ตอนที่ 5.1 ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง (1)

หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม

ติ๋ง ติ๋ง

เสียงหยดน้ำตกลงด้านล่าง ฉันมองดูเส้นผมเปียกน้ำอย่างเหม่อลอย หมุนกลับไปมองรอบด้าน เพดานและผนังหรูหรา แต่ด้านในกลับอ้างว้างเหมือนคฤหาสน์ที่เพิ่งสร้างขึ้น อ่างอาบน้ำที่ฉันกำลังแช่ตัวอยู่และชั้นวางของเป็นของทั้งหมดที่มีอยู่ เป็นพื้นที่ที่คำนึงถึงเพียงแต่การใช้งาน มองไม่เห็นของตกแต่งเลยสักชิ้น

‘เข้ากันดีนะ’

บางทีอาจเป็นเพราะบ้านมีความคล้ายคลึงกับเจ้าของ บ้านของราธบันจึงให้ความประทับใจที่คล้ายกับเขา

ที่นี่คือบ้านของราธบัน หรือพูดให้ชัดเจนคือบ้านของผู้บัญชาการอัศวินซึ่งอยู่ในวิหารหลวง ด้วยขนาดที่ใหญ่โตของวิหารหลวง ทำให้อัศวินส่วนใหญ่ที่สังกัดในหน่วยอัศวินแห่งวิหารพักแรมอยู่ในที่พักส่วนตัวของพวกเขาซึ่งอยู่ด้านหนึ่งของวิหารหลวง เหล่าอัศวินที่เพิ่งเข้ามาไม่นานจะได้อาศัยรวมกันในหอพักในตึกหน่วยอัศวินแห่งวิหาร แต่เหล่าอัศวินที่มีตำแหน่งสูงขึ้นมาหน่อยจะได้รับบ้านพักส่วนตัวของตน

แน่นอนว่าเพราะราธบันเป็นผู้บัญชาการอัศวิน เขาจึงได้รับบ้านมาหนึ่งหลัง และด้วยตำแหน่งของเขา เขาจึงได้รับบ้านหลังใหญ่พอที่จะเรียกว่าคฤหาสถ์ซึ่งตั้งอยู่ส่วนลึกกว่าบ้านหลังอื่นมาก เขาพาฉันมาที่นี่

‘ก็นะ สภาพแบบนี้จะไปที่ไหนได้’

สภาพที่ฉันเห็นเมื่อเข้ามาในห้องน้ำเรียกได้ว่าเละเทะ ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่ต่างจากคนบ้า ดวงตาบวมเปล่งจากการร้องไห้ จมูกแดง ชุดนอนขาดวิ่นที่ปกปิดอะไรไปไม่ได้มากกว่าส่วนที่วาบหวิว

“ฮู…”

ฉันรู้สึกได้ว่าร่างกายที่แข็งเกร็งค่อยๆ คลายลงเพราะน้ำอุ่น

‘เป็นของที่ราธบันใช้เป็นปกติใช่ไหมนะ?’

ฉันคิดขึ้นมาเมื่อเห็นอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่พอที่จะให้ชายอีกคนเข้ามาได้แม้ฉันจะนั่งอยู่แล้ว หันไปมองด้านข้างก็พบเพียงสบู่หยาบๆ หนึ่งก้อน ย้อนนึกถึงที่เขากล่าวขอโทษเรื่องสถานที่ขาดแคลนอยู่หลายครั้งก่อนจะออกจากห้องอาบน้ำไป ก็นะ เมื่อเทียบกับน้ำมันหอมและน้ำหอมที่มีอยู่มากมายในห้องพักของนักบุญหญิงก็ไม่แปลกที่เขาจะคิดว่าห้องน้ำที่มีเพียงสบู่ก้อนเดียวมันขาดแคลน

สบู่ส่งกลิ่นเย็นสบายอ่อนๆ เมื่อหยิบขึ้นมา

‘กลิ่นเมื่อครู่นี้’

เป็นกลิ่นที่โชยมาจากอ้อมอกของเขาตลอดเวลาที่ถูกอุ้มมาที่นี่เมื่อครู่ก่อน ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน

ฉันตั้งสติแล้วเริ่มชำระร่างกายทุกซอกทุกมุมอีกครั้ง ความเจ็บแปลบที่รู้สึกขึ้นมาตอนที่มือเฉียดไปโดนบริเวณเหนือหน้าอก ฉันก้มลงมองและหลุดถอนหายใจ

หน้าอกที่ถูกองค์ชายรัชทายาทขบกัดและดูดดึงกำลังบวม โดยเฉพาะยอดอกซึ่งรุนแรงถึงขนาดที่แค่เฉียดผ่านเล็กน้อยก็ทำให้หลุดเสียงร้องออกมาโดยอัตโนมัติ

‘หากไม่ออกมาจากที่นั่น…’

ย้อนนึกถึงองค์ชายรัชทายาทที่เตรียมจะกระแทกแท่งเนื้อเข้ามาอีกครั้งอย่างเป็นธรรมชาติมาก ฉันเคยได้ยินมาว่าหลังเสร็จกิจมันจะเหนื่อยมากแต่กลับไม่เห็นสีหน้าแบบนั้นของเขาเลย ถ้าฉันยังอยู่ในห้องต่อไปคงต้องมีอะไรกับเขาไปจนถึงเช้าแน่

‘ร่างฉันคงแหลกแน่’

หน้าอกก็ส่วนหน้าอก แต่ด้านในของลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันก็ยังคงรู้สึกแสบร้อน เมื่อนึกถึงสัมผัสที่สอดแทรกเข้ามาด้านในอย่างไม่ลังเลฉันก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่ว่ามันน่ากลัว เพียงแค่ตั้งแต่มีชีวิตมาฉันยังไม่เคยยอมรับคนอื่นอย่างลึกซึ้งด้วยวิธีนี้มาก่อน และอาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกมันจึงรู้สึกแปลกและไม่คุ้นเคย

มองดูร่องรอยที่หลงเหลืออยู่บนหน้าอกสักพักฉันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และเลื่อนมือลงด้านล่าง บริเวณระหว่างขาที่แก่นกายองค์ชายรัชทายาทขยับเข้าออกยังคงทิ้งความเจ็บปวดเลือนลางเอาไว้

‘คิดว่าถ้าเป็นร่างอีเบลลีน่าแล้วไม่เป็นอะไรสะอีก’

ฉันย้อนนึกถึงท่อนล่างของเขาที่มองเห็นใต้แสงจันทร์ แม้จะรู้สึกเขินอายแต่ฉันก็นึกถึงความทรงจำของอีเบลลีน่าถึงชายหนุ่มที่นางเคยมีอะไรด้วย ไม่นานฉันก็ถอนหายใจยาว

“เพราะใหญ่มากนี่เอง…”

ดังนั้นร่างกายของนางที่ควรจะเคยชินแล้วก็คงยากลำบากพอควร

ฉันถูน้ำกามของเขาที่แห้งติดด้านในขาอ่อน อันที่จริงฉันเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อความจริงที่ว่าฉันมีอะไรกับองค์ชายรัชทายาทแล้ว พูดตามตรงจากใจแล้วฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงกลัวที่จะทำเรื่องนี้ขนาดนี้และยืนกรานว่าทำไม่ได้

‘ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจแต่ว่า…’

ฉันไม่รู้สึกถึงความรังเกียจและความไม่สบายใจที่มีอยู่อย่างคลุมเครือแล้ว แม้องค์ชายรัชทายาทเลออนจะขยับกายอย่างเร่งรีบแต่เขาก็ทำอย่างนุ่มนวลราวกับกำลังสอน ราวกับสัมผัสได้ว่านี่คือครั้งแรกของฉัน

‘ช่างเถอะ ถึงฉันจะเป็นครั้งแรกแต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกสะหน่อย’

อีกทั้งฉันยังไม่อยากให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย

‘ว่าไปแล้วจากนี้ไปองค์ชายรัชทายาทเลออนจะทำอย่างไรต่อไป’

สายตาที่เขามองมาอย่างไม่ไว้วางใจตอนที่ออกมาจากที่นั่นยังคงติดอยู่ในหัว ฉันคว้าเอาคนที่เดินผ่านมาเพราะความจำเป็นแต่หลังจากใช้ประโยชน์เสร็จก็หนีออกมาตามใจ

‘คงจะหัวเสียน่าดู’

นั่นมันเป็นเรื่องไร้สาระและคงทำให้เขาโกรธ ฉันเป็นคนเอ่ยปากชวนก่อนแต่อยู่ดีๆ ก็จากไปตามใจ ไม่รู้เพราะอะไรแต่ฉันถึงกับหวังว่าบางทีเขาอาจจะจากวิหารหลวงไปก่อนจะเช้า เขาคือองค์ชายรัชทายาท เขาไม่ใช่คนที่จะอยู่เฉยๆ แน่ถ้าถูกปฏิบัติด้วยแบบนี้

‘แล้วคงไม่ใช้สาเหตุนี้มาประกาศสงครามหรอกนะ’

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทั้งเขาหรือฉันจะไปพูดที่ไหนได้อย่างภาคภูมิใจ

‘รีบกลับไปก็คงดี’

ตอนที่กำลังคิดอยู่แบบนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“ค่า!”

“…ข้าวางชุดให้เปลี่ยนไว้ด้านนอกนะขอรับ”

น้ำเสียงของราธบันเรียบนิ่ง ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาไกลออกไปพร้อมกับเสียงปิดประตูด้านนอก

ฉันรีบอาบน้ำ ที่นี่ไม่ใช่ห้องของฉัน ฉันไม่สามารถจมอยู่กับความคิดไปเรื่อยๆ แบบนี้ได้

‘รู้สึกผิดจัง ทำยังไงดี’

แค่กลับมาในสภาพนี้ก็มากพอแล้ว ยังมายืมห้องน้ำในบ้านของคนอื่นใช้อีก ฉันใช้ผ้าขนหนูบดบังร่างกายแล้วแง้มประตูออกเล็กน้อย ตรงนั้นมีเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่ดูเหมือนเสื้อนักบวชทั่วไปพับอยู่อย่างเป็นระเบียบ ฉันเช็ดตัวอย่างรวดเร็วและสวมลงไป โชคดีที่รอบอกเสื้อมีขนาดพอดีเลยทำให้ใส่ได้อย่างสบาย

ชุดนอนขาดวิ่นและชุดชั้นในเปื้อนของเหลวขององค์ชายรัชทายาทเลออนที่วางอยู่ในห้องน้ำทำให้ฉันกลัดกลุ้มอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจพับมันใส่ไว้ในผ้าขนหนู แม้จะน่าอายแต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว

‘จะวางทิ้งไว้ที่นี่ไม่นี่นา’

ถ้าเป็นห้องของนักบุญหญิงฉันคงแอบทิ้งไปแล้ว แต่ถ้าทิ้งไว้ที่นี่มันจะเป็นเรื่องเสียมารยาทกับเซอร์ราธบันขนาดไหนกัน หากเขาเข้ามาเห็นหลักฐานที่นักบุญหญิงทิ้งเอาไว้หลังจากเกลือกกลั้วกับผู้ชาย บางทีพอฉันกลับไปเขาคงจะเผามันทิ้งไปเลยก็ได้

พอใส่เสื้อเสร็จและเดินถือผ้าขนหนูออกมา ฉันเห็นเขานั่งอยู่บนโซฟาตัวหยาบในห้องนั่งเล่นด้วยท่าทีเคร่งขรึม ฉันโค้งศีรษะไปทางเขา

“ขอบคุณค่ะ เซอร์ราธบัน ดึกดื่นป่านนี้แล้วข้ายังมาใช้ห้องน้ำในบ้านคนอื่นตามใจชอบ…”

“ไม่เป็นไรขอรับ”

เขามองมาที่ฉันแล้วเอ่ยปาก

“ขออภัยที่ไม่มีเสื้อผ้าที่ขนาดพอดี”

“ไม่เป็นไรค่ะ ป่านนี้แล้วแค่เจ้าช่วยหาเสื้อผ้ามาให้ก็เพียงพอแล้ว นักบวชที่ให้ยืมชุดตัวนี้คือใครหรือ เดี๋ยวข้าจะใช้ชื่อผู้อื่นไปขอบคุณเขาทีหลัง”

ทันใดนั้น หน้าเขาพลันแดงก่ำ นัยน์ตาราธบันวูบไหว

“…”

“เซอร์ราธบัน?”

ดูจากชุดแล้วน่าจะเป็นคนที่มีรูปร่างใหญ่กว่าฉันไม่มาก ดังนั้นจึงไม่น่าใช่อัศวิน หรือว่าฉันถามอะไรที่มันวุ่นวายไปเหรอ?

‘ใครกัน’

หรือว่าเขาอาจจะมีนักบวชหญิงที่สนิทสนมเป็นการส่วนตัวแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้แต่ฉันก็ยังแอบคิดเพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางมีเสื้อผ้าแบบนี้อยู่ในบ้านเขา

แต่ทว่าใบหน้าเขากลับขึ้นสีแดงยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับดูทำตัวไม่ถูก เห็นเขาเป็นอย่างนี้แล้วฉันรู้สึกเหมือนทำเรื่องที่เลวร้ายมากลงไป

“เซอร์ราธบัน? ถ้าไม่สะดวกใจจะพูด…”

“…ข้า”

“คะ?”

“ของข้าเอง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องขอบคุณอะไรทั้งนั้นขอรับ”

ฉันก้มลงไปมองเสื้อผ้าอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดของเขา จะบอกว่านี่คือเสื้อของราธบันอย่างนั้นเหรอ?

“แต่ว่านี่มันเล็ก…”

“เป็นชุดที่ได้รับมาสมัยที่ยังรับการฝึกอยู่ตอนที่เพิ่งเข้ามาในหน่วยอัศวินแห่งวิหารครั้งแรกขอรับ”

“…”

ความเงียบงันเข้าปกคลุมระหว่างฉันกับเขาอีกครั้ง ฉันเหลือบมองด้านในของปกเสื้อ ที่นั่นมีชื่อของราธบันถูกปักอยู่อย่างสะเปะสะปะจริงๆ

ในตอนที่เหล่าอัศวินเข้ามาในหน่วยอัศวิน พวกเขาจะต้องเรียนพระคัมภีร์กับเหล่านักบวชทั่วไปและทำความคุ้นเคยกับคำสั่งสอนของวิหารหลวงอยู่หลายเดือน บางทีนี่คงเป็นเสื้อที่เขาใส่ในตอนนั้น เมื่อคิดได้แบบนั้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่หน้าของฉันก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเช่นกัน

‘นี่เป็นเสื้อของเซอร์ราธบัน…’

ไม่อยากจะเชื่อว่าชายที่ตัวใหญ่ถึงขนาดนั้นก็เคยมีสมัยที่ตัวเล็กพอๆ กับฉันด้วย ฉันก้มดูเสื้อผ้าตรงนั้นตรงนี้ด้วยความแปลกใจ เงยหน้าขึ้นมาก็ปะทะเข้ากับสายตาของเขา ราธบันกล่าวขึ้น

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ข้าจะไปส่งกลับห้อ….”

“เซอร์ราธบัน”

ฉันขัดคำพูดของเขาทันที

“ถ้าไม่รบกวนข้าขอดื่มชาสักถ้วยได้หรือไม่”

คำพูดที่เปล่งมาอย่างฉับพลันทำให้เขาตัวเกร็งขึ้นมาชั่วขณะ ไม่นานจากนั้นเขาก็ค้อมศีรษะลง

“ขอโทษขอรับ ข้าจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้”

ดูท่าว่าเขาคงคิดว่าฉันจะกล่าวโทษที่เขาไร้มารยาทว่า *‘เจ้ามีแขกมาแต่กลับไม่มีชาให้สักถ้วย’*เขารีบลุกขึ้นและหายไปในทางเดินที่เชื่อมติดกับห้องนั่งเล่น

“ฮู…”

ความประหม่าค่อยๆ ลดลงทันทีที่เขาหายไป

‘ฉันยังไม่อยากกลับไปตอนนี้’

ฉันย้อนนึกถึงเหล่านักบวชที่ทำท่าจะตามมาตอนที่ฉันวิ่งออกมาตามอำเภอใจ หากกลับเข้าไปในวิหารหลวง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เป็นอะไรหรือเปล่า พวกเขาจะต้องเอ่ยปากถามแน่นอน จริงอยู่ที่กลับไปตอนไหนก็ถูกพวกเขาซักถามเรื่องทั้งหมดเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากวุ่นวายเพราะเรื่องนั้น

‘ที่นี่สบายจัง’

ที่พักของราธบันทำให้รู้สึกสบายใจอย่างแปลกประหลาด นั่นเพราะไม่มีใครอื่นแถมเขายังไม่ถามเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับองค์ชายรัชทายาทเลย นึกถึงนิสัยของเขาแล้ว เขาคงไม่มีวันถามมันออกมาแน่ ไม่สิ เขาคงไม่อยากถามมันมากกว่า

ฉันเอาผ้าขนหนูที่ถือออกมาจากห้องอาบน้ำวางไว้ข้างๆ บนโซฟาจากนั้นก็หนุนหัวนอนลง ด้านนอกยังเป็นช่วงกลางดึก เป็นเวลาปกติที่ฉันเข้านอนไปแล้ว ฉันรู้สึกเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจเพราะการร่วมรักกับองค์ชายรัชทายาทเลออน หลังจากได้แช่ร่างกายที่เหนื่อยล้าลงในน้ำอุ่นและได้เปลี่ยนมาใส่ชุดสะอาด เปลือกตาก็พลันปิดลงโดยอัตโนมัติ

‘ไว้เซอร์ราธบันกลับมาแล้วค่อยลุกเถอะ’

แม้การชงชาจะใช้เวลาไม่นานแต่บางทีฉันอาจจะพักสายตาได้สักพัก ฉันคิดก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไป แม้จะเป็นเพียงครู่เดียวแต่ฉันก็ได้หลงลืมอีเบลลีน่าไป

***

ราธบันมุ่งหน้าไปทางห้องครัวอย่างเร่งรีบ เขาไม่ค่อยกินอะไรนอกเหนือจากปริมาณที่กำหนดในเวลาที่กำหนด ดังนั้นแม้เรียกว่าห้องครัวแต่ที่นั่นก็แทบไม่มีอะไรวางอยู่เลย วันๆ หนึ่งเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ตึกของอัศวินเลยกลายเป็นว่าห้องชงชาของที่นั่นยังมีของวางไว้มากว่าที่นี่เสียอีก

“วางไว้ตรงไหนนะ”

หลังจากนำน้ำขึ้นต้มอย่างเร่งรีบ เขาก็พลิกหาไปทั่ว ไม่นานก็ค้นเจอซองใส่ใบชาอยู่ในซอกหลืบ นี่เป็นชาที่เขารับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะอัศวินคนหนึ่งยัดใส่มือเขาพลางกล่าวว่าเป็นของที่ส่งมาจากบ้านเกิด ใครจะไปคิดว่าของที่เขาเองก็ลืมไปแล้วว่าวางไว้ด้านในจะมาจำเป็นเช่นนี้

นอกจากนักบวชที่มาเพื่อตรวจสอบภายในสัปดาห์ละประมาณหนึ่งครั้งแล้ว บ้านหลังนี้ก็แทบไม่มีใครปรากฏตัวมาอีกเลย แขกที่มาหาส่วนใหญ่ล้วนแต่ได้รับการต้อนรับที่อาคารของเหล่าอัศวินทั้งสิ้น

เป็นเพราะอ่อนไหวก็จริง แต่ราธบันก็ไม่ใช่คนที่ชอบให้ใครเข้ามาอาณาเขตของตนเองขนาดนั้น แต่ทว่า

มองดูน้ำที่เริ่มเดือดอย่างช้าๆ เขาก็ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง

“เฮ้อออ”

เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงพานักบุญหญิงกลับมาที่นี่โดยไม่แม้แต่จะคิดอะไรเลย

‘ทำไมถึงกลายเป็นแบบนีไปได้’

เขาย้อนนึกถึงเรื่องราวก่อนที่จะพานางกลับมา