บทที่ 49 กลองหนังปฐพี

ท่องภพสยบหล้า

“ผู้ชนะ เจ้าเถี่ยเหอแห่งเมืองซานซาน!”

เสียงประกาศของผู้ตัดสินดังขึ้นในที่สุด และแทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ร่างของเจ้าเถี่ยเหอที่เหวี่ยงหมัดสุดกำลังก็พลันล้มลง

อาการบาดเจ็บของเขาความจริงสาหัสกว่าหลินเจิ้งหลี่มาก พลังกายก็ถึงขีดจำกัดนานแล้ว ตอนสุดท้ายอาศัยพลังใจแน่วแน่เหวี่ยงหมัดล้วนๆ

ตอนนี้เขาตัวอ่อนยวบลงไปนอนหงายอยู่บนพื้น

หลินเจิ้งหลี่ที่อยู่ข้างๆ เกือบจะถูกหมัดของเขาชกลงไปในหลุมเต็มที หมดสติไปก่อนแล้ว

บนสนามประลองเต็มไปด้วยเศษหิน ซากเถาวัลย์ หลุมใหญ่ น้ำ และคราบเลือด…ทุกที่มีแต่ความเสียหาย

เสียงปรบมือนอกสนามเพิ่งจะดังขึ้นมาในตอนนี้

ตอนแรกมีแค่เสียงเปาะแปะ เพราะคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่คนบ้านเดียวกับพวกเขา แต่ไม่นานเสียงตบมือก็ดังสนั่น

การต่อสู้ศึกนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก และก็ทำให้ทุกคนได้รู้จักความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญจากเมืองซานซาน

เมื่อนับถือเจ้าเถี่ยเหอ จึงเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเมืองซานซานใหม่ บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากพิสูจน์มากที่สุดโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

พวกเขาเกิดในพื้นที่แร้นแค้นกันดาร อยู่ในเขตภูเขาที่สัตว์ร้ายเพ่นพ่าน แต่พวกเขาไม่ใช่คนเถื่อน พวกเขามีความรักความแค้น มีความฝัน…มีเกียรติยศศักดิ์ศรีของตัวเอง

“ไม่ง่ายเลย” หลิงเหอตบมือจนฝ่ามือทั้งสองแดง บางทีเขาอาจเป็นคนเดียวในบรรดาคนทั้งหลายที่ไม่เคยดูถูกผู้บำเพ็ญจากเมืองซานซานว่าเป็นคนเถื่อนเลย

เพราะเข้าใจความรู้สึกที่ถูกเหยียดหยามดูหมิ่น ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเหยียบย่ำผู้อื่นง่ายๆ

เจ้าหรู่เฉิงกลับสนใจอีกเรื่องหนึ่ง “สองคนสู้กันจนเป็นแบบนี้ พี่สามก็ชนะโดยไม่ต้องสู้น่ะสิ!”

หวงอาจ้านที่อยู่ข้างๆ คำนวนเรียบร้อยแล้ว “ชนะหนึ่งศึกได้สิบแต้มเต๋า สองศึกนี้ไม่ต้องสู้ก็ชนะ ลูกศิษย์ปีหนึ่งที่ชนะเลิศงานสามเมืองเสวนาเต๋าจะได้แต้มเต๋าเป็นสองเท่า รวมกันแล้ว…ได้ห้าสิบแต้มเต๋า ลูกกลอนเปิดชีพจรครึ่งเม็ด! ต้องเลี้ยงแล้ว!”

หากไม่ได้กังวลว่าเจียงอันอันอยู่ด้วย เกรงว่าหอสามจรุงคงหลุดออกจากปากไปแล้ว

“แต้มเต๋าคืออะไร มีค่ามากหรือ” เจียงอันอันถามอย่างสงสัย

“ใช่แล้ว” เจ้าหรู่เฉิงรู้เรื่องที่เจียงอันอันทำงานหาเงิน ‘ใช้หนี้’ แล้ว จึงเอ่ยหยอกล้อนาง “หนึ่งแต้มเต๋ามีค่ามากกว่ากล่องสมบัติที่เจ้าหามาได้เยอะเลย”

เจียงอันอันนับนิ้ว คำนวณอย่างจริงจังครู่หนึ่ง จากนั้นก็กางมือออก วาดเป็นวงกลมวงใหญ่วงหนึ่ง “เยอะมากจริงๆ ด้วย!”

……

หลังจากการประลองรอบแรกจบลง มีเวลาพักฟื้นกำลังแค่เวลาสั้นๆ เท่านั้น แม้จะไม่ค่อยยุติธรรมสำหรับเจ้าเถี่ยเหอที่เพิ่งผ่านศึกหนักมาสักเท่าไร แต่กฎก็เป็นเช่นนี้

หลังจากผู้ตัดสินถามซ้ำแล้วซ้ำอีก เจ้าเถี่ยเหอก็ยืนขึ้นมาอย่างโงนเงน เขายังอยากจะสู้ต่อ

เจียงวั่งยืนอยู่ตรงข้ามกับเขา มือถือกระบี่ สายตาจับจ้อง

“ลงมาเถอะ” ซุนเสี่ยวหมานพูดขึ้น

นางรูปร่างเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เสียงก็เหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่คำพูดจากปากของนาง เจ้าเถี่ยเหอไม่อาจเมินเฉยได้

เขาหันมามองซุนเสี่ยวหมานแล้วพูดว่า “ข้ายังมีอีกชีวิตหนึ่งให้สู้ตายได้”

ท่าทีของเขาไม่ได้ดูดุดัน กลับสงบนิ่งมากด้วยซ้ำ เพราะเขากำลังพูดเรื่องจริง

เจียงวั่งไม่ใช่ผู้อ่อนแอแน่นอน เป็นคนที่สู้ตัวต่อตัวเอาชนะหยางซิ่งหย่งมาได้ หนำซ้ำตอนนี้ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม

ในตอนนี้เวลานี้ เขาไม่มีอะไรให้สู้สุดกำลังได้แล้วนอกจากชีวิต

“ชีวิตของเจ้าสำคัญ เมืองซานซานต้องการเจ้ามาก” ซุนเสี่ยวหมานกล่าวอย่างจริงจังยิ่ง “ก่อนหน้านี้อนุญาตให้เจ้าสู้สุดชีวิตได้ก็เพราะเจ้ายังมีโอกาส แต่ตอนนี้ไม่อนุญาต เพราะโอกาสนั้นหมดไปแล้ว ในตัวเจ้ามีทรัพยากรที่ลงทุนไปมากมาย ชีวิตของเจ้าจะสูญเสียเปล่าไม่ได้”

ก็ไม่รู้ว่าประโยคไหนที่ทำให้เขายอมจำนน เจ้าเถี่ยเหอหันหลังกลับ โซซัดโซเซลงจากเวทีไป

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ในพริบตาที่เขาหมุนตัว เจียงวั่งเหมือนเห็นประกายน้ำตาสะท้อนแล้วหายวับไปในดวงตาเขา

ผู้ชายประเภทนี้หลั่งน้ำตาเป็นด้วยหรือ

เจียงวั่งไม่อาจเข้าใจความยึดมั่นในเรื่องแพ้ชนะจนเกือบจะเป็นความดื้อดึงของผู้บำเพ็ญเมืองซานซานเหล่านี้ได้เลย

เขาทำเต็มที่แล้ว ทำไมถึงเศร้าโศกเสียใจที่ตัวเองสู้จนตัวตายไม่ได้

เจียงวั่งก้าวสู่การประลองศึกที่สามพร้อมด้วยคำถามเช่นนี้…ตอนนี้หลินเจิ้งหลี่ยังไม่ฟื้นด้วยซ้ำ หลินเจิ้งเหรินจึงยอมแพ้แทนอีกครั้ง

เจียงวั่งได้เป็นผู้ชนะเลิศของศิษย์ปีหนึ่งในงานสามเมืองเสวนาเต๋าไปเช่นนี้ เนื่องจากคู่ต่อสู้พ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ดูเหมือนจะไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก แต่ว่า…

“สนใจอะไรกัน! แต้มเต๋าอยู่ในมือนั่นคือของจริง” เจ้าหรู่เฉิงพูด

เวลานี้เจียงวั่งออกมานอกสนามประลองแล้ว มาเป็นผู้ชมอยู่กับพวกหลิงเหอ

สำหรับผู้บำเพ็ญที่ชิงเกียรติยศมาให้พวกเขา ประชาชนเมืองเฟิงหลินนับว่าใจกว้างนัก เว้นที่ว่างจุดหนึ่งไว้ให้เจียงวั่งที่ลงจากสนามประลองมาพัก

เจียงอันอันกับเด็กหญิงตัวน้อยผู้อวดดีคนนั้นนั่งอยู่ด้วยกันข้างหน้าสุด ส่วนพวกเจียงวั่งนั่งอยู่ข้างหลังคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อย

สิ่งเดียวที่ทำให้เจียงวั่งประหลาดใจก็คือ พรมเมฆาที่ปูรองอยู่บนพื้นไม่ใช่ฝีมือของเจ้าหรู่เฉิง แต่คนชราที่ดูแลคุ้มครองแม่หนูชิงจื่อเป็นคนเอามา

พรมเมฆาผืนนี้น้ำหนักเบายิ่ง วัสดุอ่อนนุ่ม เป็นของรักที่คนทั่วไปไม่มีทางได้ใช้เสวยสุข แต่คนใช้ของชิงจื่อกลับเอาผืนใหญ่แบบนี้มาปูพื้น

เจียงวั่งทำได้เพียงทอดถอนใจ โลกของคนมีเงินเหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ

คิดถึงฐานะเดิมตั้งแต่เขายังเล็ก ที่บ้านมีร้านค้าเป็นของตัวเอง นั่นก็ไม่ต้องห่วงเรื่องกินดื่มแล้ว แต่นับจากที่ได้รู้จักเจ้าหรู่เฉิง ก็มักจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนขอทานเสมอ

คนชราหลังค่อมมองประเมินเจียงวั่งอยู่หลายครั้ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่นึกเลยว่าพวกเจ้าจะคืนกล่องสมบัตินั่นมา สหายน้อยเจียงสั่งสอนน้องสาวได้ดีนัก”

เสียงของคนชรามีเมตตา แต่เมื่อเข้าคู่กับหน้าตาอัปลักษณ์แล้วช่างไร้ความน่าเชื่อถือ

เจียงวั่งไม่ใช่คนที่ตัดสินคนจากภายนอก คำพูดที่ตอบกลับไปจึงไม่เมินเฉย “เป็นสิ่งสมควรกระทำอยู่แล้ว เดิมก็เป็นแค่คำพูดล้อเล่นระหว่างเด็กๆ จะถือเป็นเรื่องจริงได้อย่างไร”

“ขงจื่อกล่าวว่า ลาภยศที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรม สำหรับข้าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเมฆลอยคล้อย คำพูดของสหายน้อยเจียงมีลักษณะอย่างสำนักหรูอยู่มากนัก”

มาถกประเด็นลักษณะของสำนักหรูกับศิษย์สำนักเต๋าคนหนึ่งในรัฐจวง คนชราหลังค่อมผู้นี้ท่าทางคงเรียนจนเพี้ยนไปแล้ว

เจียงวั่งหัวเราะไปเรื่อยเปื่อยแล้วพูดว่า “การแข่งขันเริ่มแล้ว”

……

งานสามเมืองเสวนาเต๋าแบ่งระดับศิษย์ชั้นปีหนึ่ง ปีสาม และปีห้า แต่ว่ากฎโดยปกติแล้วไม่แตกต่างกัน

หลีเจี้ยนชิวและหวางฉางเสียงปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน การประลองทั้งสามศึกดำเนินไปพร้อมกัน

เจียงวั่งนั่งดูการต่อสู้ทั้งหมดอย่างจดจ่อ

คู่ต่อสู้ของหลีเจี้ยนชิวมาจากเมืองซานซาน การประลองยังคงน่าตื่นตาตื่นใจเช่นเคย ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงการควบคุมวิชาเต๋าที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง สู้กันไปมา โรมรันกันอยู่นาน สุดท้ายหลีเจี้ยนชิวใช้วิชาเต๋าธาตุไฟเอาชนะคู่ต่อสู้ได้

ส่วนการต่อสู้ของหวางฉางเสียงกับผู้บำเพ็ญเมืองวั่งเจียงเทียบกันแล้วง่ายกว่ามาก หลังจากการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น เขาก็ใช้วิชาเต๋าเรียกหมอกออกมาบดบังทัศนวิสัยของคู่ต่อสู้ จากนั้นประสานปางมืออย่างสุขุม วิชาลมหายใจพายุมังกรก็หอบม้วนคู่ต่อสู้ขึ้นฟ้า

วิชาเต๋าชั้นหนึ่งอย่างลมหายใจพายุมังกร ในการต่อสู้ระดับนี้แทบจะไม่สามารถแก้ทางได้ เจียงวั่งจำได้ว่าตอนอยู่ที่ตำบลเสี่ยวหลิน ลมหายใจพายุมังกรครั้งหนึ่งก็สูบพลังของหวางฉางเสียงจนหมดได้ ยังนึกสงสัยอยู่ว่าเขายอมแพ้กับการต่อสู้รอบต่อไปแล้วหรือไร

แต่เมื่อการต่อสู้จบลง หวางฉางเสียงก็หยิบหินรากพลังเต๋าก้อนหนึ่งออกมาแล้วเริ่มดูดซับ…

จะเห็นได้ว่าครั้งนี้ตระกูลหวางทุ่มสุดตัว ต้องการคว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศระดับศิษย์ปีสามมาให้ได้

ทว่าการประลองที่ประชาชนเมืองเฟิงหลินสนใจที่สุด ก็ยังเป็นการประลองของคนชุดคลุมดำจากเมืองซานซานคนนั้น

ตอนที่ชุดคลุมดำถูกปลดออก เผยให้เห็นเด็กชายตัวอ้วนที่น่าขบขันคนหนึ่ง เหล่าประชาชนเมืองเฟิงหลินที่ล้อมดูอยู่ก็ถอนหายใจด้วยความเสียดายพร้อมกัน

ในจินตนาการของพวกเขา ข้างในชุดคลุมดำควรจะเป็นจอมปีศาจมีรอยแผลจากดาบเต็มใบหน้า ต่อให้แย่อย่างไร หน้าตาดุร้ายเหี้ยมโหดสักนิดก็ยังดี ไม่ควรเป็นคนอ้วนจ้ำม่ำที่ดูแล้วรังแกได้ง่ายแบบนี้

แต่สิ่งที่ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังเสียทีเดียวก็คือ เจ้าอ้วนคนนี้แข็งแกร่งมาก!

การประลองเริ่มขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสหายร่วมกลุ่มก่อนหน้านี้แพ้ติดๆ กันหรือไม่ ผู้บำเพ็ญชั้นปีที่สามจากเมืองวั่งเจียงจึงแสดงพลังต่อสู้เต็มที

เขาใช้สว่านวารีห้าดอกปักเป็นค่ายกล ทั้งยังซ่อนดาบวายุไว้ระหว่างสว่านวารีอย่างเจ้าเล่ห์

จากนั้นก็เป็นหนามปฐพี สุดท้ายถึงประสานปางมือเตรียมวิชาคลื่นพิโรธ

วิชาเต๋าธาตุลม น้ำ และไม้ใช้ผสมกัน สับเปลี่ยนกันไปมาชวนให้คนตาลาย

ส่วนเจ้าอ้วนน้อยจากเมืองซานซานตั้งแต่ต้นจนจบทำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…พุ่งไปข้างหน้า

เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างไร้เหตุผล แทบจะใช้วิชาเต๋าที่ดุดันรุนแรงพุ่งตรงไป

พุ่งไปถึงข้างหน้าคู่ต่อสู้ ก่อนจะเงื้อหมัดชกออกไป

การต่อสู้จบลง เสื้อผ้าของเจ้าอ้วนน้อยถูกทำลายจนเป็นรูไปหมด เนื้ออ้วนๆ ที่โผล่ออกมากลับยังคงแดงก่ำ

ส่วนคู่ต่อสู้ล้มไปแล้ว

ผู้คนต่างอึ้งตะลึง

“การป้องกันกายเนื้อของเขาแข็งแกร่งนัก!” หลิงเหออุทานชื่นชม

“เป็นวิชายุทธ์ล้วนๆ เลยหรือ”

“ไม่ หมัดสุดท้ายของเขาคือหมัดพลิกศิลา เขาใช้วิชาเต๋า”

“ก็ไม่เห็นว่าสำแดงเคล็ดวิชาผิวศิลาอะไรประเภทนั้น ทำไมการป้องกันถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้”

คนเหล่านี้อย่างไรเสียก็เป็นคนหนุ่มสาว ยังรู้น้อยเห็นน้อย ถกกันอยู่นานก็จับต้นชนปลายไม่ถูก

“เป็นกลองหนังปฐพี วิชาเต๋าที่เกิดขึ้นมานานแล้ว” จู่ๆ คนชราหลังค่อมที่ฟังอยู่ข้างๆ มานานก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา

แต่รายละเอียดของวิชาเต๋าวิชานี้ เขากลับไม่ยอมพูดออกมา

………………………………………………………