน้านี้ตระกูลเฉิงกับตระกูลหมิ่นได้แลกเปลี่ยนใบบันทึกวันตกฟากกันแล้ว เกรงว่าเวลานี้ของหมั้นคงไปถึงนานแล้ว…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเบิกดวงตาโพลง แล้วเอ่ยถามว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่อง”
ถึงแม้นางจะรู้ว่าหยวนซื่อมีแผนการเช่นนี้มานานแล้ว แต่การส่งของหมั้นไปให้ฝ่ายหญิงอย่างเป็นทางการนั้น ไม่ว่าจะเป็นหยวนซื่อหรือเฉิงจิงต่างไม่มีใครบอกนางเลยสักคำ
หยวนซื่อไม่กล้าสบตาฮูหยินผู้เฒ่ากัว ตอบเสียงค่อยว่า “เรื่องแต่งงานนี้พูดคุยกันไว้มานานหลายปีแล้ว เพียงแต่ว่าเพิ่งจะได้ส่งของหมั้นไปให้อย่างเป็นทางการเท่านั้น จึงไม่ได้กระทำอย่างใหญ่โต…”
ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจ้องเขม็งจนเบิกกว้างยิ่งขึ้น จู่ๆ นางก็นึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา พลันสูดไอเย็นเข้าไปลมหายใจหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าโกหกเจียซ่านใช่หรือไม่”
หยวนซื่อได้ยินแล้วก็เถียงกลับไปว่า “ท่านแม่กล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าบอกเขามานานแล้วว่าข้ากับบิดาของเขาต่างพึงใจคุณหนูใหญ่ของตระกูลหมิ่น เพียงแต่กลัวว่าเขาจะขาดสมาธิ จึงอยากจะรอให้เขาสอบเสร็จก่อนแล้วค่อยพูด ตอนอยู่จิงเฉิง คุณชายสองสามท่านของตระกูลหมิ่นก็ไปมาหาสู่กับเขา ก็ไม่เห็นว่าเขาจะว่าอะไรเลยนี่นา…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้น!
หลานชายของนางผู้นี้ นางไม่เชื่อเลยว่าเขาจะไปดักพบเด็กสาวคนหนึ่งโดยไม่มีสาเหตุ มิหนำซ้ำขณะที่ไม่มีสตินั้นยังเรียกชื่อตัวของนางอีกด้วย!
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!
นางเอ่ยถามหยวนซื่อว่า “เจ้ารู้เรื่องที่เจียซ่านชอบเสาจิ่นหรือไม่”
หยวนซื่ออยากจะตอบไปตามสัญชาตญาณว่า ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่พอนางเห็นสายตาของฮููหยินผู้เฒ่ากัวที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งแล้ว ก็รีบกลืนถ้อยคำที่ปริ่มอยู่ที่ริมฝีปากลงไป ก้มหน้าก้มตาลง แล้วตอบเบาๆ ว่า “ทราบเจ้าค่ะ”
“เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อใด” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถาม
หยวนซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “ทราบตั้งแต่ช่วงสิ้นปีของปีที่แล้วเจ้าค่ะ…” พูดจบ ก็กลัวฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะตำหนิอีก จึงรีบกล่าวเสริมว่า “ตอนนั้นข้าได้บอกเจียซ่านไปแล้วว่า เรื่องแต่งงานนี้เป็นไปไม่ได้…”