ยังไม่ทันที่เฟิ่งชิงเฉินจะเดินมา หวังชีก็เดินไปหานาง “ชิงเฉิน ข้าเรียกเจ้าแบบนี้ได้หรือเปล่า?”
คนอยากได้ความช่วยเหลือ ท่าทางของหวังชีถือว่าทำได้ไม่เลวเลย
“ท่านก็กำลังเรียกอยู่นี่ คุณชายหวังมาหาข้ามีธุระอะไรหรือเปล่า?” เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าการที่หวังชีเรียกชื่อนางตรงๆไม่ได้หมายความว่าเขามองนางเป็นสหาย
เป็นเพื่อนกันงั้นหรือ?
ในสายตาของหวังชี หากนางมีผลประโยชน์ก็สามารถเป็นเพื่อนได้ หากไม่มีก็ไม่ต้องเป็นอะไรกันทั้งนั้น
“ชิงเฉิน ข้านึกว่าเราเป็นสหายกันแล้ว เจ้าเรียกข้าว่าหวังชีหรือไม่ก็จิ่นหานก็พอแล้ว”
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มและตอบกลับไปว่า “ที่มาหาข้าคงมีธุระน่ะสินะ?”
คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลหวังมารอนางที่หน้าจวนเซี่ยด้วยตัวเอง หากบอกว่าไม่มีธุระ อมพระมาพูดก็ไม่มีใครเชื่อ
หวังชีก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมา แล้วอีกอย่าง เฟิ่งชิงเฉินก็ได้พูดคุยกับฮูหยินรองเซี่ยมานานพอสมควร ตอนนี้หวังชีพอจะรู้แล้วว่าควรจะสื่อสารทำนองไหน
แม้หวังชีไม่ได้เข้าไปข้างใน แต่เขาก็รับรู้ในทุกๆคำพูดและการกระทำของเฟิ่งชิงเฉิน
สำหรับความสามารถของเฟิ่งชิงเฉิน นี่ถือเป็นความรู้ใหม่สำหรับเขา เรื่องที่ฮูหยินรองเซี่ยยังไม่ตั้งครรภ์สักทีนั้นก็เป็นความกังวลใจของตระกูลหวังเช่นเดียวกัน ไม่นึกเลยว่าสำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เรื่องนี้เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดังนั้น หวังชีจึงไม่พูดอ้อมค้อม เขาบอกกับนางตรงๆว่า “ชิงเฉิน ที่ข้ามาหาเจ้า ก็เพราะว่าข้าอยากจะให้เจ้าไปช่วยดูคนๆหนึ่งหน่อยน่ะ”
“ไปดู? หมายถึงไปดูอาการคนไข้ใช่หรือเปล่า?” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าและจ้องตาของหวังชี “ใครล่ะ? แล้วป่วยเป็นอะไร?”
เป็นหมอก็ต้องคิดให้รอบคอบ หมอไม่ใช่เทวดา ใช่ว่าจะรักษาได้สารพัดโรค
ผู้ป่วยบางคน หากอาการย่ำแย่ไม่เท่าไรจึงจะพอรักษาได้ มิฉะนั้นตัวหมอเองนั่นแหละจะลำบาก นางไม่ใช่คนโง่เขลา และยังคงมองว่าทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน นางจะพยายามรักษาอย่างสุดความสามารถ
บนโลกใบนี้ ผู้ที่มองว่าทุกคนเท่าเทียมกันคงมีไม่มากนัก แต่สำหรับนางแล้ว คนไข้ของนาง ขอเพียงพอจะมีโอกาสรอด นางก็จะช่วยรักษาอย่างเต็มที่
หวังชีมองดวงตาสุกใสของเฟิ่งชิงเฉิน เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปว่า “พี่ชายของข้าเอง คุณชายใหญ่ของตระกูลหวัง ชื่อหวังจิ่นหลิง ดวงตาของเขามีปัญหา”
“โรคทางสายตางั้นหรือ? เป็นมาแต่กำเนิดหรือว่าเพิ่งจะมาเป็น แล้วเขาตาบอดสนิทหรือว่าพอมองเห็นอยู่บ้างล่ะ” นางไม่ใช่จักษุแพทย์ ไม่ค่อยเชี่ยวชาญด้านดวงตาเท่าไรนัก
แต่มีกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะอยู่ นางพอจะตรวจดูอาการคนไข้ได้ แล้วเรื่องยาที่ต้องใช้ล่ะ?
นางไม่แน่ใจว่าในกระเป๋านั้นจะมียารักษาดวงตาด้วยหรือไม่ เพราะกระเป๋าใบนี้เป็นกระเป๋าสำหรับศัลยแพทย์มากกว่า
และที่สำคัญ โรคเกี่ยวกับดวงตานั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่ เฟิ่งชิงเฉินยิ่งต้องคิดให้ถี่ถ้วน
“เป็นมาแต่กำเนิด ตาบอดสนิทมองไม่เห็นแม้แต่น้อย” หวังชีตอบอย่างหนักแน่น แววตาของเขาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด
เป็นมาแต่กำเนิด? มองไม่เห็นอะไรเลย?
เฟิ่งชิงเฉินต้องการปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาคิด แต่หวังชีไม่ให้โอกาสนั้นกับนาง เขาชิงพูดขึ้นมาว่า “ชิงเฉิน เจ้าไปดูเขาก่อนได้หรือไม่? จะรักษาได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากัน อย่างน้อยๆเจ้าก็ช่วยหยิบยื่นโอกาสให้กับพี่ชายข้า เขา……ทุกข์ทรมานมากๆเลย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หวังชีก็เหมือนอยากจะร้องไห้
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจความรู้สึกญาติคนไข้เป็นอย่างดี แต่ว่า……นางต้องนึกถึงตัวเองด้วย
หากหวังชีเป็นชาวบ้านทั่วๆไป นางคงตอบตกลงไปนานแล้ว ถึงแม้จะไม่มีเงินค่ารักษาก็ไม่ใช่ปัญหา แต่หวังชีเป็นคนตระกูลหวัง ตระกูลใหญ่ตระกูลดังเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากหาเรื่องมาใส่ตัว
หากตัวเองยังปกป้องตัวเองไม่ได้ นางจะไปช่วยเหลือคนได้อย่างไร ดังนั้น……
“หวังชี ต้องขอโทษจริงๆนะ หากเป็นคนทั่วๆไป ข้าคงไปดูให้ได้ แต่นี่เป็นตระกูลหวัง ข้าไปไม่ได้หรอก ท่านคงเข้าใจนะ”
“ชิงเฉิน เจ้าวางใจเถอะ พี่ใหญ่ของข้าไม่ได้อยู่ที่จวนใหญ่ เขาอยู่ที่นอกเมือง และข้าก็ไม่ได้บอกพี่ใหญ่ว่าเจ้าจะไปตรวจตาให้ เพียงแค่แวะเวียนไปหาเฉยๆข้าขอรับรองว่าจะไม่มีปัญหาวุ่นวายใดๆเกิดขึ้นกับเจ้าแน่นอน” คนอย่างหวังจิ่นหานย่อมคิดหน้าคิดหลังอย่างรอบคอบ
เฟิ่งชิงเฉินเคยช่วยซูเหวินหาง หากเกิดปัญหาขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉิน ซูเหวินชิงจะต้องปกป้องนางแน่นอน
แม้ตระกูลหวังจะไม่เกรงกลัวตระกูลซู แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเป็นศัตรูกับตระกูลซูนี่นา
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นไปก็ไป”
หวังชีวางแผนไว้พร้อมแล้ว หากนางไม่ไปก็ดูกระไรอยู่ ส่วนตัวนางเองก็ไม่อยากปฏิเสธผู้ป่วยด้วย
ครานี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี หวังชีออกปากเชิญนางให้ไปนั่งรถม้า
เฟิ่งชิงเฉินไม่ปฏิเสธหรือแสดงท่าทีเย้ยหยัน นางทำเหมือนกับว่าความบาดหมางในอดีตนั้นไม่เคยเกิดขึ้น เฟิ่งชิงเฉินขึ้นไปบนรถม้า
ภายในรถม้าคันเล็ก มีเพียงหวังชีและเฟิ่งชิงเฉินสองคน หวังชีอยากชวนเฟิ่งชิงเฉินคุยเล่น แต่ไม่นึกเลยว่า ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินขึ้นมานั่งบนรถม้า นางก็หลับตาทำสมาธิ
การแสดงออกของนางบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากพูดมาก หวังชีก็ไม่รบกวนนาง แถมยังหลับตานั่งทำสมาธิเลียนแบบนางอีกด้วย
เมื่อหลับตาลง มองอะไรไม่เห็นแล้ว หูและจมูกก็ทำงานได้ดีขึ้น
หวังชีถึงกับได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเฟิ่งชิงเฉิน และยังได้กลิ่นยาอ่อนๆจากร่างกายเฟิ่งชิงเฉิน ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจของหวังชีจึงค่อยๆเพิ่มจังหวะการเต้น
ไม่นานนัก รถม้าก็มาถึงนอกเมืองแล้ว มันเคลื่อนตัวไปทางที่พำนักคุณชายใหญ่ตระกูลหวัง……
เมื่อรถม้าวิ่งผ่านกลุ่มต้นไม้ เงาดำ 2 ร่างได้กระโดดลงมาบนยอดไม้ หากในตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินเหลียวมองไปนอกรถม้า ก็จะได้พบกับชายชุดดำคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่นางเองก็รู้จัก
เฟิ่งชิงเฉินย้ำนักย้ำหนา ว่าให้หลานจิ่วชิงพักฟื้นอยู่ในจวน
แต่ หากหลานจิ่วชิงยอมฟังนาง นั่นก็ไม่ใช่หลานจิ่วชิงน่ะสิ
……
เฟิ่งชิงเฉินหารู้ไม่ว่าหลานจิ่วชิงอยู่ข้างนอก แต่หลานจิ่วชิงกลับรู้ว่าในรถม้านั้นคือเฟิ่งชิงเฉิน นางถูกคุณชายเจ็ดตระกูลหวังเชิญไปรักษาดวงตาให้กับคุณชายใหญ่ตระกูลหวัง
เรื่องนี้ หลานจิ่วชิงรู้ได้อย่างไรกัน?
ง่ายมาก บนโลกนี้มีความลับเสียที่ไหน
เรื่องที่หวังชีเข้าออกจวนเฟิ่งถึง 2 ครั้งถูกนำไปพูดปากต่อปากในเมืองหลวง แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่น่าฟัง และคำครหาจะต้องไปตกอยู่ที่เฟิ่งชิงเฉิน
บ้างก็ว่าเฟิ่งชิงเฉินเจ้าเล่ห์นัก ถึงกับยั่วยวนคุณชายเจ็ดตระกูลหวังให้ไปเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของนาง ซูเหวินชิงเองก็ยังพลอยติดร่างแหคำนินทาไปด้วย
พูดกันปากต่อปาก ใครๆก็พูดกันไปเรื่อยเปื่อย เฟิ่งชิงเฉินเป็นนางปิศาจร้าย นางหลอกล่อทั้งคุณชายเจ็ดและซูเหวินชิง
ในปีนี้ เรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเฟิ่งชิงเฉิน มักจะพาให้ผู้คนโยงไปคิดในทางที่เสียหาย
แม้กระทั่งในหมู่คุณชายทั้งหลาย ถึงกับพนันกันว่าต้องใช้เงินเท่าไรจึงจะได้เฟิ่งชิงเฉินมาครอบครอง ผู้ที่จะได้เป็นแขกกิตติมศักดิ์คนต่อไปของนางจะเป็นใครกันนะ?
ได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว หลานจิ่วชิงก็รู้สึกฉุนเฉียว มันทำให้เขานึกอยากจะฆ่าคน
แต่ทว่า……เขานึกโมโหเฟิ่งชิงเฉินมากกว่า
ผู้หญิงคนนี้จะเคารพตัวเองหน่อยได้ไหม อยู่ห่างๆผู้ชายรุ่มร่ามพวกนั้นหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร
โอ้……ลืมไป หลานจิ่วชิงก็อยู่ในกลุ่มพวกผู้ชายรุ่มร่ามเหมือนกันนี่
จะว่าไปแล้ว คนอย่างเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ชอบหาเรื่อง หากนางคิดจะหาเรื่อง นางก็จะบุกไปถึงที่
นี่คงจะไม่……
รถม้าโคลงเคลงมาตลอดช่วงบ่าย จนกระทั่งมาถึงที่พำนักคุณชายใหญ่ตระกูลหวัง หวังชีช่วยดูแลตอนเฟิ่งชิงเฉินก้าวลงจากรถม้า
สิ่งที่นางมองเห็น ที่นี่ไม่ใช่สถานที่อันโอ่อ่า เป็นเพียงห้องโทรมๆเพียงห้องเดียว
ท่ามกลางแสงสว่างยามโพล้เพล้ ผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าบ้าน เขาหลับตาทั้งสองข้าง ดูเหมือนว่ากำลังนั่งรับลม และดื่มด่ำกับแสงตะวันยามเย็น พร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมๆของดอกไม้ เป็นความสุขอย่างหนึ่งของชีวิต
ครั้งแรกที่ได้พบ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกได้ทันทีว่านางชื่นชอบชายคนนี้ เป็นความชื่นชอบที่ไม่ใช่แบบชายหญิง นางชอบเขาเพราะเขามีเสน่ห์บางอย่าง
เฟิ่งชิงเฉินหารู้ไม่ว่าหลานจิ่วชิงอยู่ข้างนอก แต่หลานจิ่วชิงกลับรู้ว่าในรถม้านั้นคือเฟิ่งชิงเฉิน นางถูกคุณชายเจ็ดตระกูลหวังเชิญไปรักษาดวงตาให้กับคุณชายใหญ่ตระกูลหวัง
เขาโดดเดี่ยวแต่ไม่เงียบเหงา มีแต่สงบนิ่ง สงบนิ่งเหมือนน้ำในทะเลสาบ
เขามองอะไรไม่เห็น แต่ไม่ระทมทุกข์ เขารู้สึกดีกับสิ่งดีๆที่ชีวิตมีให้
เขาเกิดในตระกูลที่สูงศักดิ์ แต่กลับดูเข้าถึงง่ายและเป็นมิตร ไม่ถือทิฐิแต่อย่างใด
เฟิ่งชิงเฉินเชื่อว่า ต่อให้มีขอทานมายืนอยู่ตรงหน้าเขา รอยยิ้มของเขา จะยังคงเป็นมิตรกับทุกคน
หากต้องหาคำมาบรรยาย เฟิ่งชิงเฉินคงต้องใช้คำว่าดีงาม หรือไม่ก็สมบูรณ์แบบ
บทที่ 39 รับหน้าที่ใหม่

บทที่ 041 มิตรสหาย