ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 23 พ่อแม่บุญธรรม (1)

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

“บอกมา! เจ้าอย่ามาแกล้งทำโง่กับข้า!” ใบหน้าชมพูระเรื่อของเว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็ง จับจ้องไปยังตวนมู่ซินเหมี่ยวที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นยะเยือกพลางเอ่ยไป “ข้าไม่เชื่อว่าที่เจ้ารับปากรักษาให้ทุกคนอย่างสบายอกสบายใจในงานเลี้ยงวันสิ้นปีเป็นเพียงเพราะความสนุกชั่วครู่! นี่เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ หรือเป็นความต้องการของสนมเอก? เจ้าจงใจอยู่ต่อเพราะคิดการใดอยู่กันแน่?!”

….ด้วยชื่อเสียงของหมอเทวดา ผู้ที่อยู่ในแถบใกล้ๆ เช่นทางฝั่งซ้ายของตัวเมือง ซีเหลียง โดยเฉพาะบรรดาแขกที่ได้รับเชิญมางานเลี้ยงวันสิ้นปีก็ยังพอทำเนา เพียงแต่นัดวันเวลากันให้เรียบร้อยเพื่อมิให้เกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันเมื่อตอนมาถึงเรือน แต่คนที่มาจากที่ไกลสักหน่อย ตลอดทั้งผู้ที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ก็จะคำนวณไว้แล้วว่าแม้หลังปีใหม่ไปเสิ่นจั้งเฟิงจะยังไม่ไปรบแต่ก็จะต้องดีขึ้นอย่างมากแล้ว และไม่จำเป็นต้องให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวคอยดูแลด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลาแล้ว …ดังนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็จะต้องมีเวลามาตรวจรักษาให้ผู้อื่น

แม้ตอนนั้นพวกเขายังไม่รู้ว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวจะยอมให้การรักษาหรือไม่ แต่จี้ชวี่ปิ้งศิษย์อาจารย์ก็มีเพียงสองคนนี้แล้ว เมื่อเทียบกับตอนก่อนนี้ที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวอยู่ที่เมืองหลวงและอยู่ภายในจวนของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วจึงเหมือนอยู่ไกลสุดเอื้อมแล้ว ตอนนี้นางอยู่ในตัวเมืองซีเหลียง แม้นางจะอยู่ในคฤหาสน์ดั้งเดิมของตระกูลสูงศักดิ์ ทว่าก็มีเพียงฮูหยินน้อยที่อายุยังน้อยดูแลปกครองอยู่ เมื่อเทียบกับความห่างไกลของเมืองหลวงและมีคนมากมายในจวนตระกูลตวนมู่คอยขวางอยู่ นี่ก็เป็นโอกาสทองล้นฟ้าจริงๆ! คนเหล่านี้กลัวจะพลาดโอกาสในคราวนี้ แม้แต่ปีใหม่ก็ไม่ฉลองกันแล้ว หากแต่หวดม้าเร่งเดินทางมาขอรับการรักษากัน!

ระหว่างทางที่พวกเขาเดินทางมา ก็มีข่าวแพร่ออกไปว่าในงานเลี้ยงวันสิ้นปีที่หมิงเพ่ยถัง สามารถขอร้องตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ง่ายดายนัก… จึงทำให้พวกเขามีเจตจำนงที่แน่วแน่ยิ่งขึ้นว่าต้องเร่งเดินทางให้ถึงตัวเมืองซีเหลียงในเร็ววัน

ดูสิ่งที่พวกเขาทำให้เกิดขึ้นสิ เรียกได้ว่าในตัวเมืองซีเหลียงยามนี้ครึกครื้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แม้แต่ตอนที่ประดับโคมไฟตามถนนในเทศกาลหยวนเซียวก็ยังไม่ครึกครื้นปานนี้เลย!

ไม่เพียงโรงเตี๊ยมทั้งเล็กและใหญ่ บางคนที่มีเรือนพักอยู่ในตัวเมืองซีเหลียงก็ล้วนมีแขกคนมาอยู่จนเต็ม ชาวบ้านหลายคนสบช่องทาง จึงสละบ้านเรือนของตนมาให้แขกผู้สูงศักดิ์ที่ก่อนนี้พบก็ยังไม่เคยพบมาก่อนได้พักอาศัยกัน …เหล่าขุนนางในตัวเมืองซีเหลียงแทบทุกคนต้องมาต้อนรับญาติมิตรที่อยู่ในสายห่างไกลกันลิบลับจากทั่วสารทิศ …แม้แต่เรือนพักแขกในหมิงเพ่ยถังเองทุกวันก็ยังมีญาติหรือคนร่วมตระกูลที่ไม่อาจบอกปัดได้เข้ามาพักอาศัยอยู่ด้วย!

เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนัก ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งก็เอาแต่วุ่นวายกับการเตือนน้องชายสามีว่าอย่าถูกคนในตระกูลเป่าหู ในช่วงเดือนหนึ่งก็ยังต้องไปทำความรู้จักสนิทสนมกับแต่ละบ้าน ทั้งเดือนสิบสองและเดือนหนึ่งล้วนมีเรื่องยุ่งมากมายจนไม่อาจเจียดเวลามาได้ จึงไม่เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย!

รอจนนางรู้สึกตัวอีกครั้งสถานการณ์ก็สาหัสเช่นนี้แล้ว!

เพียงแต่ แม้เว่ยฉางอิ๋งจะถูกรุมเร้าจนรับมือไม่ทัน แต่นางก็สำนึกขึ้นมาได้ในทันใดว่า ตนเองถูกตวนมู่ซินเหมี่ยววางแผนเล่นงานเอาเสียแล้ว!

เดิมทีนั้นแม้ว่าสายของหมอเทวดาจะมีฝีมือวิเศษณ์ล้ำเลิศ ทว่าพวกเขาก็ห่างไกลกับความเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐที่อุทิศตนช่วยชีวิตผู้คนเจ็บไข้ได้ป่วยในสายตาของคนทั่วเป็นแสนแปดพันลี้ทีเดียว หากจะเอ่ยถึงแพทย์ที่มีใจเมตตาดังบิดามารดาแล้ว จี้ชวี่ปิ้งศิษย์อาจารย์ทั้งสองก็ยิ่งขาดแคลนสิ่งนี้เสียยิ่งนัก ต่อให้ศิษย์อาจารย์คู่นี้จงใจให้เกียรติตระกูลเว่ยสักน้อย แต่เกียรติที่ว่านี้ก็จะไม่มีทางใหญ่โตจนถึงขั้นที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวจะไม่ปฏิเสธการรักษาให้กับคนในตระกูลเสิ่น เพราะเว่ยฉางอิ๋งเป็นสะใภ้ตระกูลเสิ่นเป็นแน่

ยิ่งไปกว่านั้นหากตวนมู่ซินเหมี่ยวต้องการใช้ฝีมือแพทย์ของตนช่วยเหลือ เว่ยฉางอิ๋งจริงๆ ในงานเลี้ยงวันสิ้นปีก็ไม่ควรรับไปอย่างรวดเร็วปานนั้น! หากแต่ควรวางท่าสักน้อย แล้วให้ทุกคนมาขอให้เว่ยฉางอิ๋งไปช่วยขอร้องให้จึงค่อยรับปาก ดังนี้แล้วเว่ยฉางอิ๋งก็จะสามารถจดลงบัญชีบุญคุณเอาไว้ได้จึงจะถูก

แต่นี่นางกลับมารับปากเสียเอง ทั้งยังแสดงฝีมือไปในงานเลี้ยงในทันใด …เห็นหรือไม่เล่าว่าผู้คนที่แห่แหนมาขอรับการรักษาก็แทบจะทะลักทะล้นกันเข้ามาแล้ว!

แล้วเว่ยฉางอิ๋งจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร? เรื่องบุญคุณก็ยังไม่เป็นสิ่งใด แม้ตวนมู่ซินเหมี่ยวจะมีความสำพันธ์กั เว่ยฉางอิ๋งดีไม่เลว แต่ทั้งสองคนก็ยังเป็นบุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูลสูงศักดิ์เช่นเดียวกัน มีฐานะทัดเทียมกัน ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็หาใช่บ่าวของนาง และไม่จำเป็นต้องคอยคิดจะช่วยเหลือนางอยู่ทุกเวลา แม้เว่ยฉางอิ๋งพยายามเข้ามาควบคุมอำนาจอย่างเต็มที่ ทว่าก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวจนกระทั่งคิดว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวควรต้องมาช่วยเหลือตนอย่างสุดกำลัง

หากจะให้คนเหล่านี้ไปก็เป็นเรื่องเล็ก ดีชั่วอย่างไรเมื่อเรือนพักแขกเต็มแล้ว สำหรับอำนาจบารมีของตระกูลเสิ่นในวันนี้แล้ว ค่าใช้จ่ายเล็กน้อยนี้ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากหมอจะอาศัยอยู่ภายในหมิงเพ่ยถังแล้ว ว่าตามหลักเป็นสหายสนิทในตระกูลสูงศักดิ์ของฮูหยินน้อยผู้นี้ด้วย ฉะนั้นมิใช่ว่าคนเหล่านี้จะไม่รู้ความที่จู่ๆ ก็จะมาขอรับการรักษาโดยไม่นำของกำนัลชิ้นงามมาด้วยอย่างไร?

หากนับกันดังนี้การให้พวกเขาเข้ามาพักความจริงแล้วก็มิได้เสียเปรียบอันใด

ส่วนผู้คนที่ไม่มีสิทธิ์มาอยู่ในหมิงเพ่ยถัง ก็ไม่ต้องให้เว่ยฉางอิ๋งออกไปต้อนรับอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าจะจัดการผู้คนที่จู่ๆ ก็กรูกันเข้ามาในตัวเมืองซีเหลียงอย่างไรก็เป็นเรื่องของผู้ตรวจการ และหากว่ากันถึงเรื่องการรักษาในลำดับต่อไป อย่างไรเสียคนต้องเหน็ดเหนื่อยก็เป็นตัวตวนมู่ซินเหมี่ยวเอง…

สิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งเป็นห่วงจริงๆ กลับคือแผนการอื่นของตวนมู่ซินเหมี่ยวต่างหาก!

แววตาของเว่ยฉางอิ๋งจดจ้องไปที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวอย่างเคร่งเครียดทั้งสีหน้าถมึงทึง ส่วนข้างในใจก็ถึงขั้นคิดว่าจะลงมือทำการบางอย่างเพื่อบีบให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่อาจไม่กลับไปเมืองหลวงในทันทีทันใดดีหรือไม่? อย่างเช่นบอกว่า ท่านหมอเทวดาน้อย… เอ่อ ผู้คนที่แห่แหนกันมาขอรับการรักษาในหลายวันมานี้พากันตั้งฉายาให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวดังนี้ด้วยต้องการจะยกย่องนาง… หากท่านหมอเทวาน้อยที่เพิ่งจะเปิดตัวและโด่งดังผู้นี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นสักน้อย อย่างเช่นว่าขาหัก แขนบาดเจ็บ ด้วยฐานะเช่นนางหากจะกลับไปรักษาตัวที่เมืองหลวงก็นับว่าเป็นเรื่องสมควรแล้ว

สีหน้าที่เปลี่ยนไปมาของเว่ยฉางอิ๋งนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวล้วนมองเห็นอยู่ในสายตา ยามนี้จึงร้องขึ้นมาว่า “ดีชั่วอย่างไร ข้าก็เรียกขานท่านว่าพี่เว่ยมาจะสองปีแล้ว นี่ท่านจะใจโหดถึงเพียงนี้เชียวรึ? เพิ่งจะเกิดเรื่อง ท่านก็คิดจะลงมือกับข้าแล้ว? ไม่คำนึงถึงมิตรภาพพี่น้องเลยแม้สักน้อย!”

“นี่เจ้ายังจะกล้าพูดอีก!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยทั้งหน้าดำคร่ำเครียด “เจ้าก่อเรื่องจนเป็นดังนี้แล้วเคยมาถามข้าก่อนหรือไม่? ยามนี้ท่านพี่ของข้าต่อสู้กับพวกตี๋อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่แนวหน้า ต้องนอนกลางน้ำแข็งกินกลางหิมะไม่ว่างจะเสียสมาธิกับเรื่องอื่น แต่ในตัวเมืองซีเหลียงกลับเกิดการเคลื่อนไหวใหญ่โตเพียงนี้ … แล้วข้าจะไม่ต้องระวังสักหน่อยได้หรือ?”

แล้วแค่นเสียงเอ่ยไปว่า “เจ้าจะพูดหรือไม่? หากไม่พูดก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย เจ้ายังไม่ทันได้รักษาสักคน แต่ตนเองก็ต้องกลับไปพักฟื้นที่เมืองหลวงแล้ว!”

แม้ตวนมู่ซินเหมี่ยวจะรู้ว่าหากไม่บีบเว่ยฉางอิ๋งจนถึงระดับหนึ่ง คำพูดเช่นนี้ก็เพียงเพื่อขู่ขวัญตนเท่านั้น ทว่าก็ยังเอ่ยไปอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เสียแรงที่ข้าเดินทางตั้งไกลมารักษาสามีท่าน แต่ท่านกลับทำกับข้าเช่นนี้!”

 “ทางหนึ่งเจ้าก็พร่ำเรียกข้าว่าพี่ อีกทางหนึ่งก็เล่นงานข้าเช่นนี้ เจ้าว่าผู้ใดทำไม่ดีกับผู้ใดยิ่งกว่ากัน? เหตุที่เจ้ามาซีเหลียง ประการแรกเพราะเป็นพระประสงค์ของ ฮ่องเต้และสนมเอก ประการที่สองก่อนจะมาเจ้าก็เอาเครื่องหยกชั้นเลิศจำนวนมากของข้าไปไยจึงไม่เอ่ยถึงเล่า? แม้แต่ท่านหมอเทวดาจี้อาจารย์ของเจ้าก็ยังไม่เคยคิดค่ารักษาจากข้าสูงเพียงนี้!” เว่ยฉางอิ๋งเอื้อมมือไปหยิกแก้มนาง เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดทั้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ข้าจะบอกเจ้า ข้าไม่ได้เห็นเจ้าเป็นคนอื่นคนไกล มีคำใดเจ้าก็ว่ามาตามตรง! หาไม่แล้วเจ้าคิดว่าข้ายินดีมาทำหน้าเช่นนี้ใส่เจ้ารึ?”

หากมิใช่ว่ายังคงรู้สึกเชื่อใจตวนมู่ซินเหมี่ยวอยู่ เว่ยฉางอิ๋งก็จะลงมือไปก่อนค่อยมาพูดจากันตั้งนานแล้ว …เพื่อสามีที่รัก เพื่อบุตรชายอายุยังน้อยของทั้งสองคน สองเงื่อนไขนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อใด ก็เพียงพอจะทำให้สตรีทั่วหล้าทั่วๆ ไปไม่อาจทำใจให้โหดเหี้ยมได้! ประสาอะไรกับที่เว่ยฉางอิ๋งก็มีทั้งสองเหตุผลอยู่พร้อมสรรพ?

“หรือว่าพี่เว่ยท่านถมึงทึงใส่ข้า แล้วข้ายังต้องขอบคุณท่าน?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่ยอมแพ้ …ทว่าหลังจากทั้งสองคนถกเถียงกันสักพัก ก็กลับผ่อนคลายกันลงมา แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายมีแผนการใดอื่น ทว่าแผนการนี้ก็ไม่ถึงกันเตรียมจะห้ำหันกันจนแตกหัก

เมื่อสงบลงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงถามนางไปอีกว่า “เจ้าคิดจะทำการใดกันแน่?!”

“นี่กลับมิใช่ข้าเป็นคนอยากทำการใด ทว่าเป็นท่านอาจารย์ของข้าอยากทำ… แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือท่านย่าของท่านอนุญาตแล้ว” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเบ้มุมปาก เอ่ยอย่างไม่ยินยอม

คำพูดนี้ทำเอาเว่ยฉางอิ๋งตกใจ กล่าวว่า “ท่านหมอเทวดาจี้ …ท่านย่า?”

“ไม่เชื่อท่านก็ดูเอาเอง!” ดูท่าว่าเมื่อตวนมู่ซินเหมี่ยวถูกนางเรียกมาหาก็มีการเตรียมตัวมาก่อนหน้าแล้ว เมื่อเห็นว่าเวลานี้เว่ยฉางอิ๋งมีท่าทีตกใจ จึงเอาจดหมายจากในแขนเสื้อมอบให้นาง

เว่ยฉางอิ๋งรับมาด้วยความสงสัย เมื่อกวาดตาไปบนซองจดหมายกลับพบว่า …จดหมายฉบับนี้เป็นฮูหยินซูเขียนขึ้น?

นางพลันสงสัยในใจและเปิดจดหมายออกอ่าน เพียงอ่านไปท่อนหนึ่ง หัวใจของนางก็สั่นขึ้นมาน้อยๆ จดหมายนี้เป็นลายเมือที่ฮูหยินซูเขียนเองจริงดังว่า! ประเด็นสำคัญก็คือถ้อยคำในจดหมายนั้นทำให้เห็นว่าฮูหยินซูเขียนจดหมายไปมากับตวนมู่ซินเหมี่ยวมิใช่ครั้งแรกแล้ว น้ำเสียงของถ้อยคำผ่อนคลายนัก กระทั้งใช้คำที่สนิทสนมว่า ‘เหมี่ยวเอ๋อร์’ มาเรียกขานตวนมู่ซินเหมี่ยวด้วย

 ไม่เพียงเท่านี้ ในจดหมายนี้ยังมีคำวิจารณ์และข้อเสนอแนะของฮูหยินซูเกี่ยวทุกเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งทำในซีเหลียง และกำชับตวนมู่ซินเหมี่ยวว่าต้องบอกกับตนซึ่งเป็นสะใภ้ผู้นี้ในเวลาที่เหมาะสม …มิน่าเล่าท่านย่าและท่านแม่จึงเคยเตือนนางเอาไว้ก่อนหน้าเว่ยฉางอิ๋งจะออกเรือนว่าแม่สามีของตนผู้นี้เก่งกาจยิ่งนัก เมื่อยามนี้มาเห็นว่าฮูหยินซูวิเคราะห์อธิบายและเสริมเรื่องที่ตนเคยทำเมื่อปีก่อนอย่างละเอียดถี่ยิบอยู่ในจดหมาย นางก็อดมีเหงื่อไหลอาบหลังชั้นหนึ่งไม่ได้!

นางอ่านจดหมายอย่างรวดเร็วจนจบด้วยจิตใจไม่สวบ เมื่อตั้งสติได้แล้ว จึงถามตวนมู่ซินเหมี่ยวตรงๆ ว่า “ท่านแม่ให้เจ้าทำการบ้าบิ่นเช่นนี้แต่เมื่อใด?”

“พี่เว่ย ท่านนี่ไม่ละเอียดเลย ดูตอนท้ายตรงนี้สิ” ได้ยินคำตวนมู่ซินเหมี่ยวรีบแย่งจดหมายมา แล้วชี้นิ้วไปที่ตอนท้ายของจดหมาย …เมื่อเว่ยฉางอิ๋งอ่านดูอย่างละเอียด กลับเห็นว่ามีเพียงสองบรรทัด ฮูหยินซูบอกกล่าวอย่างเผินๆ ว่านางติดต่อกับฮูหยินผู้เฒ่าแห่งรุ่ยอวี่ถังแล้ว คิดว่าสามารถเห็นชอบกับสิ่งที่จี้ชวี่ปิ้งร้องขอได้ และเรื่องที่นางรับปากกับตวนมู่ซินเหมี่ยวเอาไว้ก่อนหน้านี้ ก็จะทำต่อไปจนสำเร็จ

เว่ยฉางอิ๋งตั้งใจอ่านท่อนสุดท้ายของจดหมายอยู่เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “ท่านหมอเทวดาจี้ขอให้เจ้าแสดงฝีมือแพทย์ในงานเลี้ยงวันสิ้นปี?”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวเก็บจดหมายกลับมาอย่างระมัดระวัง กล่าวว่า “ก็ใช่น่ะสิ หาไม่แล้ว พี่เว่ยท่านก็มิใช่ไม่รู้ว่าข้าเป็นคนเช่นใด ข้าก็ไม่ได้รู้จักคนเหล่านั้นสักหน่อย พวกเขาจะเป็นจะตายจะเจ็บปวดแล้วมันเรื่องใดของข้า? กำลังฉลองปีใหม่ไม่กินดื่มให้สำราญในงานเลี้ยง มาลากข้าไปบอกว่าป่วยอันใดเจ็บอันใดกัน ไม่อัปมงคลรึไร? หากเป็นตัวข้าเอง ต่อให้ข้ารับปากแล้ว ก็ไม่มีทางไม่จัดการให้ฮูหยินผู้เฒ่าพวกนั้นทุกข์ทรมานจนเกือบตายให้จงได้! ที่ให้สัญญาไปก็เป็นเพราะท่านอาจารย์ ท่านย่าของท่านและยังมีท่านแม่ของท่านอีก หาไม่แล้วท่านนึกว่ายินดีจะไม่ฉลองวันปีใหม่ให้ดีๆ แต่กลับต้องข่มอารมณ์ตนเองไปปั้นหน้าใส่คนพวกนั้นรึ?”

ไม่ผิด นี่ต่างหากจึงคือนิสัยที่แท้จริงของคุณหนูตวนมู่แปด …เว่ยฉางอิ๋งพยายามอดทนอาการแทบกระอักเลือดของตน “ท่านหมอเทวดาจี้ให้เจ้าทำเช่นนี้ ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะเขาหวังจะใช้วิธีนี้ทำให้ญาติสนิทเพียงคนเดียวที่อาจยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ของเขาปรากฏตัวออกมา เพียงแต่ …เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกเรื่องนี้กับข้า?”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวมองนางคราวหนึ่ง แล้วกับมีรอยยิ้มมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นออกมา กล่าวว่า “เรื่องนี้ พี่เว่ยท่านยิ่งไม่อาจโทษข้าได้ ก็เพราะคนที่นำจดหมายมาส่งบอกไว้เช่นนี้ …ข้าเดาเอานะ คงเพราะท่านแม่บุญธรรมท่านเห็นว่าก่อนนี้สามีพี่เว่ยออกหน้ารับแทนพี่เว่ยท่านมากมายหลายเรื่องนัก ยามนี้พอดีว่าสามีพี่เว่ยไม่อยู่ จึงอยากดูสักหน่อยว่าพี่เว่ยจะจัดการเพียงลำพังอย่างไรกระมัง? จึงให้ข้าไม่เอ่ยสิ่งใด และให้ดูว่าพี่เว่ยท่านจะจัดการให้ผ่านไปอย่างไร?”

____________________