ตอนที่ 205-1 ลักพาตัวฮ่องเต้

ชายาเคียงหทัย

“ไปจากที่นี่กับข้าเถิด!” เมื่อเห็นสตรีตรงหน้าดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด เฟิ่งจือเหยาจึงเอ่ยเสียงขรึมย้ำอีกครั้ง

 

 

เมื่อได้ยินที่เขาพูด ฮองเฮาก็ตกใจจนตะลึงงันไปทันที ครู่ใหญ่ถึงได้ตั้งสติได้ จึงส่ายหน้าเรียบๆ

 

 

นัยน์ตาเฟิ่งจือเหยาเป็นประกายโกรธจัด กัดฟันเอ่ยว่า “เพราะเหตุใด”

 

 

ฮองเฮาหลุบตาลง ปกปิดความเจ็บปวดและเศร้าหมอง ก่อนเหลือบตาขึ้นยิ้มน้อยๆ มองเฟิ่งจือเหยา “ข้าเป็นภรรยาของฮ่องเต้ มารดาของต้าฉู่ ผู้ใดจะไปก็ได้ แต่ข้าไม่สามารถไปจากที่นี่ได้”

 

 

ถึงแม้นางจะมิได้มีความรักใคร่ฉันชายหญิงกับม่อจิ่งฉี แต่ในสมัยที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสให้นั้น นางก็ไม่เคยรู้สึกไม่พอใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าคืนวันต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ก็ไม่เกี่ยวกับคนรอบกายเลยแม้แต่น้อย

 

 

นางกับม่อจิ่งฉีเป็นสามีภรรยากัน เขาเป็นบิดาของบุตรสาวนาง นางมิได้รักเขา แต่ก็ยังคงต้องอยู่ข้างกายเขา ก่อนหน้านี้นางไม่เข้าใจความรู้สึกของเฟิ่งจือเหยา ยามนี้เมื่อเข้าใจแล้ว ก็ยิ่งไม่สามารถไปกับเขาได้ การนำตัวฮองเฮาออกจากวังต้าฉู่ สำหรับเฟิ่งจือเหยาแล้วไม่ถือเป็นเรื่องดีเลย

 

 

เฟิ่งจือเหยาถลึงตาดุใส่ฮองเฮาที่ยังคงยิ้มอย่างสงบ กัดปากตนจนแทบเลือดออก

 

 

ฮองเฮามองเขาแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ได้ยินว่าชายาติ้งอ๋องก็ตั้งครรภ์แล้ว เจ้าอายุเท่ากับติ้งอ๋อง ก็ควรหากสตรีดีๆ สักคนแล้วสร้างครอบครัวได้แล้ว อาเหยา พี่ขอบคุณที่เจ้ามาเยี่ยม เพียงแต่…ต่อไปอย่าได้มาอีกเลย วังหลวงมิใช่สถานที่ที่จะเข้าจะออกได้ตามใจ ไม่ว่าจะกับเจ้าหรือข้าก็ล้วนไม่ดีทั้งสิ้น”

 

 

เฟิ่งจือเหยาถลึงตัวลุกขึ้นทันที จ้องเขม็งไปที่ฮองเฮา “ดี! ดี! ข้ารู้สึกมากเกินไปเอง ข้าเองที่ไม่ควรมารบกวนชีวิตของฮองเฮา ข้าขอตัวลาไปเสียเดี๋ยวนี้ก็แล้วกัน!”

 

 

ถึงแม้จะพูดออกไปเช่นนี้ แต่ขาเขากลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงเมื่อพูดออกไปแล้ว ในใจเฟิ่งจือเหยาก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าที่นางพูดเช่นนั้นก็เพราะคิดอยากไล่เขาไปเท่านั้น มิได้กลัวว่าเขาจะนำความเดือดร้อนมาให้นาง

 

 

ฮองเฮาถอนหายใจเบาๆ “ช่างทำตัวเหมือนเด็กน้อยเสียจริง กลับไปเถิด”

 

 

เฟิ่งจือเหยาจ้องฮองเฮาเขม็งอยู่เป็นนานโดยไม่พูดอันใด เขาอยากบอกฮองเฮาเหลือเกินว่าม่อจิ่งฉีทำอันใดไว้บ้าง อยากบอกฮองเฮาว่าติ้งอ๋องไม่มีทางปล่อยม่อจิ่งฉีไป อยากขอร้องให้นางหนีไปกับเขา

 

 

แต่เขาก็รู้จักนางดี ต่อให้นางรู้เรื่องเหล่านี้ นางก็ไม่มีทางไปกับเขา ด้วยเพราะตั้งแต่นางก้าวเข้าสู่ตำหนักฉีอ๋องด้วยการแต่งงาน ความเป็นความตาย ความรุ่งเรืองและความอัปยศของนางก็ล้วนผูกติดไว้กับม่อจิ่งฉีทั้งสิ้น ต่อให้ม่อจิ่งฉีกลายเป็นประมุขที่ทำให้แคว้นต้องล่มสลาย นางก็ทำได้เพียงตายไปกับแคว้นพร้อมๆ กับเขา

 

 

“ไม่ว่าม่อจิ่งฉีจะทำอันใดไว้ เจ้าก็จะไม่ไปจากเขาใช่หรือไม่!” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยถามเสียงเย็น

 

 

ฮองเฮาอึ้งไป เดิมนางเป็นสตรีที่หลักแหลมมากอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเฟิ่งจือเหยาพูดเช่นนี้ ก็เข้าใจทันทีว่า ม่อจิ่งฉีจะต้องทำอันใดที่ไม่สมควรทำอย่างแน่นอน มุมปากนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มฝืดเฝื่อนจางๆ “ด้วยฐานะของฮองเฮา เมื่อไม่อาจโน้มน้าวให้ฮ่องเต้ประพฤติตนอย่างมีคุณธรรมได้ ถือเป็นความผิดของข้า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าก็ทำได้เพียงต้องร่วมรับผิดชอบกับเขาเท่านั้น อาเหยา เจ้าไปเถิดแล้วอย่าได้กลับมาอีก ต่อไปหากมีโอกาส ช่วย…ดูแลฉางเล่อแทนข้าด้วยเถิด”

 

 

เฟิ่งจือเหยานิ่งเงียบไม่ตอบ คุณชายเฟิ่งซานต่อให้ไหวพริบดีและเจรจาเก่งกาจเพียงใด ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของนาง เพียงแค่นางมองเขาเรียบๆ เขาก็พูดอันใดไม่ออกแล้ว

 

 

นิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดเฟิ่งจือเหยาก็พยักหน้า หันมองฮองเฮาแล้วเอ่ยว่า “ได้ ข้าจะไป…เจ้าดูแลตัวเองด้วย…”

 

 

เมื่อเห็นเฟิ่งจือเหยากระโดดออกทางหน้าต่างและหายไปในความมืดแล้ว ฮองเฮาก็ได้แต่นิ่งอึ้งมองเปลวไฟที่สั่นไหวตรงหน้าอย่างใจลอย ผ่านไปพักใหญ่ก็ทำได้เพียงระบายลมหายใจออกเบาๆ เท่านั้น

 

 

เมื่อเฟิ่งจือเหยาออกจากวัง ก็กระโดดข้ามถนนตรอกซอกซอยและอาคารบ้านเรือนต่างๆ พาตนเองที่จะคงหัวเสียและแผ่รังสีเย็นเยียบเข้ามาที่เรือนด้านหลังของโรงละครชิงเฉิง

 

 

ยามนี้ล่วงเข้าสู่ยามสี่แล้ว ถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยหญิงคณิกา แต่ก็กลับคืนสู่ความสงบเสียนานแล้ว เฟิ่งจือเหยากระโดดลงมาได้อย่างสบายๆ เอาขาถีบประตูก่อนก้าวเข้าไปด้านใน

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่ที่รออยู่ด้านในถึงกับตกอกตกใจ เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “นี่เจ้าเป็นอันใดไป”

 

 

เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า เดินไปนั่งลงข้างโต๊ะ ยกจอกสุราขึ้นกรอกลงปากทันที

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่เท้าคางมองท่าทีของเขา ก็รู้ว่าจะต้องไปเจอเรื่องอันใดไม่ดีมาอย่างแน่นอน จึงยื่นมือไปตบบ่าเฟิ่งจือเหยา “มีเรื่องอันใดไม่สบายใจหรือ ไว้ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนเจ้าสามวันสามคืน ไม่เมาไม่พักเอง เพียงแต่ยามนี้…เจ้าไปที่วังมาเป็นอย่างไรบ้าง หาดอกปี้ลั่วเจอหรือไม่”

 

 

เฟิ่งจือเหยาวางจอกเหล้าลง ขมวดคิ้วพร้อมส่ายหน้า “หน่วยกิเลนตั้งหลายคนแทบจะพลิกตำหนักบรรทมของม่อจิ่งฉีหาอยู่แล้ว ก็ยังดูไม่มีวี่แววแม้แต่น้อย แม้แต่ห้องลับในตำหนักบรรทมก็ค้นดูจนทั่วแล้วด้วย”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่ถานจี้จือจะหลอกเรา”

 

 

เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า “ไม่มีทาง ธิดาเทพแห่งหนานเจียงเวลานี้ยังถูกจับตัวอยู่ในซีเป่ยอยู่เลย รัชทายาทหญิงแห่งหนานเจียงกับคุณชายชิงเฉินเป็นสหายสนิทกัน หากธิดาเทพแห่งหนานเจียงตายเสีย อิทธิพลของถานจี้จือในหนานจ้าวก็จะหายวับไปทันที”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่เอามือเคาะหน้าผากอย่างใช้ความคิด ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเหลือบตาขึ้นเอ่ยถามเฟิ่งจือเหยาว่า “หากพวกเราไปถามม่อจิ่งฉีตรงๆ เลยเล่า เจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่”

 

 

“ถามม่อจิ่งฉี” เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป หันมองเหลิ่งเฮ่าอวี่ด้วยความไม่เข้าใจ

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่โบกพัดในมือเบาๆ พลางเอ่ยว่า “เกรงว่าในโลกนี้นอกจากตัวม่อจิ่งฉีเองแล้ว คงไม่มีผู้ใดรู้อีกว่าเขาเอาดอกปี้ลั่วไปซ่อนไว้ที่ใด หากไม่ถามกับเจ้าตัวแล้วจะทำอย่างไรได้ ไม่ว่าจะด้วยเวลาของเจ้าหรือสุขภาพของท่านอ๋อง ต่างก็ไม่อำนายให้พวกเราทำงานช้า”

 

 

เฟิ่งจือเหยาจำต้องยอมรับว่าที่เหลิ่งเฮ่าอวี่พูดนั้นไม่ผิด เขาไม่อาจรั้งอยู่ที่เมืองหลวงได้นานเกินไปนัก อีกทั้งท่านเสิ่นก็เคยพูดไว้ว่า สุขภาพของท่านอ๋อง ถึงแม้จะมีหญ้าเฟิ่งเหวยที่ไม่แน่ว่าจะมีฤทธิ์อยู่เพียงสองปี แต่อย่างไรก็คงไม่นานไปกว่านี้มากนัก แต่ในยามนี้ ผ่านมากว่าปีครึ่งแล้ว ต่อให้พวกเขามีเวลาให้เสีย แต่สุขภาพของท่านอ๋องคงรอไม่ไหว

 

 

เฟิ่งจือเหยานิ่งใคร่ครวญอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าขอคิดให้ดีก่อน ใช่สิ ทางด้านเม็ดบัวเลี่ยหั่วที่เป่ยหรงเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยว่า “ตั้งแต่ท่านอ๋องกลับมาเดินได้ เชื่อว่าหลายคนคงเข้าใจว่าพิษในกายท่านอ๋องถูกถอนออกไปหมดแล้ว จึงมิได้ให้ความสนใจกับเม็ดบัวเลี่ยหั่วเท่าแต่ก่อน ข้าจัดเตรียมคนไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงเม็ดบัวเลี่ยหั่วสุกเต็มที่ ก็จะไปนำมาทันที”

 

 

เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ เตรียมการไว้มากหน่อยก็ดีกว่า หากเกิดถึงเวลาดอกปี้ลั่วมาไม่ทัน หากมีเม็ดบัวเลี่ยหั่ว อย่างไรท่านเสิ่นก็คงคิดหาทางออก”

 

 

อันที่จริง ทุกคนมิได้มีความหวังอันใดมากมายกับดอกปี้ลั่ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หาดอกปี้ลั่วจำเป็นต้องใช้เวลาและกำลังกายมาก แต่สูตรยาที่หายสาบสูญไปนานแล้วก็เป็นอีกเรื่องที่ยุ่งยาก ดังนั้นในขณะที่เสิ่นหยางศึกษาเรื่องดอกปี้ลั่วนั้น ก็ได้หันไปสนใจสูตรยาที่สามารถทดแทนได้ หรือสามารถควบคุมพิษในกายท่านอ๋องเป็นการชั่วคราวไว้ด้วย

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ทุกสิ่งที่พวกเขาทำในยามนี้ ล้วนทำขึ้นด้วยเห็นแก่สุขภาพของท่านอ๋องในปัจจุบัน หากวันใดวันหนึ่งเกิดอันใดขึ้นกับท่านอ๋อง ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาคงเท่ากับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

 

 

และนี่เองก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่กองทัพตระกูลม่อปักหลักอยู่ที่ซีเป่ยมายาวนานเช่นนี้ โดยที่ผู้บัญชาการทหารระดับสูงของกองทัพตระกูลม่อมิได้คิดจะเข้าใกล้ด่านมากไปกว่านี้ หากเมื่อใดเกิดเรื่องขึ้นกับท่านอ๋อง ยิ่งยามนี้พวกเขาลงมือทำมากเท่าใด ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจกองทัพตระกูลม่อมากเท่านั้น

 

 

“ได้ ตกลงตามนี้ ต้องการคนฝีมือดีมากน้อยเพียงใด เจ้าบอกข้าก็แล้วกัน” เหลิ่งเฮ่าอวี่ลุกยืนพร้อมเอ่ยขึ้น

 

 

คนที่เฟิ่งจือเหยาพามาในครั้งนี้มีเพียงองครักษ์ลับจำนวนหนึ่ง กับคนของหน่วยกิเลนอีกเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือ แต่ก็ถือว่ามีจำนวนน้อยเกินไป

 

 

เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “พูดถึงยอดฝีมือ ก่อนมาพระชายาได้ให้ยอดฝีมือกับข้ามาคนหนึ่ง หากเขาเชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดี ต่อให้ไปจับตัวม่อจิ่งฉีมา ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

 

 

“อ้อ?” เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ในมือพระชายายังมียอดฝีมือเช่นนั้นอยู่อีกหรือ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาหัวเราะหึหึ “มูฉิงชัง หนึ่งในสี่ยอดฝีมือแห่งใต้หล้า กับหน่วยกิเลน เจ้าว่าพอหรือไม่”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่อึ้งไป ก่อนยิ้มพร้อมถูมือ “พอ เกินจะพอเลยทีเดียว” หนึ่งในสี่ยอดฝีมือแห่งใต้หล้า เมื่อรวมกับหน่วยกิเลนที่หายตัวไปมาได้อย่างกับภูตผี นอกจากวังหลวงของม่อจิ่งฉีจะมีกำแพงเหล็กจนไม่มีรูโหว่แม้แต่น้อยแล้ว อย่างไรก็ไม่ต้องกังวลว่าจะจับตัวเขาออกมาจากในวังไม่ได้