ตอนที่ 201 ปั่นป่วน

หมู่บ้านไป๋ซีเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งมีผู้อาศัยอยู่เพียงไม่กี่สิบครัวเรือน ดังนั้นการเดินทางตั้งแต่หน้าหมู่บ้านไปจนถึงท้ายหมู่บ้านจึงใช้เวลาไม่ถึงสองก้านธูป

เมื่อคนจากตระกูลหยุนทั้งสี่คนมาถึง ก็พบว่าประตูเรือนของสองพี่น้องนั้นปิดสนิท หยุนเชวี่ยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวภายในบ้าน ทว่ากลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

“พี่ใหญ่เฝิง… พี่ใหญ่เฝิง…” หยุนลี่เต๋อเดินไปเคาะประตู “พี่ใหญ่เฝิง พวกเรามาที่นี่เพื่อสอบถามลูก ๆ ของพี่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นในเมืองกันแน่ พี่เปิดประตูเถิด!”

หยุนลี่เต๋อเคาะประตูอีกสองสามที ทว่าก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะเปิดออก

“ประตูเรือนถูกลงกลอนจากด้านใน ต้องมีคนอยู่ในบ้านแน่ ๆ เจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยเอื้อมมือไปผลักประตูสองสามครั้ง

“หลีกไป ข้าทำเอง!” หยุนลี่เซี่ยวผลักหยุนเชวี่ยออกไปด้านข้าง เขาใช้มือทั้งสองข้างงัดแงะประตูก่อนยกเท้าขึ้นถีบประตูอย่างแรง “พี่เฝิง เปิดประตู! ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในบ้าน อับอายเกินกว่าจะออกมาพบหน้าพวกเราหรือ? หากยังไม่ออกมาเปิดประตู ข้าจะพังเข้าไปจริง ๆ ด้วย!”

“ปัง! ปัง!” ประตูบานใหญ่ถูกถีบอย่างแรงจนสั่นไหว ทำให้ฝุ่นที่เกาะอยู่ด้านบนร่วงหล่นลงมา

“พี่เฝิง คนทั้งหมู่บ้านรับรู้หมดแล้วว่าลูกน้อยสองคนของเจ้าทำวีรกรรมอะไรไว้! อย่าแสร้งทำเป็นหูทวนลมเลย! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

หยุนลี่เซี่ยวทั้งสบถด่าทอทั้งถีบประตู ทว่ายังไม่มีผู้ใดตอบรับ เขาจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาก่อนปีนกำแพงและขว้างมันเข้าไปในลานบ้านด้วยความโมโห

ชาวบ้านในชนบทมักก่อกำแพงสูงไม่เกินหนึ่งช่วงตัวซึ่งสร้างด้วยโคลนและฟางข้าว

หยุนลี่เซี่ยวขว้างก้อนหินเข้าไปในลานบ้านไปโดนสิ่งของบางอย่างจนเกิดเสียงดัง “เพล้ง”

เขาตะโกนข้ามกำแพงต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย “พี่เฝิง หากเจ้ายังหดหัวอยู่แต่ในบ้าน ข้าจะจุดไฟเผาเรือนของเจ้าให้วอดวาย!”

“น้องสาม…” หยุนลี่เต๋อหมดความอดทนกับคำพูดของน้องชาย “พวกเรามาที่นี่ด้วยเหตุผลไม่ได้มาทะเลาะวิวาท”

“เหตุผลอะไร? มายืนข้างหลังแล้วอุ้มข้าขึ้น ถุย! วันนี้ข้าจะทำให้พวกมันเห็นเอง!” หยุนลี่เซี่ยวเบ้ปากพลางถุยน้ำลายใส่มือทั้งสองข้าง “พี่รอง อุ้มข้าขึ้นกำแพงที!”

หยุนลี่เซี่ยวพูดยังไม่ทันจบ พวกเขาก็ได้ยินเสียงอุทานของผู้หญิงดังออกมาจากในบ้าน “ว๊าย… ตายแล้ว…”

จากนั้นประตูเรือนจึงเปิดออกอย่างช้า ๆ สองพี่น้องโฉ่วเหือและโฉ่วช่วนยืนก้มหน้าอยู่หลังประตู ในขณะที่แม่นางเหยียนมารดาของพวกเขานั่งลงกับพื้นพลางตบขาร้องไห้ “พวกเจ้าโหดเหี้ยมเสียจริง เห็นทีว่าสามีของข้าไม่อยู่ พวกเจ้าจึงฉวยโอกาสรังแกพวกเรางั้นหรือ… พวกเจ้ายังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่…”

ด้านข้างของแม่นางเหยียนมีโอ่งน้ำที่ถูกหินปาทะลุจนเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ ทำให้น้ำไหลนองออกไปจนเกือบถึงเท้าของหยุนเชวี่ย

“หยุดร้องไห้เสีย หากเจ้าไม่มีความผิดติดตัว เหตุใดถึงไม่กล้าเปิดประตูให้พวกข้า!” หยุนลี่เซี่ยวคำรามเสียงดัง

“เจ้าแหกปากตะโกนอยู่ที่หน้าบ้านนานแล้วหรือ เหตุใดข้าถึงไม่ได้ยิน? พวกเราสามคนรีบออกมาเพราะได้ยินเสียงโอ่งน้ำแตกต่างหาก!” แม่นางเหยียนตะโกนตอบ “พวกเราต่างเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน มีอะไรก็พูดจากันดี ๆ การที่เจ้าทุบโอ่งน้ำของข้านั้นไม่ใช่การรังแกกันหรอกหรือ…”

“เจ้าอย่ามายุ่งกับข้า!” หยุนลี่เซี่ยวชี้หน้าแม่นางเหยียนพร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห “เจ้าเด็กเปรตสองคนนี้ทำให้ข้าขาดทุน วันนี้ข้าจะคิดบัญชีกับพวกมันให้สาสม!”

ฉับพลันแม่นางเหยียนที่นั่งอยู่บนพื้นก็โผเข้าไปกอดขาของหยุนลี่เซี่ยวพร้อมโอดครวญ “โอ๊ย… อย่าตีข้าเลย! นายท่านตระกูลหยุนทั้งสามรังแกสตรีเช่นข้าได้ลงคอ…”

นางร่ำไห้พลางยีผมให้กระเซิงก่อนโขกศีรษะของตนเข้ากับขาของหยุนลี่เซี่ยว

สองพี่น้องโฉ่วเหือและโฉ่วช่วนรีบวิ่งออกไปข้างนอกพร้อมตะโกนเสียงดัง “นายท่านตระกูลหยุนทั้งสามคนทำร้ายท่านแม่! ท่านอาสามตบตีท่านแม่!”

เหล่าคนที่ได้ยินเสียงตะโกนต่างเดินออกมาดูเหตุการณ์ เมื่อหยุนลี่เซี่ยวเห็นดังนั้นจึงโมโหจนขาดสติ เขาพยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการจนเผลอเตะเข้าที่หน้าอกของแม่นางเหยียนพร้อมด่าทออย่างหยาบคาย “นังแพศยา!”

หยุนลี่เต๋อกำลังจะเข้าไปห้ามปราม ทว่าสายเกินไปแล้ว ชาวบ้านหลายคนที่มามุงดูเหตุการณ์เห็นแม่นางเหยียนสะอื้นไห้ก่อนถูกบุตรชายคนที่สามแห่งตระกูลหยุนเตะจนล้มลงกองกับพื้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน! คนกันเองทั้งนั้น เหตุใดถึงไม่ค่อยพูดค่อยจา อีกทั้งยังลงมือตบตีนางด้วย?” ชาวบ้านคนหนึ่งทนเห็นภาพอันสังเวชตรงหน้าไม่ได้

“โฉ่วเหือโฉ่วช่วน ยังไม่รีบประคองแม่ของเจ้าให้ลุกยืนขึ้นอีก”

“เหตุใดโอ่งน้ำถึงแตก… นี่!”

ปกติแล้วหยุนลี่เต๋อมีชื่อเสียงด้านดีในหมู่บ้าน นอกจากนี้ผู้เฒ่าหยุนยังปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วย แม้ชาวบ้านจะไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาออกมา ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีท่าทีไม่พอใจ

บุตรชายคนที่สามแห่งตระกูลหยุนทำร้ายร่างกายสตรี และไม่ว่าจะด้วยเหตุใด มันล้วนแต่เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุทั้งสิ้น

“สามีของข้ากับพี่น้องของเขาไม่อยู่ เจ้าจึงฉวยโอกาสนี้รังแกข้า ฮือ ๆ ๆ” แม่นางเหยียนทรุดตัวลงบนพื้นพลางเอามือปิดหน้าและร้องไห้สะอึกสะอื้น

โฉ่วเหือและโฉ่วช่วนลอบพยักหน้าให้กันสองครั้งก่อนเดินไปยืนก้มหน้าไม่พูดไม่จาอยู่ข้างมารดา

“เหลวไหล! เมื่อเช้าข้ายังเจอพี่เฝิงอยู่เลย!” หยุนลี่เซี่ยวเถียงกลับอย่างร้อนใจ “ผู้ชายในครอบครัวของเจ้าเอาแต่หดหัวอยู่ในกระดอง ปล่อยหญิงบ้าเช่นเจ้าออกมารับหน้าแทนหรือ!”

“ยามเที่ยงในตอนที่ข้ากลับมาจากทุ่งนาและบังเอิญเจอพี่เฝิง เขาบอกว่ากำลังจะเดินทางไปต่างถิ่นเพื่อร่วมงานศพของญาติ” หลี่เอ้อที่อาศัยอยู่ติดกันกล่าวออก

แม่นางเหยียนร่ำไห้อย่างน่าเวทนา

หยุนเชวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างทำได้เพียงลูบปลายผมอย่างจนปัญญา

หยุนลี่เซี่ยวทำให้บิดาของนางต้องติดร่างแหเรื่องฉาวโฉ่ไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ตนเองก่อเรื่องฉ้อฉลแท้ ๆ ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง

“พี่สะใภ้ลุกยืนขึ้นก่อนเถิด พวกเรามาที่นี่เพื่อเจรจาด้วยเหตุผล” หยุนลี่เต๋อยกเก้าที่อยู่ข้างประตูบ้านมาวางไว้ข้างกายแม่นางเหยียน

ในสมัยโบราณบุรุษและสตรีต่างให้ความสำคัญกับการหมั้นหมายไม่น้อย แม้ยังไม่แต่งงานทว่าบุรุษจะแตะต้องตัวหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาของตนไม่ได้

หยุนลี่เต๋อไม่กล้าเข้าไปพยุงแม่นางเหยียนให้ลุกยืนขึ้นจึงได้แต่นั่งยอง ๆ และพูดเกลี้ยกล่อม

“ท่านป้าลุกขึ้นก่อนเถิดเจ้าค่ะ พวกชาวบ้านกำลังมุงดูอยู่ อย่านั่งบนพื้นดินเลย” หยุนเชวี่ยเห็นดังนั้นจึงยื่นมือไปพยุงนาง “พวกเราต้องการพูดคุยอย่างสันติเจ้าค่ะ”

“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? ครอบครัวของเจ้ามาถึงก็ทุบโอ่งของข้าจนแตกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ข้าไม่กล้าพูดคุยกับพวกเจ้าหรอก…”

“ท่านพี่สะใภ้ น้องสามมีนิสัยใจร้อน พูดจาไม่รื่นหู พวกเรามาที่นี่เพราะต้องการสอบถามเด็กสองคนนี้ให้ชัดเจนเพียงเท่านั้น…” หยุนลี่เต๋ออธิบายด้วยความอดทน

“อย่าไปฟังหญิงบ้าผู้นี้ ข้าไม่เคยทุบตีนางเสียหน่อย! ข้าไม่ผิด เด็กสองคนนั้นทำการค้าของข้าขาดทุน ทั้งยังคิดจะหนีความผิด แล้วใส่ร้ายให้ข้างั้นหรือ? หึ ไม่มีทางเด็ดขาด!”

หยุนลี่เซี่ยวชี้ไปยังแม่นางเหยียนพร้อมสาปแช่งก่อนโผไปด้านหน้า ทว่าทันใดนั้นผู้เฒ่าหยุนก็ตะโกนออกมาขณะที่ใบหน้าของเขาดำคล้ำด้วยความโมโห

“เจ้าจะทำอันใดอีก? ยังขายหน้าไม่พออีกหรือ?! เจ้าทำเรื่องดี ๆ ไม่เป็นสินะ! กลับบ้าน!”

“ท่านพ่อฟั่นเฟือนแล้ว! ท่านก็เห็นว่านังแพศยาเป็นคนก่อเรื่อง เหตุใดถึงกล่าวโทษข้าเล่า…”

“เจ้า…” ผู้เฒ่าหยุนไม่อาจเสียภาพลักษณ์ต่อหน้าชาวบ้านได้ เขาจึงกล่าวด้วยความโมโหว่า “เจ้าคือความล้มเหลวของตระกูล!”