ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 22-2 ความยุ่งยากของวิชาแพทย์

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

ยิ่งไปกว่านั้น เติ้งจงฉีก็สนับสนุนให้น้องสาวกลับไปไวๆ ประการแรกเพราะที่ซีเหลียงไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนที่เมืองหลวงจริงดังว่า ประการที่สองกลับเพราะคำนึงถึงว่าในวัยของเติ้งวานวานก็ควรจะทาบทามเรื่องแต่งงานได้แล้ว เรื่องหลังนี้ เติ้งจงฉีก็ได้ไหว้วานให้สนมเอกเติ้งท่านอาหญิงของเขาช่วยจัดการให้แล้ว เขาร้องขอกับ สนมเอกว่าตัวเลือกจะต้องเป็นคนที่เติ้งวานวานเองพึงพอใจได้เป็นดี …แต่เติ้งวานวานไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง สนมเอกจึงไม่อาจตัดสินใจได้

ด้วยชาติกำเนิดของเติ้งวานวาน คนที่นางจะแต่งงานด้วยย่อมต้องเป็นบุตรหลานของตระกูลเลื่องชื่อ คนเหล่านี้ล้วนไม่ต้องกลัวว่าจะแต่งภรรยาไม่ได้ ทั้งรูปโฉม ความสามารถ จนถึงเรื่องชาติกำเนิด ถึงบิดาและพี่ชายของเติ้งวานวานแล้ว ล้วนมิได้ควรค่าให้คนที่มีฐานะทัดเทียมกับนางต้องรอแต่งกับนางให้จงได้ เติ้งจงฉีย่อมต้องเป็นห่วงว่าหากน้องสาวเสียเวลาอยู่ที่ซีเหลียงนานเกินไป ก็จะทำให้นางเสียเวลาในช่วงวัยสาวไป

กู้โหรวจางกลับไม่อยากกลับไปจากขั้วหัวใจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้แม้แต่หน้าตาของคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้นางก็ยังไม่เอาแล้ว ร้องไห้โวยวายจะนับอันใดได้? แม้แต่วิธีน่าอับอายอย่างการลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้นนางก็ยังขุดออกมาใช้ ทว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับยังมีท่าทีแข็งกร้าว ไม่ได้สนในว่านางจะอาละวาดอย่างใด ยืนกรานประโยคเดียวว่า เมื่อเติ้งวานวานเดินทางกลับ นางก็ต้องกลับเมืองหลวงไปพร้อมกัน

กู้โหรวจางสำนึกเสียใจอยู่ในใจแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร …หากรู้แต่แรกปีก่อนนางก็จะไม่มัวมาเสียเวลาและรีบไปเยี่ยมพี่ชายเสีย เช่นนั้นแล้วแม้ว่าจะออกไปจากตัวเมืองซีเหลียง และที่ที่พี่ชายกู้ทั้งสองท่านประจำการอยู่ก็กันดาร ทว่าก็ห่างไกลจาก เว่ยฉางอิ๋งและไม่มีคนมาบังคับควบคุมนางได้

อีกประการหนึ่ง เมื่อเว่ยฉางอิ๋งไม่ต้องรับผิดชอบนางแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมายุ่งย่ามว่านางจะกลับเมืองหลวงเมื่อใด จนใจเหลือที่ยามนี้กู้ซีเหนียนก็เข้าทำศึกแล้ว …พวกกองทหารเว่ยก็ออกเดินทางกลางหิมะตั้งแต่วันสิ้นปี คล้ายว่าจะใช้กำลังทหารทั้งหมดของซีเหลียงตรงเข้าไปยึดกระโจมอ๋องของพวกตี๋!

ตามข้อตกลงเป็นการส่วนตัวแล้ว เนื่องจากในรายงานชัยชนะครั้งใหญ่เมื่อคราก่อน เพราะเสิ่นจั้งเฟิงเกือบสังหารข่านมู่ซิวเอ่อร์ของพวกตี๋ได้ เขาจึงได้ความชอบไปเพียงผู้เดียว ส่วนผลงานในครานี้แม้เสิ่นจั้งเฟิงจะออกแรงอีกมากมายเพียงใด ชื่อของเขาก็จะอยู่ในลำดับสุดท้ายเท่านั้น ผู้ที่จะอยู่ในอันดับต้นๆ ก็จะมีกู้อี้หราน กู้ซีเหนียนและ เติ้งจงฉีสามคนแบ่งสรรกัน แม้แต่เสิ่นหยิวเจี่ยก็ยังหลีกทางให้พวกเขา

ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสามคนจะแบ่งสรรกันอย่างไรก็ต้องดูจากผลงานของแต่ละคนแล้ว

ฉะนั้นเวลานี้กู้ซีเหนียนก็อยู่ไกลถึงดินแดนของพวกตี๋และกำลังสร้างผลงาน แต่ กู้โหรวจางกลับคิดอยากไปดูความครึกครื้นที่สนามรบ ไม่แน่ว่าหากมีโชคไม่เลวก็ยังอาจได้สังหารพวกตี๋สักคนสองคนด้วยมือตนเองด้วย …ทว่านางก็เคยลองเสนอข้อเรียกร้องเช่นนี้ไปแล้วคราหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งกลับตบจนโต๊ะไม้จันทน์แดงพับยับไปต่อหน้านาง แล้วเตือนนางอย่างเย็นเฉียบว่า หากยังกล้าก่อเรื่องเดือดร้อนในช่วงเวลาสำคัญที่ตนยุ่งวุ่นวายจนหายใจหายคอไม่ออก นางก็จะตีกู้โหรวจางให้เหมือนกับโต๊ะตัวนี้ …ดีชั่วมีตวนมู่ซินเหมี่ยวอยู่ ย่อมไม่ต้องกลัวว่าถ้าตีกู้โหรวจางจนตายแล้วจะไปชี้แจงกับตระกูลกู้เช่นใด

หากกู้โหรวจางไม่อยากถูกมัดเป็นบ๊ะจ่างส่งตัวกลับเมืองหลวงเพราะความวู่วามเพียงชั่วครู่นางก็คงจะลองไปแล้ว …กู้โหรวจางแอบนึกย้อนไปถึงเรื่องที่พี่เว่ยผู้นี้เคยใช้ดาบตัวหัวคนร้ายมาแล้ว แม้แต่ฆ่าคนนางก็ยังกล้า หากจะตีคนจนเจ็บหนักก็จะต้องทำได้แน่นอน เอ่อ…การตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดของนางก็คงฟังความเสียดีกว่า

ทั้งสองท่านที่เอ่ยถึงนั้น ผู้หนึ่งบอกเป็นนัยว่าจะเป็นฝ่ายมาบอกลาเอง ส่วนอีกผู้หนึ่งต่อให้ขายหน้าเพียงใดก็ไม่ยอมไป ทว่าเมื่อใช้ไม้แข็งสักหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว แต่ที่ลำบากกลับยังเป็นตวนมู่ซินเหมี่ยว …ก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงสิ้นปี พราะตวนมู่ซินเหมี่ยวตอบรับว่าจะตรวจรักษาโรคเล็กน้อยต่างๆ และโรคเรื้อรังให้ทุกคน และเป็นเพราะว่าทุกคนต่างพากันมาขอรับการรักษา จึงทำให้งานเลี้ยงสิ้นปีที่ดีๆ อยู่แท้ๆ พลันเกิดความวุ่นวายขึ้น

ภายหลังเว่ยฉางอิ๋งจึงไม่อาจไม่ออกหน้ามาแก้สถานการณ์ และเสนอความคิดแทนตวนมู่ซินเหมี่ยวว่าหลังจากทุกบ้านหารือกันแล้วก็ให้มาขอรับการรักษากันตามลำดับ ครั้งนั้นทุกคนล้วนตอบรับกับข้อเสนอนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวเองก็ยอมรับโดยปริยาย

ฉะนั้นจนหลังวันเทศกาลหยวนเซียวหนึ่งวัน เมื่อพ้นเทศกาลปีใหม่ไปแล้ว และทุกสิ่งเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าที่เคยให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวฝังเข็มจนอาการทุเลาลงผู้นั้นมาหาที่บ้านพร้อมกับลูกหลาน เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งคิดถึงเรื่องยุ่งยากนี้ได้ …ลำพังแค่แขกที่มาในงานเลี้ยงวันสิ้นปีก็มีจำนวนไม่น้อยอยู่แล้ว

รวมกับเมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าทั้งเมืองซีเหลียงไปจนกระทั่งเมืองใกล้เคียงก็จะพากันเร่งมาขอรับการรักษา!

นั่นเพราะวิชาแพทย์ของจี้ชวี่ปิ้งเป็นที่เลื่องลือนักในเขตทะเล กระทั่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า แล้วเขาก็มีตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นผู้สืบทอดวิชาเพียงผู้เดียว …ศิษย์อาจารย์ทั้งคู่นี้ยังอยู่ที่เมืองหลวงมานานปี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหกตระกูลสูงศักดิ์แห่งเขตทะเล จึงมิใช่ผู้ที่คนธรรมดาทั่วไปจะเชิญมารักษาได้

ดังนั้น เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้มาหาที่บ้านในวันที่สิบหกเดือนหนึ่ง ทั้งยังเป็นภรรยาของผู้อาวุโสผู้หนึ่งของตระกูลเสิ่น ฐานะในตระกูลเสิ่นก็ไม่นับว่าต่ำต้อย แม้แต่เมื่อฮูหยินซูได้พบก็ยังต้องเรียกขานนางอย่างเกรงใจว่าท่านอาสะใภ้ ลูกหลานของนางก็กตัญญูนัก แม้แต่แพทย์หลวงจากเมืองหลวงก็ยังเคยเชิญมา ทว่าแม้จะกตัญญูดังนี้ก็ยังไม่อาจเชิญจี้ชวี่ปิ้งมารักษาได้ …เพราะในสายตาของแม่เฒ่าซ่งแล้ว ภรรยาของผู้อาวุโสตระกูลเสิ่นหรือจะเทียบได้กับชีวิตของบุตรชายของนาง

…เอ่ยแทรกนอกเรื่องสักหน่อย นับตั้งแต่คาดคะเนว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะออกไปจากตัวเมืองซีเหลียง เหล่าผู้อาวุโสที่แสดงท่าทียอมศิโรราบแต่เดิมทีก็ไปตระเตรียมหาหญิงงามที่จะมอบให้แก่เสิ่นจั้งฮุยแล้ว ซึ่งสาเหตุที่พวกเขามีเจตนาร้ายแฝงอยู่ ก็เกี่ยวพันกับเรื่องนี้ที่รุ่ยอวี่ถังอาศัยเรื่องบุญคุณและดึงดันครอบครองแพทย์อันดับหนึ่งในเขตทะเลไว้แต่เพียงผู้เดียวไม่ยอมให้เขามาทีซีเหลียงไม่มากก็น้อย ด้วยเหตุที่ตลอดหลายปีมานี้ผู้อาวุโสทุกท่านในตระกูลเสิ่นก็มิใช่ว่าทั้งตนเองหรือคนอื่นๆ จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หรือคนที่ต้องการแสดงความกตัญญู ที่ต่างถือดีว่าก็เป็นหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเลเช่นกัน ทั้งในตระกูลก็ยังพอจะมีฐานบ้าง ล้วนเคยส่งคนไปขอหารือกับแม่เฒ่าซ่งที่เฟิงโจวมาก่อน

ปรากกฎว่าทุกคนไม่มีข้อยกเว้นล้วนถูกแม่เฒ่าซ่งปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลยไม่แต่น้อย

ทั้งเสียหน้าทั้งไม่อาจเชิญจี้ชวี่ปิ้งมารักษาอาการเจ็บป่วยของตนได้ เหล่าผู้อาวุโสย่อมรู้สึกไม่พอใจรุ่ยอวี่ถัง ยิ่งไปกว่านั้นตัวของเว่ยฉางอิ๋งเองก็มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเพียงนั้นกับแม่เฒ่าซ่ง รวมทั้งเว่ยเจิ้งหงที่เป็นตัวการที่แม่เฒ่าซ่งยอมล่วงเกิน ผู้อาวุโสตระกูลเสิ่นเสียยังดีกว่าปล่อยคนไป หากไม่พาลมาโกรธนางก็แปลกแล้ว

นี่ยังเป็นเพียงแค่ตัวของจี้ชวี่ปิ้งเอง ซึ่งในสายตาของตระกูลสูงศักดิ์แล้วเขาก็เป็นเพียงแพทย์ผู้หนึ่ง แต่เหตุที่เชิญเขามาไม่ได้ก็เพราะติดที่รุ่ยอวี่ถังมาขวางเอาไว้

แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวศิษย์ของเขานั้นเป็นถึงคุณหนูบ้านใหญ่ของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่ว เป็นน้องสาวแท้ๆ ของอดีตพระชายาองค์รัชทายาท ทั้งยังสาวหน้าตางดงามและยังไม่ได้หมั้นหมาย …หากมิใช่โรคร้ายแรงแล้วผู้ใดจะกล้าไปเชิญนาง? ยามนี้ใต้หล้าก็ไม่ได้สงบ คุณหนูบอบบางเช่นนี้ หากเชิญนางมาได้แล้ว แต่มาเกิดเรื่องแม้เพียงเล็กน้อยระหว่างทางไปกลับ หรือระหว่างที่รักษาอยู่ในบ้าน แม้จะเป็นคนใน ตระกูลสูงศักดิ์เช่นกัน ก็คงไม่มีทางไปชี้แจงกับตระกูลตวนมู่กระมัง?

ต่อให้เจ็บหนักคิดอยากเสี่ยงไปเชิญนางมา ทว่าเหตุที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวร่ำเรียนวิชาแพทย์ ประการแรก็เพราะความสนใจ ประการที่สองก็เพื่อปกป้องพระมารดาไช่อ๋องพี่สาวแท้ๆ และไช่อ๋องหลานชายของนาง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการไปช่วยชีวิตรักษาเยียวยาผู้คนสักน้อยไม่ ดังนั้นนางย่อมไม่ยอมออกจากเมืองหลวงอยู่แล้ว!

ฉะนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ต่อให้เป็นคนใหญ่คนโตเพียงใด แต่กลับห่างไกลกับศิษย์อาจารย์ทั้งสองคนนี้ราวตะวันจันทราบนฟ้าเสมือนไม่มีอยู่จริงเช่นนั้น

เมื่อชวี่ปิ้งผู้นี้มีชื่อเสียงมากขึ้น ฝีมือแพทย์ของเขาก็ยิ่งดีขึ้นด้วย เขาจึงมีฐานะที่เจิดจ้าประหนึ่งดวงอาทิตย์ในแวดวงแพทย์เลื่องชื่อ แต่ตอนนี้เขาไปรักษาเว่ยเจิ้งหงไกลถึงเฟิ่งโจว ทว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวซึ่งเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวที่เขาตั้งอกตั้งใจบ่มเพาะมา ผู้ซึ่งไม่ว่าอย่างไรฐานะของนางในวงการแพทย์เลื่องชื่อก็สว่างไสวดังจันทร์เต็มดวง เวลานี้ก็บังเอิญได้มาที่ซีเหลียงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถเข้าใกล้ได้อย่างง่ายดาย …ผู้ใดไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ก็โง่เต็มทนแล้ว!

เว่ยฉางอิ๋งจึงต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่อาจออกเดินทางได้ตามแผนการที่วางเอาไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนที่เดินทางมาซีเหลียงเพื่อขอรับการรักษาจากทั่วสารทิศก็เกือบทำให้ทั้งโรงเตี๊ยมและเรือนรับรองต่างๆ ในตัวเมืองซีเหลียงมีคนอยู่จนเต็มแล้ว!

__________________