ตอนที่ 202 เป้าหมาย

ไม่ง่ายเลยกว่าที่หยุนลี่เต๋อและชาวบ้านจะเกลี้ยกล่อมจนแม่นางเหยียนยอมให้หยุนเชวี่ยพยุงนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กพลางเช็ดน้ำตา

“พี่สะใภ้หยุดร้องไห้แล้วมาเจรจากันให้ชัดเจนเถิด ท่านวางใจได้ ชาวบ้านทุกคนไม่กล่าวโทษท่านหรอก” หยุนลี่เต๋อกล่าว

แม่นางเหยียนสะอึกสะอื้น “คะ ครอบครัวของเจ้าจะทุบตีข้า ข้ากลัวเหลือเกิน…”

“พี่สะใภ้” หยุนลี่เต๋อกล่าวอย่างจนปัญญา ทว่าโชคดีที่เขาเป็นคนใจกว้างจึงข่มอารมณ์และกล่าวอย่างใจเย็น “เรื่องนั้นข้าจะชดใช้ให้ในภายหลัง ทว่าตอนนี้ข้าขอให้เด็กสองคนนี้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนได้หรือไม่?”

หยุนเชวี่ยเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยสายตาว่างเปล่า

เรื่องนี้ช่างน่าอึดอัดใจเสียจริง ทั้งที่โฉ่วเหือและโฉ่วช่วนก่อเรื่องจนทำให้การค้าของตระกูลหยุนพังจนไม่เหลือชิ้นดี หากพูดตามตรงแล้วครอบครัวของพวกเขาจะต้องรับผิดชอบและชดใช้ค่าเสียหาย

ทว่ายังไม่ทันเจรจาให้ชัดเจน ครอบครัวของหยุนเชวี่ยก็ต้องเสียเปรียบเพราะการกระทำสิ้นคิด ดังเช่นโบราณว่าไม่กลัวคู่แข่งเป็นเทพ กลัวก็แต่มีสหายร่วมกลุ่มเป็นควาย

เมื่อเป็นเช่นนั้นหยุนลี่เซี่ยวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็กระทืบเท้าพร้อมเผยสีหน้าขุ่นเคือง

“โฉ่วเหือและโฉ่วช่วนถูกเฆี่ยนตีจนมีสภาพเช่นนี้ เจ้ายังอยากจะพูดอะไรอีก ลูกน้อยผู้น่าสงสารของข้าไม่ได้รับเงินค่าจ้างแม้แต่แดงเดียว อีกทั้งยังถูกทุบตีโดยใช่เหตุ…” แม่นางเหยียนหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามก่อนเริ่มร้องไห้

“ท่านป้าสะใภ้ อย่าหาว่าข้าแส่ไม่เข้าเรื่องเลยนะเจ้าคะ ข้าเพียงอยากสอบถาม” หยุนเชวี่ยกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นทุบตีพวกเขาเพราะเหตุใดเจ้าคะ?”

แม่นางเหยียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ “พวกมันคงรังแกเพราะเห็นว่าลูกข้าเป็นเด็กบ้านนอก…”

หยุนเชวี่ยลอบกลอกตา “เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาถึงไม่ทุบตีข้า เหอยาโถว เสี่ยวส้วยเอ๋อ และชีจินเล่าเจ้าคะ?”

“คนในเมืองรังแกเราแล้ว คนบ้านนอกด้วยกันเองก็ยังรังแกพวกเราอีก…” แม่นางเหลียนแสร้งทำเป็นหูทวนลมและกล่าวตัดพ้ออีกครั้ง

หยุนเชวี่ยโกรธมากที่นางถูกเพิกเฉยจึงเดินออกไปยืนด้านข้างและปล่อยให้ชาวบ้านแสดงความคิดเห็นกับเกี่ยวกับวีรกรรมของสองพี่น้อง ฉับพลันนางก็ได้ยินเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “หวังหลี่เจิ้งกำลังมา!”

“หวังหลี่เจิ้งกำลังมา!” เหอยาโถววิ่งเข้ามากลางวงล้อมก่อนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง “ข้าเชิญหวังหลี่เจิ้งมาที่นี่และขอให้ท่านผู้เฒ่าเป็นคนตัดสินความยุติธรรม!”

หวังหลี่เจิ้งชรามากแล้ว ทว่าร่างกายยังคงแข็งแรง มักลูบเคราพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนดวงตากลายเป็นเส้นตรงเสมอ หวังหลี่เจิ้งมีอิทธิพลต่อชาวบ้านในหมู่บ้านไป๋ซีไม่น้อย ดังนั้นไม่ว่าปัญหาเล็กหรือใหญ่ ชาวบ้านจึงเชิญเขามาตัดสินปัญหาทุกครั้ง

เมื่อได้ยินว่าผู้เฒ่าหลี่กำลังเดินทางมา ชาวบ้านที่มุงดูต่างหลีกทางให้เขาเดินเข้ามาและรอให้กล่าวบางอย่าง

ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายชรารูปร่างผอมบางเส้นผมขาวโพลนก็มาถึงที่เกิดเหตุพร้อมหอบหายใจ เนื่องจากอายุมากแล้วจึงเหนื่อยง่าย

“ท่านหวังหลี่เจิ้งต้องให้ความยุติธรรมแก่ครอบครัวของข้านะเจ้าคะ…” น้ำตาของแม่นางเหลียนไหลรินอีกครั้ง

ชายชราอย่างหวังหลี่เจิ้งก็มีความอดทนเช่นกัน เขาลูบเคราพลางฟังแม่นางเหยียนเล่าเรื่องราวก่อนกระแอมในลำคอ “หากพูดกันอย่างยุติธรรม แม่นางบอกว่าแม่นางมีเหตุผลของตน ในเมื่อข้าฟังความจากฝั่งของเจ้าแล้ว คราวนี้ข้าต้องฟังความจากฝั่งตระกูลหยุนบ้าง”

หลังจากผู้จบ หวังหลี่เจิ้งก็หันไปทางหยุนลี่เต๋อ

“ข้าขอพูด…” หยุนลี่เซี่ยวก้าวไปด้านหน้าพร้อมโพล่งออกมา “หญิงบ้าผู้นี้พูดจาเหลวไหล ปั้นน้ำเป็นตัว…”

“หุบปาก! ปล่อยให้เจ้ารองพูด!” ผู้เฒ่าหยุนคำรามเสียงดัง

ผู้เฒ่าหยุนรู้ดีว่าอุปนิสัยของบุตรคนที่สามของตนเป็นอย่างไร และอีกประเดี๋ยวหยุนลี่เซี่ยวจะต้องพูดเรื่องเงินชดใช้ค่าเสียหายห้าสิบตำลึงจนเขาต้องอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแน่

“ท่านพ่อ!” หยุนลี่เซี่ยวไม่พอใจ “เหตุใดข้าถึงพูดไม่ได้ หากพี่รองเห็นขี้ดีกว่าไส้*อีก ท่านจะทำอย่างไร?!”

*เห็นขี้ดีกว่าไส้ เปรียบเปรยถึงเห็นผู้อื่นดีกว่าญาติพี่น้อง

“เจ้า…” ผู้เฒ่าหยุนมองหน้าลูกชายด้วยความโมโห “เหตุใดตระกูลหยุนถึงมีคนสารเลวเช่นเจ้า!”

“ไม่รีบร้อน ค่อย ๆ พูดทีละคนเถิด” หวังหลี่เจิ้งผู้ใจเย็นมีจิตใจเมตตา “ให้เจ้ารองพูดก่อน จากนั้นให้เจ้าสามพูดต่อ”

หยุนลี่เซี่ยวสะบัดขาพร้อมเบ้ปากอย่างอับอาย

หยุนลี่เต๋อพยักหน้าก่อนกล่าวอย่างใจเย็น “เรื่องนี้เกี่ยวกับการค้าขายบ๊วยดองน้ำตาลของตระกูลข้า พวกเราจึงอยากให้เด็กสองคนนี้อธิบายว่าเหตุใดเขาถึงถูกทุบตี อีกทั้งยังทำตระกูลของข้าขาดทุนมากมาย”

หยุนลี่เซี่ยวแค่นเสียงอย่างโกรธเคือง “ครอบครัวของตนผิดแท้ ๆ ยังมาป้ายสีครอบครัวข้าอีก หึ…”

หยุนลี่เต๋อไม่สนใจคำพูดของน้องชายและเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนจบก่อนพยักหน้าให้หวังหลี่เจิ้ง

“เจ้าสาม ถึงเวลาของเจ้าแล้ว” หวังหลี่เจิ้งกล่าวพร้อมเผยสีหน้าเป็นมิตร

ทันทีที่หวังลี่เซี่ยวอ้าปาก คำพูดเสียดสีและเรื่องไร้สาระก็พรั่งพรูออกมา

“เดิมทีการค้าขายเป็นไปด้วยดี ทว่าเจ้าเด็กเปรตพวกนี้ทำมันพัง!”

“เมื่อก่อนครอบครัวข้ามีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ตอนนี้เงินกำไรหดหายจนแทบจะอดตายอยู่แล้ว!”

“หลังจากเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น ข้าคงทำทั้งธุรกิจในเมืองและนอกเมืองไม่ได้อีกต่อไป พวกเจ้าจะชดใช้อย่างไร!”

“ข้าลำบากใจเหลือเกิน หากเช่นนั้นพวกเจ้าจ่ายค่าสินไหมทดแทนก็แล้วกัน…”

หยุนลี่เซี่ยวเอียงคอพร้อมเบ้ปากพลางชูนิ้วทั้งห้าขึ้น

แม่นางเหยียนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “ห้าตำลึงรึ? เพียงแค่บ๊วยดองน้ำตาลไม่กี่ห่อถึงกับเรียกค่าเสียหายห้าตำลึง มันไม่มากไปหน่อยหรือ? โฉ่วเหือและโฉ่วช่วนตะลอนอยู่ข้างนอกทั้งวัน แต่กลับได้รับเงินค่าจ้างเพียงสิบเหรียญ!”

“ห้าตำลึง? หญิงบ้าอย่างเจ้าคิดได้เช่นไร…” หยุนลี่เซี่ยวกอดอกก่อนอ้าปากกล่าวต่อ

ผู้เฒ่าหยุนรีบห้ามปรามลูกชาย “พอได้แล้ว ผู้เฒ่าหลี่จะเป็นคนตัดสินใจเอง หุบปากเสีย!”

“อะไร ห้าตำลึงยังไม่พออีกรึ?” แม่นางเหยียนตบต้นขาอีกครั้ง “ทุกคนฟังสิ นี่มันคือการรีดเลือดกับปูชัด ๆ! บ๊วยฝังทองและเงินหรือ? เหตุใดมันถึงมีค่าเพียงนั้น?! มีกำหนดไว้ในกฎหมายหรือไม่!”

“เจ้าสาม ครอบครัวของเจ้าไร้เหตุผลเกินไปแล้ว เหตุใดถึงไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ครบถ้วนเล่า เจ้าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“ไม่สิ มันไม่ง่ายสำหรับทุกคน เงินเหล่านั้นไม่ได้งอกออกจากต้นไม้

“ท่านผู้เฒ่าหลี่ ท่านเป็นคนตัดสินความยุติธรรม เจ้าสาม… อนิจจา! ทุกคนดูเขาทำเข้าสิ ข้าอยากจะเห็นเจ้ารับกรรมเสียจริง!”

เหล่าชาวบ้านทนดูเหตุการณ์ต่อไปไม่ไหวจึงเกลี้ยกล่อม ทว่าคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเข้าข้างครอบครัวของผู้เฒ่าเฝิงที่ควรจะเป็นฝ่ายชดใช้ ดังนั้นฝ่ายที่มีเหตุผลเช่นตระกูลหยุนจึงกลายเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์

รอยเหี่ยวย่นปรากฏขึ้นบนหน้าผากของผู้เฒ่าหยุน เพราะเขารู้สึกอับอายจนไม่กล้ามองหน้าผู้อื่น หากไม่อยู่ต่อหน้าสาธารณชน เขาคงเตะไอ้ลูกอันธพาลไร้ประโยชน์จนล้มลงไปกองกับพื้น

“ท่านหวังหลี่เจิ้ง เรื่องนี้… เรื่องนี้จะโทษเราสองคนไม่ได้นะขอรับ” ในที่สุดโฉ่วเหือก็พูดออกมา หลังจากปิดปากเงียบอยู่นาน

“ใช่แล้ว เรื่องนี้โทษเราไม่ได้ หากจะโทษก็ต้องโทษเถียนตวนสื่อ” โฉ่วเหือเห็นพี่ชายโพล่งออกมา เขาจึงกล่าวเสริม “เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเถียนตวนสื่อ เขาชวนพวกเราไปชมงานแต่งงานที่มณฑลอื่น ทั้งยังบอกว่าจะได้เงินอั่งเปา พวกเราจึงตามไป แต่ใครจะคิด…”