บทที่ 370 ความจริง (2)
ทางออกรูปสลักมีอยู่แค่ทางเดียว จ่างซุนหลันกับสตรีวัยกลางคนอีกคนยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ทั้งสองยืนสนทนากันอยู่ พอเห็นลู่เซิ่งออกมา จ่างซุนหลันก็ผุดสีหน้ายินดีแล้วเข้ามาหา
“ศิษย์พี่ลู่ออกมาแล้วหรือ”
“ศิษย์น้องหลัน ท่านนี้คือ…?” ลู่เซิ่งมองสตรีอีกคนอย่างสงสัย
“ข้าน้อยอวิ๋นชิงหนี่ว์” สตรีมีใบหน้างดงาม คลับคล้ายคลับคลากับอวิ๋นว่านเฟยที่เขตจันทราสารทอยู่หลายส่วน ดูท่าทางจะเป็นคนของตระกูลอวิ๋น “คิดว่าศิษย์น้องลู่น่าจะเคยพบหลานสาวเฟยเฟยของข้าแล้วกระมัง ข้าคือพี่รองของนาง ท่านเรียกข้าว่าอวิ๋นเอ้อร์ก็ได้”
“ที่แท้ก็เป็นแม่นางอวิ๋นเอ้อร์นี่เอง” ลู่เซิ่งประสานมือกล่าว
อวิ๋นชิงหนี่ว์พลันอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น แม้แต่จ่างซุนหลันก็หัวเราะตามเช่นกัน
“ศิษย์น้องลู่ปากหวานจริงๆ ข้าอายุสองร้อยสามสิบกว่าปีแล้ว…ไหนเลยเหมาะกับคำเรียกแม่นาง ท่านเรียกข้าว่าประมุขตระกูลอวิ๋นก็แล้วกัน ข้ามีกิจการและอาณาเขตไม่น้อยในจังหวัดไร้เหมันต์ กิจการครอบครัวของทางนี้อยู่ในการดูแลของข้า”
ลู่เซิ่งทำหน้าพิกล อายุปูนนี้แล้วเป็นครั้งแรกที่มีคนบอกว่าเขาปากหวาน
“ก็ได้”
“ครั้งนี้ข้ามาหาหลันเอ๋อร์เพราะมีธุระ แต่เผอิญได้เห็นความองอาจของศิษย์น้องลู่เข้าพอดี ท่านกับเฟยเฟยเป็นคนรู้จักกัน ภายหลังพวกเราสมควรสนิทสนมกันให้มากๆ” อวิ๋นชิงหนี่ว์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“นั่นสมควรแล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเกรงใจ
อวิ๋นชิงหนี่ว์สนทนากับจ่างซุนหลันอีกหลายประโยค จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
“ไปกันเถอะ ท่านยังไม่เคยเข้าหอคอยวิญญาณจริงแท้มาก่อน ข้าจะพาท่านไปลอง” จ่างซุนหลันพูดอย่างมีน้ำใจ “ท่านตากำชับข้าให้พาท่านพักผ่อนให้เรียบร้อย”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าไปเองได้” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“ก็ได้ ศิษย์พี่อย่าได้ลืมเวลา” จ่างซุนหลังก็ไม่ฝืนใจ ครั้งนี้ลู่เซิ่งสร้างความภูมิใจให้แก่สำนักพันอาทิตย์กับท่านตาของนาง นางยังต้องรีบกลับไปให้โอวาทพวกศิษย์น้องอีก
มองตามจนจ่างซุนหลันจากไป
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่เท้ารูปสลักสักพัก พอแยกแยะทิศทางเสร็จ จึงค่อยสะกิดเท้า แล้วกระโดดพุ่งไปยังทิศทางของหอคอยวิญญาณจริงแท้
ออกจากตัวลาน ตัดทะลุกลุ่มรักษาพยาบาลหลายกลุ่มที่กำลังให้อาหารพาหนะที่เป็นสัตว์ร้าย จากนั้นก็ข้ามลำธารใต้ดินที่มีควันพิษลอยฟุ้งขึ้นมาเพราะกระแสน้ำเชี่ยวกราก ในที่สุดก็ไปถึงหนึ่งในสิ่งอำนวยความสะดวกหรือสิ่งก่อสร้างสองสามแห่งที่งดงามที่สุดของสำนักพันอาทิตย์ หอคอยวิญญาณจริงแท้
หอคอยวิญญาณจริงแท้ไม่สูง มีเพียงแปดชั้น เป็นสีแดงเหมือนกับหอคอยปลายแหลมทั่วไป ด้านนอกมีกระดิ่งและมุกหยกที่ใช้สำหรับประดับแขวนอยู่ไม่น้อย พอลมพัดใส่ ก็พลันส่งเสียงทำนองเบาๆ
จุดที่แตกต่างกับหอคอยอื่นๆ เพียงหนึ่งเดียวคือชายคาของหอคอยวิญญาณจริงแท้ทุกๆ ชั้นสลักลวดลายอักขระสีทองเข้มที่เหมือนกับค่ายกลยันต์แปดทิศไว้เต็มไปหมด ลวดลายอักขระทั้งหมดเหล่านี้หมุนเวียนช้าๆ อยู่รอบหอคอยจริงแท้ตลอดเวลา
ใต้หอคอยก่อตั้งกำแพงทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่กว้างใหญ่ขึ้นล้อมที่นี้เอาไว้ ทุกๆ ระยะหนึ่งบนกำแพงจะมีธงค่ายกลสูงหนึ่งหมี่กว่าๆ ปักอยู่ พวกมันกำลังเปล่งแสงสีฟ้าอันอ่อนโยน
ธงค่ายกลทุกผืนเชื่อมต่อกันเป็นม่านแสงสีฟ้าขนาดมหึมาสี่ผืนที่ห่อหุ้มหอคอยวิญญาณจริงแท้ไว้ด้านใน
ทางเข้าออกบนม่านแสงเป็นช่องทรงกลมที่ขนาดไม่เท่ากันสามช่องซึ่งอยู่ตรงหน้าลู่เซิ่ง
ที่ประตูช่องทรงกลมเห็นคนเข้าๆ ออกๆ ได้เป็นระยะ ส่วนใหญ่เป็นศิษย์เรือนด้านใน บางครั้งก็มีผู้อาวุโสหนึ่งถึงสองคนที่หน้าตาอิดโรยเดินออกมาเช่นกัน
ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป ตรงประตูไม่มีคนเฝ้าประตู เพียงแค่ทะลุผ่านประตูแสงสีฟ้าที่กะพริบอยู่ในตอนที่เข้าช่องทรงกลม
พอตัดทะลุประตูแสงไป เขาก็สาวเท้าข้ามลานแล้วเดินเข้าไปในชั้นหนึ่งของหอคอยวิญญาณจริงแท้
ด้านในหอคอยเหมือนกับโถงใหญ่ทั่วไป คนไม่น้อยนั่งกระจัดกระจายกันอยู่บนพื้นสีเหลืองตุ่น การเข้ามาของลู่เซิ่งไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใคร การเข้าหอคอยวิญญาณจริงแท้มีค่าใช้จ่ายสูง ไม่มีใครยินยอมใช้เวลาที่นี่อย่างสิ้นเปลืองแม้แต่วินาทีเดียว
ลู่เซิ่งมองตัวอักษรตัวใหญ่ซึ่งสลักอยู่บนกำแพงสุดปลายโถงใหญ่ ‘หนึ่งต่อสอง’
‘น่าจะหมายความว่าด้านนอกหนึ่งวัน เท่ากับด้านในสองวัน’
เขาสัมผัสได้อย่างปราดเปรียวว่าร่างกายคล้ายรู้สึกได้ถึงแรงหนีศูนย์กลางอันยิ่งใหญ่ที่เคลื่อนไปทางซ้าย แต่ว่าเขารู้สึกถึงแรงนี้ได้ยากอยู่บ้างเนื่องจากอ่อนแอเกินไป
‘ยังขึ้นไปต่อได้’ ลู่เซิ่งก้าวเดินอย่างมั่นคงไปยังบันไดเล็กๆ ทางซ้ายมือทีละก้าว จากนั้นก็ตัดทะลุม่านแสงสีฟ้าอีกชั้นหนึ่งมาถึงชั้นที่สอง
โถงใหญ่ของชั้นที่สองเป็นสีเหลืองอ่อนเหมือนกับชั้นแรก คนสิบกว่าคนนั่งกระจัดกระจายกันอยู่ตรงกลาง กำลังหลับตาฝึกฝนทำความเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง บนกำแพงสุดโถงสลักไว้ว่า ‘หนึ่งต่อสี่’
‘ร่างกายได้รับภาระเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ก็ยังเบามาก แทบไม่ต้องสนใจเลยก็ได้’ ลู่เซิ่งสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เขากวาดตามองทุกคนที่นั่งอยู่ในชั้นนี้ คนเหล่านี้ต่างหน้าแดง ดูท่าทางจะกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ ต่อให้จะมีสักคนหรือสองคนที่ทำท่าสบายๆ ก็ยังไม่ได้ผ่อนคลายเป็นธรรมชาติเท่าเขา
‘ภาระที่หนักแบบนี้กลับใช้เสริมสร้างความแข็งแกร่งของกายเนื้อได้’ ลู่เซิ่งพกพาความคิดนี้เดินไปยังชั้นที่สาม
ชั้นที่สามยังคงไม่รู้สึกอะไร จากนั้นก็เป็นชั้นที่สี่ ชั้นที่ห้า ชั้นที่หก ชั้นที่เจ็ด…
จนกระทั่งถึงชั้นที่แปด
ลู่เซิ่งจึงค่อยพอจะรู้สึกได้ว่าภาระทางร่างกายเป็นภาระสำหรับเขาจริงๆ
ชั้นที่แปดมีคนนั่งขัดสมาธิอยู่แค่สองคน สองคนนี้มีคนหนึ่งที่ร่างเป็นมนุษย์ศีรษะเป็นหมี อีกคนร่างเป็นมนุษย์ศีรษะเป็นเหยี่ยว ล้วนไม่ใช่มนุษย์ หากเป็นเผ่าปีศาจ
พอได้ยินเสียงคนขึ้นมา ทั้งสองก็ค่อยๆ ลืมตามองไปยังบันไดอย่างฉงน
“เจ้าคือ…?” มนุษย์หัวเหยี่ยวถามอย่างสงสัย เสียงของเขาแข็งและแหบแห้งมาก ไม่ทราบว่าไม่ได้พูดคุยมานานเท่าไหร่
“ผู้เยาว์ลู่เซิ่ง ศิษย์ใหม่ของสำนักพันอาทิตย์” ลู่เซิ่งมองความไม่ธรรมดาของปีศาจสองตนนี้ออก ด้วยความแข็งแกร่งทางกายเนื้อของเขายังรู้สึกได้ว่าที่นี่มีแรงกดดัน สองคนนี้สามารถอยู่ที่นี่ไม่รู้นานเท่าไหร่ แค่คิดก็ทราบได้ว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีกายเนื้อเหี้ยมหาญถึงขีดสุดแน่
“เจ้า…ไม่ทรมานหรือ” มนุษย์หัวหมีอีกคนใบหน้าเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ
“ทรมานมาก” ลู่เซิ่งพยักหน้า “แต่ว่าผู้เยาว์มีความสามารถโดยกำเนิด ต่อให้ทรมานกว่านี้ ก็ยังรักษาสติกับสภาพปกติไว้ได้ก่อนที่จะล้มลง” ลู่เซิ่งลืมตากล่าวคำพูดโกหกอีกครั้งแล้ว
แม้ชั้นที่แปดนี้จะมีแรงกดดันมาก แต่สำหรับเขา สามารถอยู่ได้สิบวันครึ่งเดือนได้โดยไม่มีปัญหา
“เหมือนอย่างตอนนี้ อย่างมากสุดผู้เยาว์อยู่ไปอีกสักครู่หนึ่งก็คงแสดงความทุเรศออกมาแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
มนุษย์หัวเหยี่ยวกับมนุษย์หัวหมีสบตากัน ต่างเห็นความตกใจจากในดวงตาของอีกฝ่าย
“เจ้ามีกายเนื้อแข็งแกร่งมาก ต่อให้เป็นแบบนี้ก็ร้ายกาจมากแล้ว” มนุษย์หัวหมีเอ่ยต่อ แม้แต่ตัวเขาก็ยังได้แต่โคจรวิชาจริงแท้สุดกำลัง จึงทนอยู่ที่นี่ได้ ยิ่งอย่าว่าแต่มนุษย์หัวเหยี่ยวที่กายเนื้อแย่กว่าเขา
ทุกๆ ครั้งที่พวกเขามา ได้แต่ฝึกฝนอยู่ที่นี่หนึ่งชั่วยาม ต่อจากนั้นต้องรีบลงไปพักผ่อนฟื้นฟู ไม่อย่างนั้นคงเป็นการฆ่าตัวตาย ไม่ใช่การฝึกฝน
“อาจารย์ของเจ้าคือผู้ใด” มนุษย์หัวเหยี่ยวถามเบาๆ
“เรียนผู้อาวุโส เป็นเชียนตู้ซูหนิงเฟยขอรับ” ลู่เซิ่งตอบอย่างนอบน้อม
“อริยะเจ้านิทรานิรันดร์หรือ” ปีศาจสองตนพลันอึ้งไป
“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“มิน่า…คาดว่าอีกประเดี๋ยวเจ้าคงได้ไปสาขาหลักแล้ว มีคุณสมบัติระดับนี้ จังหวัดไร้เหมันต์อย่างไรก็ไม่ใช่เวทีของเจ้า” มนุษย์หัวเหยี่ยวกล่าวเสียงขรึม “พวกเราสองคนไม่ใช่คนของสำนักพันอาทิตย์ เพียงแต่มายืมใช้หอคอยวิญญาณจริงแท้ของที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น ข้าชื่อถงอิง เขาชื่อไป๋เจิ้ง พวกเราเป็นผู้อาวุโสจังหวัดไร้เหมันต์ของเผ่าหมีกับเผ่าเหยี่ยว น้องชายสง่างามองอาจ อนาคตยาวไกล ไม่ทราบชื่อว่าอะไร”
“ผู้เยาว์ลู่เซิ่ง แซ่ลู่ ชื่อเซิ่ง” ลู่เซิ่งรีบแจ้งชื่อ
“เป็นชื่อที่ดี”
เผ่าปีศาจสองตนคุยกับลู่เซิ่งถึงสถานการณ์ของต้าอินในปัจจุบันสักพัก หลังจากเวลาผ่านไป ทั้งสามก็ค่อยๆ เปลี่ยนหัวข้อไปยังอาจารย์ซูหนิงเฟยจอมเอาเปรียบของลู่เซิ่ง
“จะว่าไป ศิษย์น้องลู่มีกายเนื้อเหี้ยมหาญขนาดนี้ คิดว่าคงเป็นเพราะแผ่นหินแผ่นนั้นที่อริยะเจ้านิทรานิรันดร์ได้ไปกระมัง” มนุษย์หัวหมีถามขึ้น
“แผ่นหินหรือ ท่านหมายถึงแผ่นหินที่ผิวมีรอยฟันนั่นน่ะหรือ” ลู่เซิ่งพลันเกิดความสนใจก่อนจะถามกลับ สองคนนี้มีพลังฝึกปรือไม่ต่ำต้อย เป็นระดับผู้ถืออาวุธเหมือนกัน แต่กลับละทิ้งสถานะคุยกับ ‘ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์’ อย่างเขามานาน เห็นได้ว่ามีนิสัยน่าเข้าหา ดังนั้นคุยกันไปคุยกันมา กับทุกคนจึงสนิทกันมากขึ้น ลู่เซิ่งเลยเรียกไป๋เจิ้งเป็นพี่ใหญ่ไป๋ ส่วนมนุษย์หัวเหยี่ยวก็เรียกว่าพี่ใหญ่ถงโดยตรง
“ถูกต้อง นั่นความจริงเป็นส่วนหนึ่งของวิชาศักดิ์สิทธิ์เสริมสร้างกายสูงสุดของเผ่าปีศาจในอดีต น่าเสียดายถูกแบ่งเป็นห้าส่วน ก่อนจะกระจัดกระจายสูญหาย ชิ้นหนึ่งตกอยู่ในมืออริยะเจ้านิทรานิรันดร์ ชิ้นหนึ่งอยู่ในมือราชวงศ์ต้าอิน ที่เหลือยังอยู่ในมือเผ่าพันธุ์ของพวกเรา” ไป๋เจิ้งมนุษย์หัวหมีกล่าวอย่างเสียดาย
“ที่แท้ก็เป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจ ใช้เสริมสร้างกายหรือนี่ แผ่นหินนั้นมีความสามารถเสริมสร้างกายหรือ เหตุใดข้าจึงสัมผัสไม่ได้” ลู่เซิ่งแปลกใจอยู่บ้าง แผ่นหินที่เขาเห็นมีแค่วิชาดาบย้ายดวงดาวชุดเดียว วิชาเสริมสร้างกายมาจากไหนกัน
“แน่นอนว่ามี เพียงแต่ซ่อนอยู่ด้านในอย่างล้ำลึกสุดขีด เจ้าอาจจะเคยเห็นแผ่นหินแผ่นนั้น แต่ไม่ได้เข้าใจความหมายจริงๆ อย่างลึกซึ้งก็ได้” ไป๋เจิ้งกล่าวพลางส่ายหน้า
“อย่างนั้นพวกพี่ใหญ่ไป๋ไม่คิดเอาแผ่นหินกลับไปหรือ” ลู่เซิ่งถามอีก
“เดิมทีพวกเราเป็นคนส่งพวกมันออกไป จะเก็บกลับมาทำไมเล่า” ไป๋เจิ้งหัวเราะลั่น ถงอิงที่อยู่ด้านข้างหัวเราะร่าเช่นกัน
ลู่เซิ่งพอจะเข้าใจแล้ว ที่เผ่าปีศาจมีความสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์และสามสำนักในต้าอิน คิดว่าคงจ่ายราคาไปมหาศาล แผ่นหินที่ว่านี้สมควรเป็นหนึ่งในนั้น
“พวกเราแลกเปลี่ยนวิชาจริงแท้ที่แตกต่างกันเจ็ดสิบเก้าชนิดกับสามสำนักของพวกเจ้า แลกเปลี่ยนวิชาจริงแท้สามสิบหกชนิดกับราชวงศ์ แผ่นหินกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งในนั้น” ถงอิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“แผ่นหินกระบี่ศักดิ์สิทธิ์?” ลู่เซิ่งงุนงง “สิ่งที่สลักไว้ด้านบนนั้นเป็นรอยดาบชัดๆ ไม่ใช่หรือ”
“รอยดาบหรือ เจ้ามองผิดแล้วกระมัง สิ่งที่อยู่บนแผ่นหินไม่ใช่รอยดาบ ตอนกลับไปให้อาจารย์ของเจ้าเอาออกมาศึกษาดูก็จะรู้เอง”
“พี่ใหญ่ไป๋ ท่านแน่ใจหรือ” ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่จิตใจกลับหนักอึ้งลงทีละน้อย
“แน่ใจแน่นอน” ไป๋เจิ้งกล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “แผ่นหินทั้งหมดล้วนเป็นรอยกระบี่เหมือนกันหมด รอยดาบมาจากไหนกัน”
ลู่เซิ่งหลับตา ต่อจากนั้นไป๋เจิ้งกับถงอิงพูดต่ออีก แต่เขาฟังไม่เข้าหูแล้ว
ตอนนี้เขามีความคิดจะพุ่งเข้าเขตถ่ายทอดความลับอย่างแรงกล้า
เพื่อถามว่าซูหนิงเฟยให้แผ่นหินปลอมกับเขาหรือเปล่า
เพื่อขอค่าชดเชย
เพื่อเสนอเงื่อนไขใหม่ ทำข้อตกลงกันใหม่
ไม่มีทาง
เขาตัดสินใจว่า ถ้าหากซูหนิงเฟยไม่ให้คำอธิบายดีๆ กับเขา ก็อย่าหาว่าเขาใจดำอำมหิต ตอนนี้เขาสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่ภายหลัง แค้นนี้เขาจะค่อยๆ ชำระ
การสอนวิชาผิดๆ ให้ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าคนล้างโคตร เกิดว่าเขาฝึกฝนวิชาสำเร็จจริงๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะไม่อาจจินตนาการ การถูกธาตุไฟเข้าแทรกหรือร่างกายพิการครึ่งซีกยังเบา ตัวระเบิดตายหรือวิกลจริตก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เช่นกัน
จิตสังหารในดวงตาของลู่เซิ่งล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
……………………………………….