ตอนที่ 204-2 กลางดึกในวังลึก สหายเก่าได้พบหน้า

ชายาเคียงหทัย

โรงละครชิงเฉิง

 

 

เมื่อเปลี่ยนเจ้าของ เปลี่ยนหัวหน้าหญิงคณิกาไปแล้ว แต่โรงละครชิงเฉิงก็ยังคงเป็นโรงละครแห่งการร้องเล่นเต้นระบำที่ครึกครื้นที่สุดในเมืองหลวง เพียงแต่คุณชายเฟิ่งซานผู้เลื่องชื่อในอดีต กลับมิได้เป็นแขกผู้ทรงเกียรติของโรงละครชิงเฉิงอีกแล้ว แต่กลับต้องลอบเข้ามาภายในโรงละครจากทางด้านหลัง

 

 

เมื่อผลักประตูเข้าไปภายในห้องที่อยู่ลึกและห่างไกลจากผู้คน ก็มีคนรออยู่ภายในห้องก่อนแล้ว เมื่ออีกฝ่ายเห็นเฟิ่งจือเหยาผลักประตูเข้ามา ก็เงยหน้าขึ้นระบายยิ้มส่งให้เขา “เฟิ่งซาน น้อยนักที่จะได้เห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้ ช่าง…น่าประทับใจยิ่งนัก”

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาคุณชายเฟิ่งซานเป็นคนชอบโอ้อวดมาโดยตลอด ถึงแม้จะอยู่ในสนามรบก็ยังอยู่ในชุดสีแดงหรูหราเป็นที่สะดุดตา แต่วันนี้เมื่อมาอยู่ในชุดง่ายๆ สบายๆ แม้แต่ใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้คนต้องหันมอง ก็ยังมีการปรับแต่งให้ดูบ้านๆ ขึ้นหลายส่วน

 

 

เฟิ่งจือเหยาส่งเสียงหึด้วยความไม่พอใจ ก้มมองเสื้อผ้าบนตัวด้วยความรังเกียจ “ข้าถึงได้ไม่ชอบลักลอบทำงานเทาๆ เช่นนี้ ช่างไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย”

 

 

“เพิ่งไปที่จวนสวีมาหรือ” ชายหนุ่มถามขึ้น ผู้นั้นก็คือคุณชายรอง ตระกูลเหลิ่ง บุตรเขยของแม่ทัพมู่หรง เหลิ่งเฮ่าอวี่นั่นเอง ยามนี้เหลิ่งเฮ่าอวี่รับหน้าที่ดูแลกิจการและอิทธิพลทั้งหมดของตำหนักติ้งอ๋องในต้าฉู่ แต่ตามปกติก็ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่หลังม่าน ไม่อาจวางท่าวางทางต่อหน้าผู้คน คุณชายเจ้าสำราญที่โด่งดังที่สุดของเมืองหลวงทั้งสองคน จึงหายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งคู่ ซึ่งทำให้สตรีชั้นสูงมากความสามารถทั้งหลายต่างพากันผิดหวัง

 

 

เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “เรื่องตระกูลสวีไม่ต้องเป็นกังวลไป ใต้เท้าสวีกับคุณชายสี่ตระกูลสวีล้วนเป็นคนหลักแหลม เรื่องที่พวกเราต้องจัดการต่างหากที่เป็นเรื่องยุ่งยาก ก่อนหน้านี้เรื่องที่ให้เจ้าสืบเป็นอย่างไรบ้าง มีข่าวคราวบ้างหรือยัง”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่ได้แต่ส่ายหน้า “ม่อจิ่งฉีผู้นี้ขี้ระแวงสงสัยยิ่งนัก ดอกปี้ลั่วอยู่ที่ใดไม่มีผู้ใดรู้ เกรงว่าไทเฮาองค์ปัจจุบันที่เป็นมารดาแท้ๆ ของเขาเองก็ไม่รู้”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเองก็ถึงกับถอนใจ “ไม่เป็นไร ของนั่นอย่างไรก็อยู่ในวังหลวง ข้าไม่เชื่อว่าหากพลิกวังหาแล้วจะยังหาไม่เจอ!”

 

 

ด้วยนิสัยของม่อจิ่งฉี ของสำคัญเช่นนั้นไม่มีทางเก็บไว้ห่างตัว เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฟิ่งจือเหยาจึงเอ่ยว่า “หาราชโองการของปฐมฮ่องเต้กับหาที่สงบๆ ให้ใต้เท้าสวีกับคุณชายสวีให้ได้ก่อนแล้วกัน หากถึงเวลานั้นแล้วยังหาดอกปี้ลั่วไม่พบ ก็ให้คนอื่นคุ้มครองตระกูลสวีกับของกลับซีเป่ยไปก่อน ข้าจะรั้งอยู่หาที่นี่ต่อไป”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่เลิกคิ้วขึ้นมองเขา “ท่านอ๋องกับพระชายาไม่ได้จะให้เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงนี่ อีกอย่าง ช่วงนี้ข้าไปจากเมืองหลวงไม่ได้ ให้ข้าไปหาก็ได้ ท่านจะอยู่ทำอันใดในเมืองหลวง”

 

 

เฟิ่งจือเหยาถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธ “เดี๋ยวข้าเรียนท่านอ๋องกับพระชายาเอง ในมือเจ้ามีงานอยู่มากมายเช่นนี้แล้ว ให้เจ้าหาดอกปี้ลั่วอีกจะหาเจอเมื่อใดกัน”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่ได้แต่เอามือลูบจมูก หรือว่าเขาเป็นคนแยกแยะเรื่องใดสำคัญไม่สำคัญไม่ออก ไม่รู้ว่าต้องทำอันใดก่อนหลังอย่างนั้นหรือ

 

 

เมื่อเห็นเฟิ่งจือเหยาเอาแต่ถลึงตามองตนอย่างไม่ยอมละสายตาไปไหน เหลิ่งเฮ่าอวี่จึงถอนใจอย่างยอมแพ้ โบกมือเอ่ยว่า “ท่านอ๋องกับพระชายาอนุญาตเป็นใช้ได้ ข้าไม่ยุ่งเรื่องของเจ้าหรอก”

 

 

เฟิ่งจือเหยาถึงได้ส่งเสียงหึเบาๆ ด้วยความพอใจ หยิบสุราบนโต๊ะขึ้นดื่มเองคนเดียว

 

 

 

 

กลางดึก

 

 

เงาดำหลายเงากระโดดข้ามกำแพงวังเข้าไปภายใน ตั้งแต่หนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ การอารักขาภายในวังหลวงแน่นหนาขึ้นมาก มักมีคณะองครักษ์และขุนนางเดินผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นระยะๆ แต่นั่นก็ไม่ยากเกินความมสามารถในการเข้าออกของคนกลุ่มนี้ เงาดำกลุ่มนั้นสามารถหลบหลีกองครักษ์ที่เดินเวรยามได้ง่ายดายประหนึ่งภูตผี ก่อนเคลื่อนตัวลึกเข้าไปในวังด้านหลัง

 

 

ภายในตำหนักของฮองเฮา ฮว่าฮองเฮาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่หรูหราและหนักอึ้งอย่างในตอนกลางวันออก ใส่เพียงชุดหลัวสีม่วงอ่อนที่เบาสบาย ผมยาวสลวยก็ใช้เพียงปิ่นหยกม่วงรวบไว้ตามสบายเท่านั้น พระองค์กำลังนั่งถือหนังสือในมืออยู่อย่างใจลอย

 

 

เมื่อชะล้างเครื่องแต่งตัวแต่งหน้าที่หรูหราเหล่านั้นออกไปแล้ว ความงามของฮองเฮาก็ดูหรูหราน้อยลงไปหลายส่วน แต่ดูมีความอ่อนโยนและอ่อนเยาว์มากขึ้นแทน ดูแล้วไม่เหมือนเป็นมารดาของเด็กอายุเก้าขวบที่อายุได้สามสิบปีแล้วเลย แต่ดูเหมือนสตรีสาวงดงามที่อายุเพิ่งยี่สิบต้นๆ เสียมากกว่า

 

 

จู่ๆ ก็มีลมหอบหนึ่งพัดเข้ามาทางหน้าตาที่เปิดอยู่ครึ่งบาน จนทำให้เทียนภายในห้องดับมืดลงทั้งหมด

 

 

ฮองเฮาอึ้งไป เมื่อตั้งสติได้ ก็พบว่าภายในตำหนักมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา เมื่อหันขวับไปมองก็เห็นเป็นเงาคนสูงใหญ่ในชุดสีดำ กำลังยืนมองนางอยู่ที่มุมกำแพงห่างไปไม่ไกล

 

 

ฮองเฮาใจวาบขึ้นทันที รีบเอ่ยเสียงเข้มว่า “ผู้ใดกัน!”

 

 

“ข้าเอง” ชายในชุดดำเดินออกมา ดวงตารูปดอกเถาบนใบหน้าหล่อเหลามองสตรีชุดสีม่วงอ่อนใต้โคมไฟด้วยสายตาหลากหลาย

 

 

น้ำเสียงที่ฟังดูแปลกหูแต่ก็คุ้นเคย ทำให้ฮองเฮาถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย และเมื่อได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของชายในชุดดำ ก็ทำให้พระองค์ถึงกับตะลึงงันไปทันที ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้ามาอยู่ในวังได้อย่างไร” พูดจบก็นึกขึ้นมาได้ว่า เสียงร้องด้วยความตกใจของตนเมื่อครู่ เกรงว่าจะไปเรียกให้องครักษ์และนางกำนัลภายในวังให้เข้ามา จึงรีบเดินไปปิดหน้าต่างให้สนิท

 

 

“เจ้าไม่ต้องกังวล ไม่มีผู้ใดมาหรอก” ชายในชุดดำก็คือคุณชายเฟิ่งซาน เฟิ่งจือเหยา

 

 

ฮองเฮาผ่อนลมหายใจออก เมื่อได้เห็นใบหน้าของบุรุษในชุดดำที่ดูจะหล่อเหลาขึ้นกว่าเดิม ก็อดถอนใจออกมาเบาๆ ไม่ได้ นางหมุนตัวไปเทน้ำชา พลางชี้ไปที่เก้าอี้ “นั่งลงคุยกันเถิด เจ้าไม่ได้อยู่ที่ซีเป่ยหรือ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วมาอยู่ในวังได้อย่างไร”

 

 

เฟิ่งจือเหยามองถ้วยชาลายครามที่วางอยู่ตรงหน้าตน เอ่ยเสียงต่ำว่า “ได้รับบัญชาจากท่านอ๋องให้กลับมาทำธุระ ก็เลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมเจ้า ไม่ต้อนรับหรือ”

 

 

น้ำเสียงที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นน้อยใจ ทำให้ฮองเฮานิ่งอึ้งไป ก่อนระบายยิ้มเอ่ยว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ปกติมีคนที่เคยรู้จักกันในอดีตน้อยคนนักที่จะแวะเวียนมาเยี่ยมข้า คนที่ไปๆ มาๆ ในวังก็มีอยู่เพียงไม่กี่คน”

 

 

เฟิ่งจือเหยามองจ้องนาง เอ่ยถามว่า “หลายปีนี้เจ้าสบายดีหรือไม่”

 

 

บรรยากาศภายในตำหนักดูหนักอึ้งขึ้นทันที ฮองเฮายิ้มเรียบๆ “ฮองเฮาแห่งแคว้น มารดาของคนทั้งใต้หล้า จะมีอันใดไม่ดีหรือ อย่าพูดเรื่องนี้เลย…จะว่าไปพวกเราก็ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปีแล้วนะ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยอย่างเศร้าสร้อยว่า “สิบสองปี…สิบเอ็ดปี หกเดือน”

 

 

รอยยิ้มของฮองเฮาดูแข็งขืน “ไม่คิดว่าเจ้าจะจำได้แม่นยำเพียงนี้”

 

 

แล้วทั้งสองก็นั่งมองกันนิ่ง ไม่มีคำพูดใดต่อกัน เฟิ่งจือเหยามองสำรวจสตรีตรงหน้าอย่างจริงจัง ต่างว่ากันว่า ซูจุ้ยเตี๋ยเป็นยอดหญิงงามแห่งเมืองหลวงต้าฉู่ แต่ในสายตาของเฟิ่งจือเหยาแล้ว กลับไม่เคยเห็นว่าซูจุ้ยเตี๋ยจะงดงามเพริศพริ้งอันใดนัก ในสายตาของเขาสตรีที่งดงามที่สุด ก็คือสตรีสาวในชุดฮว๋าที่เคยพะยุงเด็กเก้าขวบ ที่ถูกพี่ชายสายหลักผลักจนล้มลงกับพื้นและรุมทำร้ายเขาในจวนเท่านั้น นางคนที่ช่วยเขาเช็ดคราบเปรอะเปื้อนออกจากใบหน้า อมยิ้มบอกเขาว่า หากไม่อยากถูกคนรังแก ก็ต้องเปลี่ยนเป็นคนที่แข็งแกร่ง เป็นนางที่จับจูงเขาลอบพาไปที่ตำหนักติ้งอ๋อง ขอร้องซิวเหยาให้เขาร่วมฝึกวิทยายุทธด้วย และเป็นนางที่ลอบให้คนเอายากับเงินมาให้เขาในยามที่เขาล้มป่วยไม่มีคนดูแล

 

 

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในสายตาของเฟิ่งจือเหยาก็มีเพียงสตรีที่สูงส่งและแสนอ่อนหวานผู้นั้น น่าเสียดาย พวกเขาอยู่ห่างกันมากเกินไป เขาเป็นบุตรสายรองของตระกูลคหบดี ถึงแม้ตระกูลเฟิ่งจะเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของต้าฉู่ แต่ก็เป็นชนชั้นที่ต่ำสุดของทั้งสี่ชน ส่วนนางกลับเป็นคุณหนูใหญ่สายหลักที่มีเกียรติที่สุดแห่งจวนฮว่ากั๋วกง ต่อมา อดีตฮ่องเต้ก็ทรงเลือกนางให้เป็นสนมเอกแห่งม่อจิ่งฉีที่ยังเป็นองค์รัชทายาทอยู่ในตอนนั้น ระหว่างพวกเขาทั้งสอง ต่อให้เป็นความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันเพียงไร ก็เป็นเพียงเขาที่เรียกนางว่าพี่ฮว่า ถึงแม้จะเรียกขานกันเช่นนี้ แต่หลังจากเขาอายุสิบสามปี ก็ไม่กล้าเรียกนางเช่นนั้นอีกเลย

 

 

ฮองเฮาถูกเขาจับจ้องจนทำอันใดไม่ถูก พวกเขาไม่ได้พบหน้ากันมาได้สิบสองปีแล้วจริงๆ เด็กน้อยที่เคยดูบอบบาง บัดนี้ได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่หล่อเหลาเอาการเสียแล้ว

 

 

ชื่อเสียงของคุณชายเฟิ่งซานในเมืองหลวง แม้แต่นางที่อยู่ในวังก็ยังเคยได้ยินอยู่บ้าง นางยังจำได้ดีถึงเรื่องในยามนั้น คืนก่อนที่นางจะแต่งงานฝนตกหนัก เด็กหนุ่มคนนั้นหลบหลีกการอารักขาที่แน่นหนาของจวนฮว่ากั๋วกงเข้ามาถึงหน้าห้องนางได้อย่างทะลักทุเล เอ่ยถามนางด้วยความกระวนกระวายใจว่า “เจ้าไม่แต่งงานกับฉีอ๋องได้หรือไม่”

 

 

ในยามที่นางส่ายหน้า แววตาที่เป็นประกายสดใสของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มหม่นหมองลงทันที ในยามนั้นนางยังไม่เข้าใจจิตใจของเด็กหนุ่ม คิดเพียงว่าเขาคงอาลัยอาวรณ์พี่สาวที่คอยรักใคร่ดูแลเขาเท่านั้น แต่เมื่อเห็นสายตาผิดหวังของเด็กหนุ่มที่มองมาทางนางด้วยความผิดหวังแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจนางจึงบังเกิดความเศร้าหมองและรวดร้าวจนต้องร้องไห้ออกมาอย่างอดไม่อยู่ แล้วนางก็ค่อยๆ เข้าใจว่าที่หนุ่มน้อยรู้สึกผิดหวังในยามนั้นด้วยเพราะเหตุใด พวกเขาค่อยๆ เดินออกห่างกันไปเรื่อยๆ นางเป็นชายาเอกของฉีอ๋อง แล้วมาเป็นฮองเฮาแห่งต้าฉู่ แต่เขายังคงเป็นคุณชายสามตระกูลเฟิ่ง และกลายเป็นคุณชายสามตระกูลเฟิ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย อันที่จริง บางทีการไม่ได้พบกันเลยตลอดกาลอาจเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

 

 

“อาเหยา หลายปีนี้เจ้าสบายดีหรือไม่” ครู่ใหญ่ ฮองเฮาก็ตรัสเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

 

 

“อย่าเรียกข้าว่าอาเหยา!” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยคำรามเสียงต่ำ

 

 

ฮองเฮาอึ้งไป แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่า ยามนั้นนางก็เรียกม่อซิวเหยาที่อายุยังน้อยว่า อาเหยา ถึงแม้ตัวอักษรจะเขียนไม่เหมือนกันแต่กลับเรียกออกมาเหมือนกัน ดังนั้นทุกครั้งที่นางเรียกเขาว่าอาเหยา เขาจึงมักอารมณ์เสียและแสดงอาการประหลาดออกมาเสมอ แต่ดูเหมือนนางก็หาวิธีเรียกเขาเป็นอื่นไม่ได้ จึงเรียกเขาเช่นนี้เรื่อยมา

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮองเฮาก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

ดูเหมือนเฟิ่งจือเหยาเองก็คิดถึงเรื่องน่าอายที่ตนเคยทำไว้เมื่อยามเป็นเด็ก จึงเมินหน้าหนีไปด้วยสีหน้าแข็งขืน แสงไฟในตำหนักค่อนข้างมืดสลัว จึงทำให้มองไม่ออกว่าเขาหน้าแดงหรือไม่

 

 

ฮองเฮาลุกยืนขึ้น ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “โตป่านนี้แล้ว ยังเอาแต่ใจเป็นเด็กๆ อีกหรือ เจ้าเข้าวังมาดึกดื่นเช่นนี้ คงมิใช่เพื่อมาเยี่ยมข้าเพียงอย่างเดียว มีเรื่องอันใดหรือไม่”

 

 

เฟิ่งจือเหยามองใบหน้าที่งดงามภายใต้โคมไฟ แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ไปจากที่นี่กับข้าเถิด!”