ตอนที่ 5.2 ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง (2)

หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม

เขารู้มาว่าช่วงนี้ที่พักขององค์ชายรัชทายาทมีปัญหา วันนี้ก็เลยมาเพิ่มการคุ้มกันเป็นพิเศษในบริเวณรอบๆ เป็นหลัก แม้ให้เหล่าอัศวินคอยดูแลก็คงเพียงพอแล้วแต่วันนี้เขาก็ยังมาออกมาเฝ้ายามด้วยตัวเอง

‘หงุดหงิด’

หลังจากที่พบกัน ราธบันก็เฝ้าสังเกตองค์ชายรัชทายาทมาโดยตลอด เขาเป็นคนที่ให้ความรู้สึกไม่ดี จะต้องก่อเรื่องอะไรขึ้นแน่ จักรวรรดิเฝ้าหาโอกาสจะทำลายวิหารหลวงมาตลอด หากเขาไม่ทำอะไรที่นี่เลยนั่นกลับยิ่งแปลกกว่าเดิมเสียอีก

หลังจากตรวจสอบการคุ้มกันองค์ชายรัชทายาทเสร็จเขาก็ควรจะกลับไปหน่วยอัศวิน มันควรจะเป็นเช่นนั้น

‘วันนี้ตารางงานช่วงบ่ายทั้งหมดถูกยกเลิกแล้ว ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง’

เขาย้อนนึกถึงคำพูดที่นักบวชคนหนึ่งกล่าว ผ่านไปครู่หนึ่ง ราธบันก็พบว่าตนกำลังมุ่งหน้าไปทางห้องของนักบุญหญิงแล้ว

‘ทำไมกัน’

ราธบันตกใจกับตนเอง ทำไมเขาถึงกำลังมุ่งหน้าไปห้องของนักบุญหญิงราวกับเป็นเรื่องสมควรแล้ว เขายืนคิดหาเหตุผลอยู่สักพักว่าตนเองไปที่นั่นเพื่ออะไร

‘บทลงโทษ’

เขายังไม่ได้รับบทลงโทษเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันพิธีสวดภาวนาเลย ดังนั้นต้องไปถามหาบทลงโทษนั้น แต่ครู่ต่อมาเขาก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น

‘นี่มันข้ออ้าง’

ตัวเขาเองรู้ดีที่สุด ที่บอกว่าจะไปถามหาบทลงโทษนั่นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อที่เขาจะมุ่งไปห้องนักบุญหญิงเท่านั้น เขาหยุดฝีเท้าลง ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็หาเหตุผลที่ต้องไปที่นั่นตอนนี้ไม่พบ

‘กลับไปดีไหม’

หลังจากยืนหยุดนิ่งอยู่สักพัก เขาก็ค่อยๆ หมุนตัวกลับ ไม่มีเหตุเพียงพอให้ไป ถ้าเช่นนั้นการไม่ไปที่นั่นก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว ตอนนี้หากไปหน่วยอัศวินจะต้องมีงานสำคัญที่รอให้เขาไปจัดการอยู่แน่ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรการไปทำงานพวกนั้นก็เป็นสิ่งถูกต้อง

ฝีเท้าของเขาเชื่องช้าต่างจากตอนที่มุ่งหน้าไปห้องของนักบุญหญิง ในตอนนั้นเอง

ตึกๆๆ!

เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นมาจากฝั่งตรงข้าม มีใครบางคนกำลังรีบวิ่งมา ในที่แห่งนี้จะมีเรื่องอะไรที่ทำให้นักบวชเร่งรีบไปได้ ราธบันหมุนตัวกลับไปทางที่ได้ยินเสียงก็เห็นนักบวชคนหนึ่งกำลังวิ่งมา เป็นนักบวชที่มีใบหน้าคุ้นตา นางคือหนึ่งในนักบวชที่คอยเฝ้าอยู่หน้าห้องของนักบุญหญิง

สีหน้าของนางซีดขาว เมื่อนางเห็นราธบันก็วิ่งมาทางเขาทันที

“ท่านผู้บัญชาการราธบัน! ท่านนักบุญหญิง!”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านนักบุญหญิงอย่างนั้นหรือ!”

เสียงของเขาดังขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

“จะ จู่ๆ ท่านก็ออกมาแล้วสั่งว่าไม่ให้ตามไป…แล้วก็ออกไปที่ไหนแล้วไม่รู้ค่ะ! ใส่แค่เพียงชุดนอน!”

ฟังคำพูดของนักบวชแล้วราธบันก็เกือบถอนหายใจออกมา ถึงแม้ท่านจะสั่งว่าห้ามตามไป แต่หน้าที่ของเหล่านักบวชคือการคอยช่วยเหลือนักบุญหญิง ราธบันอดกลั้นจนสุดเพื่อไม่ให้ตนเองหลุดถามออกไปเสียงดัง

“ท่านไปทางไหน”

นักบวชได้ยินดังนั้นก็รีบนำทางเขาทันที ระหว่างที่กำลังเดินไป อาจเพราะหวาดกลัวสีหน้าที่ไม่ปกติของเขา นักบวชเลยพูดต่อไปไม่หยุด

“ทะ ท่านก็รู้นี่ ท่านนักบุญหญิงพูดจาน่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนเลย ถ้าเกิดฝ่าฝืนคำสั่ง…”

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจความรู้สึก เมื่อก่อนนักบุญหญิงสั่งลงโทษนักบวชที่ฝ่าฝืนคำพูดของตนอย่างไม่มีข้อแม้ นักบวชทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำจะยิ่งได้รับระดับการลงโทษที่รุนแรง บางคนถูกสั่งขังคุกเพียงแค่เคาะประตูปลุกในตอนเช้า ดังนั้นการที่เหล่านักบวชต่างก็หวาดกลัวคำพูดของนักบุญหญิงจึงไม่เกินไปนัก

หลังจากนักบวชอธิบายถึงลักษณะของนักบุญหญิงและแก้ตัวให้ตนเองเสร็จ นางก็กล่าวกับเขาบนทางเดินที่อยู่ใกล้ๆ ห้องของนักบุญหญิง

“ท่านวิ่งไปทางนั้นค่ะ! พอเลี้ยวไปท่านก็…”

“เข้าใจแล้ว”

เขาวิ่งไปตามทางที่นักบวชชี้ เขาคุ้นเคยกับโครงสร้างของวิหารหลวงถึงขนาดหลับตาเดินหาได้ เขาเดินตามรอยเท้าที่หลงเหลืออยู่จางๆ บนพรมขนสัตว์

‘แม้แต่รองเท้าท่านก็ไม่ได้สวม’

อะไรกันแน่ที่ทำให้จู่ๆ นักบุญหญิงก็วิ่งออกมาทั้งที่ใส่แค่เพียงชุดนอน อีกทั้งยังออกมาเท้าเปล่าด้วย ไม่นานทางเดินที่ปูด้วยพรมก็สิ้นสุดลง ตั้งแต่ตรงนี้ไปจะไม่สามารถไล่ตามร่องรอยของนักบุญหญิงได้อีกต่อไปแล้ว มีบันไดอยู่สุดปลายพรม ราธบันยืดตัวมองลงไปด้านล่าง

นี่คืออาคารที่ไม่ต่างจากส่วนกลางของวิหารหลวง เป็นสถานที่ที่เปิดประตูทิ้งไว้ตลอดทั้งวันและมีเหล่านักบวชเดินเข้าออกอยู่ตลอด แม้ว่าจะไม่มีคนเดินผ่านไปมามากเพราะเป็นเวลาดึกดื่นแล้ว แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนเดินอยู่

‘ไม่น่าจะลงไปด้านล่าง’

หากนักบุญหญิงปรากฏตัวขึ้นในสภาพแบบนั้น จะต้องมีคนขึ้นมาแจ้งแล้ว อีกทั้งเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของเหล่านักบวช นักบุญหญิงสั่งไว้ว่าไม่ให้ใครตามไป ในเมื่อนางพูดแบบนั้นคงไม่มีทางเข้าไปปะปนกับผู้คนแน่นอน

ราธบันเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนของบันได ความมืดมิดที่เงียบสงัดพลันเข้ามาในสายตาเขา

‘ด้านบนนี้…’

ความจริงแล้วที่นี่เป็นอาคารที่ต่างจากที่พักของนักบุญหญิง เป็นสถานที่ที่ใช้เพื่อรองรับคนที่มาเยี่ยมวิหารหลวง หลังจากที่พิธีสวดภาวนาจบลง ตอนนี้จึงมีคนจำนวนมากออกไปทำให้ว่างอยู่ชั่วคราว ราธบันหลับตาลงชั่วครู่ ภาพของนักบุญหญิงที่วิ่งขึ้นบันไดไปด้านบนกำลังถูกวาดขึ้นในหัวของเขา หลังจากลืมตา เขาก็เดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่ลังเล

อาคารที่ว่างเปล่าหลังจากคณะราชทูตกลับไปโอบล้อมไปด้วยความเงียบสงัด หากนักบุญหญิงกลั้นหายใจอยู่คนเดียวที่ไหนสักแห่งในที่แห่งนี้ เขาก็ยังต้องใช้เวลานานมากในการค้นหา ทว่าตอนนี้สิ่งที่เขากังวลกลับไม่ใช่เรื่องนั้น

‘ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาที่นี่’

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา นักบุญหญิงหมกมุ่นอยู่กับงานจนน่าประหลาด จะทำได้นานสักเท่าไรกัน ไปกินอะไรผิดสำแดงมาอีกถึงได้มาล้อเล่นแบบนี้ เหล่านักบวชที่ตั้งแง่กับท่าทีของนักบุญหญิงตอนแรก เมื่อผ่านไปไม่กี่วันพวกเขาต่างก็หุบปากลง นั่นเพราะนักบุญหญิงตั้งใจจัดการงานที่พวกเขานำมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและแม่นยำ จึงทำให้งานที่สะสมมาไว้เป็นเวลานานถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว

แม้ที่ผ่านมานักบุญหญิงจะมัวแต่พาชายหนุ่มขึ้นเตียง ไม่สนใจการงาน ทำให้งานทั้งหลายจึงถูกผัดมาตลอด แต่เหล่านักบวชก็ไม่ได้ดึงดันจะพูดถึงความจริงข้อนั้นออกมา

ในห้องหนังสือของนักบุญหญิงที่เคยเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะกลับมีเหล่านักบวชมารวมตัวกันจนแน่นขนัดอีกครั้ง สิ่งที่นักบวชคนหนึ่งพูดเสียงเบาตอนที่เดินผ่านเขาทะลุเข้ามาในหูของราธบัน

“คนเราจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปกะทันหัน ไม่ใช่ว่าใกล้ตายแล้วหรือ”

มันเป็นเหมือนคำพูดล้อเล่นคำหนึ่งแต่สีหน้าของเขาก็ยังเคร่งเครียดขึ้นมา แม้จะแปลกแต่คำพูดนั้นกลับกวนใจเขาไม่เลิก เขาย้อนนึกถึงภาพที่นักบุญหญิงแสดงให้เห็นตลอดหลายวันที่ผ่านมา หรือพูดให้ชัดเจนคือการกระทำของนาง

นางสั่งให้เพิ่มตารางงานทั้งหมดลงไปในช่วงเวลาที่ว่าง การกระทำแบบนั้นของนางดูเร่งรีบและกระวนกระวาย ราวกับกำลังหนีอะไรอยู่

‘ถ้าหากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน…’

จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนถูกบีบคอ เขาย้อนนึกถึงภาพที่นางสั่งให้เขาคลานเข่า เขารังเกียจสายตาที่เต็มไปด้วยการดูแคลนนั้น ทว่าตอนนี้เป็นอย่างไรน่ะหรือ ราธบันมองไปบนโถงทางเดินที่ไม่มีใคร ภาพของตนที่วิ่งมาจนถึงที่นี่เมื่อได้ฟังคำพูดของนักบวชมันดูไม่ได้เลย เขาไม่ได้ขึ้นมาที่นี่เพราะมาทำหน้าที่อารักขา เขาออกมาตามหาเพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของนักบุญหญิงจากใจจริง

‘แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เคยมีเรื่องมาก่อน’

เขาคลานเยี่ยงสุนัขต่อหน้าทุกคนไปหมอบแทบเท้าของนาง และร้องขอพลังศักดิ์สิทธิ์ของนาง อีเบลลีน่าหัวเราะอย่างสดใสและยิ้มเย้ยเขา หลังจากนั้นในหัวของเขามีแต่ความคิดที่อยากจะเลิกเป็นอัศวินแห่งวิหารวนเวียนอยู่ตลอด

ราธบันไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของตนเองเลย ทั้งที่ได้รับการปฏิบัติแบบนั้นแต่เขากลับกำลังมีความรู้สึกดีต่อนักบุญหญิง

ราธบันส่ายหัว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาจมอยู่ในห้วงความคิด เขาควรรีบหานักบุญหญิงให้เจอและพานางกลับไปยังที่พักอีกครั้ง ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้นและกำลังจะก้าวไปข้างหน้า

“ฮึก!”

เสียงร้องเบาๆ ดังออกมาจากปลายสุดทางเดิน เขากลั้นหายใจ นี่มันเสียงอะไรกัน? ในตอนที่เขาเงี่ยหูฟังก็พลันได้ยินเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“อ๊ะ! อื้อ! ฮึก!”

มันคือเสียงอ้อดอ้อน แถมยังเป็นเสียงของนักบุญหญิง

ชั่วขณะ ในหัวของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน ราธบันมุ่งหน้าไปทางเสียงที่ได้ยินทันที บางทีเขาอาจจะได้ยินผิดไป ทว่ายิ่งเขาเข้าไปใกล้ต้นเสียงมากเท่าไรก็ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางและเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของเตียงมากเท่านั้น รวมถึงเสียงคำรามของผู้ชายด้วย

เสียงที่กำลังผสมผสานกับเสียงครวญครางของนักบุญหญิงเป็นเสียงขององค์ชายรัชทายาทเลออนแน่นอน

วินาทีที่ได้รับการยืนยัน ราธบันยืดแขนไปทางดาบที่ตนเหน็บไว้ที่เอวโดยไม่รู้ตัว

ไอ้ลูกหมา คำด่าที่ไม่สามารถพ่นออกมาได้กลายเป็นดั่งไฟอยู่ในปากของเขา ไฟที่พยายามสะกดกลั้นพร้อมกับน้ำลายเหนียวเผาไหม้ด้านในตัวเขาในพริบตา เปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นมาจากหลอดอาหารจนถึงหน้าอก ราธบันเพิ่งรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่ามือของตนกำลังสั่น

“อ๊ะ! อึก! ย หยุด!”

เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงขยับขึ้นลงทำให้เขาจินตนาการได้ไม่ยากว่าด้านในกำลังเกิดอะไรขึ้นอยู่ ตอนนี้ ในห้องนี้ นักบุญหญิงกำลังร่วมเพศกับองค์ชายรัชทายาท ชั่วขณะที่คิดถึงความจริงข้อนั้นได้ ราธบันขยับเท้า เขาต้องเข้าไปเตะประตูนั้นและฟันไอ้เจ้านั่นเสีย

แต่ก่อนที่เท้าจะได้แตะประตู เขาก็ได้สติกลับมา

‘ด้วยสิทธิ์อะไรหรือ?’

เขาจะเข้าไปแทรกแซงเรื่องที่นักบุญหญิงกับองค์ชายรัชทายาทเลออนกำลังทำอยู่ด้วยสิทธิ์อะไรอย่างนั้นหรือ หากทำได้ก็มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น นั่นคือกรณีที่นักบุญหญิงไม่ได้ต้องการแต่องค์ชายรัชทายาทกำลังขืนใจนาง ตอนนั้นเอง เขาได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านใน

“ไหลออกมาหมดแล้ว”

เป็นเสียงที่ฟังดูอ่อนโยน อ๊ะ จากนั้นก็ได้ยินเสียงครวญครางเบาๆ ของนักบุญหญิงดังขึ้น

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะใส่มันกลับเข้าไปอีกครั้งเอง”

กรอด ราธบันคำรามออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

กุกกัก!

ฝาของกาต้มน้ำส่งเสียงดังเนื่องจากน้ำเดือด ราธบันหลุดออกมาจากภวังค์ เขามองมือที่ตั้งใจจะจับกาน้ำของตนเอง นี่เขากำมือไปแน่นถึงเพียงไหนกันแน่ มองเห็นรอยเล็บมือฝังลึกอยู่ด้านในฝ่ามือ มันดูปวดแสบปวดร้อน ถึงเลือดจะไม่ออก แต่ก็อยู่ในสภาพที่บาดเจ็บ

“เฮ้อออ”

คำพูดที่ว่าจะใส่มันกลับเข้าไปขององค์ชายรัชทายาทเลออนยังคงวนเวียนอยู่ในหู

‘ไอ้ลูกหมา เล่นท่อนล่างในวังตามอำเภอใจยังไม่พอหรือถึงคิดจะมาเล่นจนถึงในวิหารหลวง’

ความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อองค์ชายรัชทายาทพวยพลุ่งขึ้นมาอีกครั้ง อารมณ์ของเขาตอนนี้กำลังพาล

‘เพราะอะไร’

เขารู้มาว่าหลังจากฟื้นขึ้นมานางก็ไม่ได้อนุญาตให้ผู้ชายเข้ามาพบอีกเลย เขาคิดว่านักบุญหญิงจะไม่พบกับชายคนอื่นไปอีกสักระยะแท้ๆ

คิดได้แบบนั้น ราธบันก็ยกมือขึ้นมาลูบหน้าตนเอง เขาตระหนักได้ว่าความรู้สึกที่ตนมีต่อนักบุญหญิงตอนนี้คือรู้สึกเหมือนถูกทรยศ ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าเขากำลังถูกทรยศจากเรื่องอะไร ถูกทรยศเพราะเชื่อว่านางจะปรับตัวและใช้ชีวิตอย่างถูกต้องอย่างนั้นหรือ? เป็นเพราะเรื่องนั้นจริงหรือ?

ราธบันลูบหน้าตนเองอีกครั้ง ช่วงนี้เขาเกิดความคิดแปลกๆ อยู่บ่อยครั้ง

‘ถ้ามีปีศาจปรากฏตัวขึ้นที่ไหนก็คงดี’

เขาจะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องวุ่นวายพวกนี้ ราธบันยกกาต้มน้ำแล้วเทน้ำลงถ้วยชา รอสักพักก็หยิบใบชาออก จากนั้นเขาก็ยกถ้วยชาวางบนจานรองอย่างระมัดระวังแล้วถือออกมาจากห้องครัว

ถ้วยชาที่วางอยู่บนจานส่งเสียงดังคลุกคลัก เขายังคงใช้ถ้วยชาที่มีอยู่แล้วสมัยที่ได้รับบ้านพักครั้งแรก โดยปกติแล้วการเตรียมถ้วยชาที่ถูกต้องจะต้องเตรียมถ้วยชาทั้งหมดสองถ้วยคือสำหรับเจ้าของบ้านและแขก แต่ที่เขาถืออยู่ในมือตอนนี้มีเพียงถ้วยเดียวเท่านั้น

ปกติแล้วนอกจากเขาแล้วก็ไม่เคยมีใครมาจึงไม่ได้รู้สึกลำบากอะไรเป็นพิเศษ

‘ต้องเตรียมเพิ่มไว้อีกอันไหม’

เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็ส่ายหน้า ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น อย่างไรนักบุญหญิงก็คงไม่มีเรื่องให้ต้องมาที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว เขาที่กลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นพบว่านักบุญหญิงหายไปแล้ว

“…”

ไปไหนแล้ว?

‘อย่าบอกนะ’

นางกลับยังที่พักคนเดียวตอนที่เขาเข้าไปในห้องครัวอย่างนั้นหรือ? แต่ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจดังขึ้นจากด้านล่างโซฟา เมื่อมองข้ามพนักโซฟาไปก็เห็นนักบุญหญิงกำลังนอนหลับอยู่บนนั้น เขามองไปที่นางเงียบๆ

‘นั่นเสื้อผ้าชุดตัวแรกที่เขาได้รับก็เก็บเอาไว้’

นั่นเป็นเสื้อผ้าที่เขาได้รับมาตอนที่ยังเด็กมากสมัยเพิ่งเข้ามาในวิหารหลวง เป็นชุดขนาดเล็กที่ตอนนี้เขาไม่สามารถใส่มันเข้าไปได้แล้ว เขาทิ้งไปไม่ได้แต่มันก็น่าเสียดายถ้าจะมอบมันให้นักบวชที่เพิ่งเข้ามาใหม่เช่นกัน แม้เขาจะไม่ใช่คนที่ค่อนข้างยึดติดเป็นพิเศษกับของที่ได้รับมาแต่เสื้อชุดนี้เป็นของที่ตัวเขาเป็นเจ้าของเพียงไม่กี่ชิ้น

‘…ไม่คิดว่าจะได้มาใช้แบบนี้’

ดึกดื่นป่านนี้จะไปหาเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับนักบุญหญิงได้ที่ไหน กระทั่งเสื้อผ้าของคนที่มีรูปร่างเล็กที่สุดในหน่วยอัศวินก็ยังไม่ต่างจากผ้าห่มสำหรับนักบุญหญิง อีกทั้งหากเขาไปถามหาเสื้อผ้า เหล่าอัศวินต้องสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาจึงได้แต่เอาเสื้อของตนเองออกมา

โชคดีที่เสื้อผ้าสมัยเด็กของเขาเป็นขนาดที่นักบุญหญิงพอใส่ได้ และโชคดีที่เขาเก็บไว้อย่างดีมันจึงไม่มีกลิ่นอับ ราธบันทอดสายตามองไปยังนักบุญหญิงที่ใส่ชุดของตนอยู่ นักบุญหญิงกำลังใส่เสื้อของเขาอยู่ในบ้านของเขา

หลังคอรู้สึกร้อนผะผ่าวเมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องนั้น ราธบันเอ่ยปากราวกับตั้งใจจะคายอุณหภูมินั้นออกมา

“ท่านนักบุญหญิง”

เขาเปล่งคำพูดที่แฝงไปด้วยความร้อนรุ่ม

เขาส่งเสียงเรียกไป แต่นักบุญหญิงไม่ได้ตอบกลับ

‘คราวที่แล้วก็เหมือนกัน’

เขาย้อนนึกถึงนักบุญหญิงที่นอนหลับบนม้านั่งในสวน ตอนนั้นเขาก็ส่งเสียงเรียกอยู่หลายครั้ง จนถึงกับอุ้มขึ้นมาด้วยซ้ำ แต่นักบุญหญิงก็ยังไม่ตื่น ตอนนี้ก็คงจะเป็นเหมือนเดิม

กึก

ราธบันวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านหน้าโซฟา

พากลับไปที่พักของนางดีหรือไม่

เขาคิดเช่นนั้นพลางอุ้มนักบุญหญิงขึ้น คราวนี้นางก็ยังไม่ตื่นเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมาเมื่อเห็นแขนที่ห้อยลงด้านล่าง นางในตอนนี้เหมือนตายไปแล้วจริงๆ ราธบันสำรวจนักบุญหญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของตน ได้ยินเสียงลมหายใจ มองเห็นหน้าอกที่ขยับขึ้นลงอย่างเชื่องช้า และสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกาย

ฝีเท้าของราธบันมุ่งหน้าไปทางห้องของเขา เขาคิดว่าโชคดีจังที่เมื่อเช้าเก็บที่นอนไว้