บทที่ 371 ขุมกำลังใหญ่ (1)
ตอนที่กลับจากหอคอยวิญญาณจริงแท้ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ลู่เซิ่งอยู่ด้านในสามชั่วยาม ในหอคอยวิญญาณจริงแท้ชั้นที่แปดเท่ากับยี่สิบสี่ชั่วยามหรือก็คือสองวัน
ด้วยพื้นฐานของยอดฝีมือระดับพันธนาการทั่วไป ขอแค่เยื่อดำไม่ถูกเจาะ เวลาที่ยาวนานแบบนี้สามารถฟื้นฟูได้อย่างง่ายดาย ยิ่งอย่าว่าแต่ลู่เซิ่งที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว
หลังจากออกมา เขาก็ตรงดิ่งไปยังเรือนที่ตนเองอยู่ แล้วนำแผ่นหินแผ่นนั้นออกมาตรวจสอบอย่างละเอียด ด้านบนนี้เป็นรอยดาบจริงๆ ไม่ใช่รอยกระบี่
ลู่เซิ่งเก็บแผ่นหินเงียบๆ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงในห้อง ในใจเขาเกิดความสงสัยที่ไม่เข้าใจขึ้นมา
ถ้าหากแผ่นหินที่ซูหนิงเฟยให้ตนเป็นของปลอม อย่างนั้นเขาจะใช้อะไรในการเลื่อนเป็นจ้าวแห่งมารหรือเข้าสู่ขอบเขตใหม่
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่บนพื้นคิดใคร่ครวญ แล้วพลันนึกถึงที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ตลอดเวลาที่ผ่านมาของตนเอง เครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลู
ความสามารถของเครื่องมือที่ใช้โกงซึ่งเขาเขียนให้โทรศัพท์ของตัวเองหลังจากมาถึงโลกใบนี้ ยิ่งใหญ่จนแม้แต่ผู้สร้างอย่างเขาก็ยังตกตะลึงตลอดเวลา
‘ขอบเขตจ้าวแห่งมารคือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติในด้านจิตใจเป็นส่วนใหญ่ หลังจากจิตวิญญาณแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง และเข้าใจการยกระดับทางคุณสมบัติ ก็จะกลายเป็นจ้าวแห่งมาร เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องสงสัย’ ลู่เซิ่งย้อนนึกถึงรูปแบบของผู้ใช้อาวุธ รวมถึงศัสตราเทพคลั่ง
‘แหล่งกำเนิดและองค์ประกอบหลักของโลกใบนี้คืออาวุธเทพศัสตรามาร ความจริงแล้วทุกอย่างเป็นระบบองค์ประกอบหลักที่วนเวียนอยู่รอบอาวุธเทพศัสตรามาร สาเหตุที่จ้าวแห่งมารควบคุมอาวุธเทพศัสตรามารได้โดยสมบูรณ์ นอกจากจะใช้ระดับพลังชีวิตโดยธรรมชาติของตัวเองแล้ว ส่วนใหญ่เกรงว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติในด้านจิตใจนี้นี่เอง และประสิทธิผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัตินี้ก็ไปถึงขั้นที่ใกล้เคียงกับจริงลวงได้ เมื่อเป็นแบบนี้จึงค่อยควบคุมอาวุธเทพศัสตรามารที่บ้าคลั่งดุร้ายได้โดยสมบูรณ์’
ลู่เซิ่งหลับตา ความคิดมากมายส่องแสงระยิบระยับใต้ดวงตา
‘ที่เราเลื่อนสู่ระดับจ้าวแห่งมารได้ ข้อแรก อาจเป็นเพราะดีปบลูยกระดับวิชาดาบย้ายดวงยาวไปถึงขั้นเหนือจินตนาการ จนทำให้จิตใจและจิตวิญญาณของเราได้รับการยกระดับ ไปถึงขั้นที่น่าสะพรึงกลัว ข้อสอง คือระดับชั้นเฉพาะของวิชาดาบย้ายดวงดาว เนื่องจากมีขีดจำกัดน้อยสุดขีด จึงมีพื้นที่ในการยกระดับมาก มันมีแค่ผลพิเศษสองอย่างได้แก่เพิ่มความเร็วกับหลอมจิต แต่เป็นเพราะแบบนี้ ทิศทางจึงเปิดกว้าง’
เขากระจ่างแจ้งอย่างฉับพลัน
‘หมายความว่า ขอแค่เป็นวิชาที่อยู่ในระดับพื้นฐาน ก็สามารถยกระดับไปถึงระดับที่สูงสุดขีดได้’ เขาคิดจะหาวิชาพื้นฐานสักวิชามาทดลองทันที ทว่าน่าเสียดายที่เขาใช้พลังอาวรณ์ไปกับวิชาดาบย้ายดวงดาวหมดแล้ว
‘ดูเหมือนต่อจากนี้ ต้องหาเวลาทดลองสักหน่อย’ ลู่เซิ่งเยือกเย็นลง
นับตั้งแต่เลื่อนระดับ เขาก็ไม่มีเวลาตรวจสอบสถานการณ์ของตนเองอย่างละเอียดมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในหอคอยวิญญาณจริงแท้ ก็เอาแต่สัมผัสการเปลี่ยนแปลงและหลักการของหอคอยวิญญาณจริงแท้ จึงไม่ได้ทำ ตอนนี้ในเมื่อว่างแล้ว เขาจึงค่อยๆ เพ่งความสนใจไปที่ร่างกายของตนเอง
อันดับแรกเป็นลวดลายสามเหลี่ยมสีแดงเข้มที่ลอยวนเวียนอยู่ในช่องว่างสีดำลวงตาผืนหนึ่งในร่างกาย ลวดลายที่เหมือนกับงูบินได้กะพริบแสงสีทองอ่อนๆ เป็นระยะ และหมุนวนอยู่ในช่องว่างสีดำสนิทผืนนั้นตลอดเวลา
ช่องว่างสีดำสนิทในร่างนี้ไม่ได้อยู่ในกายเนื้อ ลู่เซิ่งสัมผัสอย่างตั้งใจ จึงค่อยรู้สึกได้ว่าพื้นที่นี้เหมือนกับเงาลวงตาที่ทับซ้อนอยู่กับร่างของตัวเอง โดยอยู่ตรงกลางของร่างกายระหว่างทรวงอกและช่องท้อง แต่ก็ไม่ใช่ของที่จับต้องได้ เหมือนกับว่าร่างกายของตนเป็นแค่เส้นเชื่อมที่เชื่อมต่อกับช่องว่างนี้เท่านั้น
‘สัญลักษณ์สามเหลี่ยม ดูเหมือนจะเข้าใกล้ทิศทางของอาวุธเทพศัสตรามารแล้วจริงๆ’ ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินอาจารย์ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักมารกำเนิดเล่าให้ฟังว่า ลวดลายสัญลักษณ์ของอาวุธเทพศัสตรามารล้วนมีสัญลักษณ์เป็นสามเหลี่ยม
เขายื่นมือออกมา กลางฝ่ามือค่อยๆ แดงและร้อนขึ้นด้วยการเพ่งจิต ความแข็งแกร่งกับความร้อนเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วสูง กระแสปราณที่โปร่งแสงไร้รูปร่างหลายสาย เริ่มวนเวียนไปตามลายเส้นวงโคจรที่เป็นธรรมชาติบางอย่างภายใต้ผลของจิตใจ
‘รวมตัว’ ลู่เซิ่งลืมตาอย่างฉับพลัน
ซู่…
ชั่วพริบตานั้น กระแสอากาศรวมตัวกันอย่างสะท้านสะเทือน ไอสีขาวจำนวนมาก จากบริเวณรอบๆ วนเวียนมารวมตัวกันที่กลางฝ่ามือของเขา ก่อนจะหดตัวเป็นผลึกสีขาวน้ำนมทรงขนมเปียกปูนชิ้นหนึ่ง แล้วค่อยๆ ลอยขึ้นพร้อมกับหมุนวน ลวดลายสามเหลี่ยมสีแดงเข้มรูปทรงงูบินปรากฏบนผิวผลึกอย่างช้าๆ
นี่เป็นผลึกวิญญาณที่ลู่เซิ่งใช้พลังจิตและจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของตนผนึกรวมขึ้นมา พอผลึกชิ้นนี้รวมตัวกัน เขาก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง นี่เหมือนเป็นการรวมตัวกันตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง
‘น่ากลัวจริงๆ…ผลึกวิญญาณก้อนเล็กๆ แบบนี้ หากโยนออกไป อย่างน้อยคงทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในรัศมีสิบลี้ถูกทำลาย’ ลู่เซิ่งสะท้อนใจอย่างแท้จริง แต่ตอนนี้เขาหลอมผลึกแบบนี้ได้แค่ก้อนเดียว
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งอัศจรรย์ใจที่สุดก็คือ เขาไม่ได้สร้างผลึกก้อนนี้ขึ้นมา แต่ว่ามันผนึกรวมขึ้นมาตามธรรมชาติหลังจากที่เขาปล่อยพลังจิตวิญญาณที่มากพอออกไป
เขาไม่รู้ว่าจ้าวแห่งมารคนอื่นๆ เป็นอย่างนี้หรือไม่ ทว่าถ้าหากเขาปล่อยจิตวิญญาณออกมามากเกินไปโดยที่ไม่ได้สนใจ ผลึกทรงขนมเปียกปูนของจริงก็จะผนึกรวมกันออกมาเอง
ลู่เซิ่งคลึงผลึกเล่นสักพัก จากนั้นค่อยทำให้มันสลายกลายเป็นพลังวิญญาณหายเข้าไปในร่างของตนเอง ด้วยความสามารถของเขาในปัจจุบัน ได้แต่ผนึกรวมออกมาเม็ดเดียว หากมากกว่านี้จะไม่ไหวเอา
‘สภาพของกายเนื้อไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทว่าแต่ละสภาพเข้ากันได้มากขึ้น เหมือนกับค่อยๆ หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง’ ลู่เซิ่งไม่รู้ว่านี่เป็นกระบวนการอะไร แต่รู้สึกได้ว่านี่คล้ายเป็นสิ่งจำเป็น
‘จิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น กายเนื้อแข็งแกร่งเท่าเดิม แต่อานุภาพของพลังงานบริสุทธิ์อย่างแก่นมารและปราณเหลวเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม หมายความว่าพลังทำลายที่เราระเบิดออกมาได้ แข็งแกร่งกว่าเดิมแล้ว แต่ภาชนะในร่างกายนี้แข็งแกร่งเท่าเดิม’ ลู่เซิ่งจัดระเบียบความสัมพันธ์ต่างๆ ‘ช่างเถอะไปหาซูหนิงเฟยก่อน ดูว่านางจะว่าอย่างไร’
เขาหลับตาแล้วเริ่มท่องชื่อของซูหนิงเฟย
ไม่นาน แรงฉุดพร่ามัวก็ส่งมาจากในความขมุกขมัว เงาร่างที่นั่งขัดสมาธิบนพื้นดินของเขาเริ่มจางลง กลายเป็นกึ่งโปร่งแสง ก่อนจะหายไปจากที่เดิม
…
เขตถ่ายทอดความลับ
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วมองไปยังซูหนิงเฟยที่กำลังยืนอ่านตำราอยู่ด้านข้างทันที
ซูหนิงเฟยไม่ได้พูดอะไร เอาหลังพิงผนังหินไว้เช่นนี้ นางยืนอยู่ที่เดิมอย่างเกียจคร้านเล็กน้อย รากไม้บางส่วนยื่นออกมาจากใต้กระโปรง คอยค้ำยันร่างของนางไว้
นางสวมชุดกระโปรงสีดำ สองขาราวหยกขาวเรียวยาวกลมกลึง เป็นสีสันสดใสเพียงหนึ่งเดียวในถ้ำที่มืดสลัว
ลู่เซิ่งถือแผ่นหินพร้อมกับเดินเข้าไปหา
“อาจารย์…”
“ได้คนมาแล้วหรือ” ซูหนิงเฟยวางตำราลง แล้วมองดูเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง อยู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป “เอ๋ เจ้าเลื่อนระดับแล้วนี่!?”
นางผุดสีหน้าประหลาดพิกล อยากจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดเอาไว้ ไม่รู้ว่าควรถามอะไรดี
ลู่เซิ่งแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพียงประคองยกแผ่นหินในมือส่งให้อย่างเคารพ
“ต้องขอบคุณความพยายามของอาจารย์ ขอให้อาจารย์เก็บแผ่นหินนี้ไปด้วย” เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ซูหนิงเฟยหยีตามองลูเซิ่งเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้แผ่นหินแผ่นนี้กับเจ้า ตอนที่ข้ารู้ตัวก็ให้ผิดไปแล้ว เดิมคิดจะแลกเปลี่ยนแผ่นหินให้ใหม่ตอนที่เจ้าเข้ามาในครั้งต่อไป นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเลื่อนระดับแล้ว” สำหรับนาง จ้าวแห่งมารไม่นับเป็นอะไร สำนักพันอาทิตย์มีอยู่มากมาย แต่สิ่งที่ทำให้นางตกใจก็คือ ลู่เซิ่งใช้อะไรเลื่อนระดับกันแน่
“อาจารย์กังวลเกินไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะแผ่นหินแผ่นนี้ ศิษย์คงไม่โชคดีเลื่อนระดับเร็วขนาดนี้” ลู่เซิ่งตอบอย่างสงบ “มหาวิถีสูงสุดที่แฝงอยู่ในนั้น ทำให้ศิษย์ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ จิตใจคล้ายมีความเข้าใจใด้ นี่จึงทำให้เส้นทางต่อจากนั้นตรงดิ่ง สุดท้ายเมื่อสั่งสมจนพร้อม ก็ทำลายขีดจำกัดนั้นได้สำเร็จ”
“มหาวิถีสูงสุด…อย่างนั้น…หรือ” ดวงตาซูหนิงเฟยฉายแววประหลาดใจ นางยื่นมือออกมาอย่างสงสัยแล้วดึงแผ่นหินแผ่นนั้น ให้ไปลอยวนเวียนอยู่ตรงหน้าตน หลังจากตรวจสอบดูรอบหนึ่ง กลับไม่เห็นว่าแผ่นหินนี้มีความพิเศษตรงไหน
สีหน้านางพลันพิกลอยู่บ้าง
“ศิษย์ต้องขอขอบคุณความเอาใจใส่ของอาจารย์ด้วย วิชาไม่อาจถ่ายทอดง่ายๆ อาจารย์พยายามใช้วิธีการนี้ บอกใบ้และสอนสั่งอย่างจริงจัง นี่จึงทำให้ศิษย์เลื่อนระดับได้ในตอนสุดท้าย บุญคุณยิ่งใหญ่นี้ วันหน้าจะต้องตอบแทนแน่นอน” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงกังวานด้วยใบหน้าจริงใจ
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ที่เจ้ามีวาสนาแบบนี้ อาจารย์ก็นึกไม่ถึงเช่นกัน” ขณะมองศิษย์ซื่อสัตย์ที่ตนชักนำผิดทาง ซูหนิงเฟยก็เกิดความละอายใจขึ้นอย่างหาได้ยาก
นางไม่ได้มีความคิดจะถ่ายทอดมหาวิถีแต่แรกอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เป็นแค่เพียงภาพลวงตา เพื่อกระตุ้นให้ลู่เซิ่งทำธุระให้นางเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเลื่อนระดับได้จริงๆ
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจความพยายามของอาจารย์ ก็ย่อมเข้าใจว่าเส้นทางการฝึกฝนนี้ไม่มีเคล็ดลับ ต้องเดินอย่างมั่นคงทีละก้าวๆ และไม่มีทางลัด”
ตอนนี้เจ้าเข้าไปช่วงชิงในสำนักสำเร็จแล้ว เหตุใดตอนนี้จึงมาหาข้า มีเรื่องใดหรือ” ซูหนิงเฟยถามอีกครั้ง
“มีเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง ศิษย์เข้าสู่ขอบเขตนี้เป็นครั้งแรก จึงไม่ทราบอะไรเลย ขอให้อาจารย์ได้โปรดชี้แนะด้วยว่าขอบเขตนี้มีข้อห้ามกี่ข้อ และมีประโยชน์กับกฎเกณฑ์อะไรบ้าง” ลู่เซิ่งถามอย่างจริงใจ นี่เป็นเหตุผลที่เขามาในครั้งนี้
ซูหนิงเฟยพยักหน้า แม้สายตาที่มองลู่เซิ่งยังคงแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่ารับไม่ได้ ถึงอย่างไรตัวลู่เซิ่งก็มีความเป็นมาไม่แน่ชัดอยู่แล้ว อีกทั้งตอนที่มายังต้าอิน ก็อยู่ในจุดสุงสุดของระดับผู้ถืออาวุธตั้งแต่แรก ย่อมก้าวเท้าก้าวนี้ออกมาได้ตลอดเวลา
แม้ว่าก้าวนี้จะสร้างความลำบากให้แก่ผู้ถืออาวุธมากกว่าเก้าส่วน ทว่าในเมื่อเลื่อนระดับแล้ว อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นอีก
“ถูกแล้ว ในเมื่อเจ้าก้าวเท้าก้าวนี้สำเร็จ ข้าจะอธิบายลักษณะเด่นของระดับอริยะเจ้า กับความสัมพันธ์ของแต่ละฝ่ายให้ฟัง” ซูหนิงเฟยรู้สึกว่าตัวเองติดค้างลู่เซิ่งค่อนข้างมาก ในใจมีความคิดชดเชยบางส่วน ครั้งนี้ไม่ต้องการทำร้ายเขาอีก หากเริ่มอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอริยะเจ้าอย่างแท้จริง
“อาจารย์ได้โปรดชี้แนะด้วย” ลู่เซิ่งก้มหน้ากล่าวอย่างเคารพ
“เจ้ามานั่งลง ตอนนี้เจ้ามีสิทธิ์นั่งต่อหน้าข้าแล้ว ไม่ต้องมากมารยาท ที่อยู่ตรงนี้เป็นแค่ร่างแยกของข้าเท่านั้น ร่างหลักของข้าอยู่ห่างไปเป็นหมื่นลี้ ไม่อาจขยับได้ง่ายๆ” ซูหนิงเฟยกล่าวอย่างราบเรียบ
“ขอบคุณขอรับอาจารย์”
ทั้งสองเดินไปถึงหน้าแท่น แล้วลากเก้าอี้มานั่งหันหน้าเข้าหากัน
“ความจริงจ้าวแห่งมารหรืออริยะเจ้าเป็นระดับชั้น ศัสตราเทพคลั่งหรืออาวุธเพชฌฆาตก็อยู่ในระดับนี้เช่นกัน
ต่อจากนั้นจึงเป็นผู้ถืออาวุธ ถัดไปค่อยเป็นเก้าขั้นบน กลาง ล่างของระดับปฐมปฐพี
ความจริงอริยะเจ้าเช่นพวกเรา ได้ยืนอยู่บนระดับชั้นสูงสุดของโลกมนุษย์แล้ว นอกจากเจ้าแห่งอาวุธ พวกเราก็แข็งแกร่งที่สุด เจ้าคงเคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกันกระมัง” ซูหนิงเฟยถามอย่างเรียบเฉย
“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
……………………………………….