อวิ๋นหว่านถงเผยความซีดเผือดขึ้นเล็กน้อย “ไต้ซือ คนที่จะเอาชนะลูกในท้องนี้ได้คือผู้ใด หากคนคนนั้นตายไป ลูกในท้องของข้าจะคลอดออกมาอย่างปลอดภัย สุขสบายไปทั้งชีวิตได้หรือไม่”
ไต้ซืออู้เต๋อยั้งไว้ “ความลับสวรรค์มิอาจเปิดเผย อาตมาบอกได้เพียงเล็กน้อย ที่เหลือ ก็ต้องดูโอกาสของโยมแล้วล่ะ”
อวิ๋นหว่านถงขบกรามแน่น
แม้อนุฟางจะออกไปข้างนอกแล้ว ทว่าเงี่ยหูฟังอย่างแนบชิด พอได้ยินว่าลูกในท้องของลูกสาวอาจจะไม่ปลอดภัย แถมยังมีดวงเพชรฆาต ทว่าตาแก่หัวโล้นนี่กลับไม่บอกว่าจะเป็นจะตายอย่างไง นางทนไม่ไหวแล้ว จึงพุ่งพรวดเข้าไป ตบโต๊ะอีกครั้ง ก่อนจะสบถ “เจ้าอยากได้เงินเท่าไรก็พูดมาตรงๆ กลัวว่าเราจะไม่มีปัญญาจ่ายหรืออย่างไร ขอแค่บอกว่าดวงเพชรฆาตผู้นั้นคือใร ปกป้องให้เด็กในครรภ์ปลอดภัย จะดีแก่ตัวเจ้า! หากไม่ยอมบอก ข้าจะเรียกให้องครักษ์มาทำร้ายเจ้าจนร้องหาพ่อหาแม่ไปเลย!”
ไต้ซืออู้เต๋อหน้าดำคร่ำเครียดอีกครั้ง ตัวสั่นฉับพลัน เสื้อผ้าทั้งร่างสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับมีลมพัดเข้าไปในคอเสื้อ
อนุฟางยังไม่รู้สึกตัว รู้สึกเพียงกระแสลมแรงพัดเข้ามา พละกำลังรุนแรง จนทำให้ร่างทั้งร่างล้มกองลงกับพื้น พร้อมกับไหลไปชนโต๊ะวางธูปเทียนอีกหลายโต๊ะ กระดูกทั้งเรือนร่างแทบแหลกสลาย นางหมอบลงบนพื้นก่อนจะพูดด้วยความโมโห “เจ้า…ไอ้โล้น…รู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร…ข้าเป็นถึง…”
อวิ๋นหว่านถงส่งสายตาไปให้ ยวนยางรีบเข้าไปปิดปากอนุฟาง ก่อนจะประคองขึ้นมา
อวิ๋นหว่านถงลากอนุฟางออกไป พร้อมกับยวนยางและองครักษ์
แม้ก้นของอนุฟางจะเจ็บเพียงใด ทว่ายังไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังคงโมโหอย่างยิ่งยวด “เหตุใดเจ้าไม่ถามให้รู้เรื่องเล่า ต่อให้ต้องงัดปากตาแก่หัวโล้นนั่น ก็ต้องถามให้รู้เรื่อง……”
ข้อศอกถูกลูกสาวจับไว้ อวิ๋นหว่านถงหน้าตาถมึงทึง “ท่านแม่บ้าบิ่นไปเพื่อสิ่งใดกัน จะตีเขาให้ตาย ท่านแม่ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าเขามีวิชากำลังภายใน ก่อนที่จะตีผู้อื่นให้ตาย ผู้นั้นก็ได้ฆ่าท่านแม่ก่อนน่ะสิ! อีกอย่าง หากฆ่าให้ตายจริงจะทำอย่างไรต่อเล่า! ท่านแม่เห็นหรือว่าเขาแข็งกร้าวขนาดไหน บังคับเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร วันนี้พอเท่านี้ก่อนเถิด อีกสองสามวันข้าค่อยเอาของขวัญชิ้นใหญ่มาให้ ค่อยๆ เค้นคอ!”
ครานี้อนุฟางถึงได้หายใจหายคอได้อีกครั้ง ตอนนี้หากจะทำธุระอะไร ไม่สามารถใช้ฐานะแม่ของชายารองได้อีกแล้ว เอ่ยอยากเ**้ยมโหด “ดี! ตาแก่หัวโล้น ไม่รักดีเพียงนี้! รอให้เจ้าคลอดลูกออกมาก่อนเถอะ ลูกแม่ แม่จะเชือดเขาแทนลูกเอง!”
“เจ้าค่ะๆ ถึงตอนนั้นท่านแม่จะหั่นเขาอย่างไรก็ตามใจเถิด” อวิ๋นหว่านถงเอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญเหลือทน เนื่องจากภายในใจยังคงยุ่งเหยิงเล็กน้อย
ทั้งสองแม่ลูกจากกันที่ประตูหน้าวัดหวาอัน ต่างคนต่างขึ้นรถกลับไป
*
ภายในวิหารของวัด เมื่อผู้คนจากไป วิหารว่างเปล่า บรรยากาศสงบลง
พระสองสามรูปส่ายหัว แล้วเริ่มทำความสะอาดวิหารที่ถูกคนของอวิ๋นหว่านถงทำสกปรก
ไต้ซืออู้เต๋อสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะลุกขึ้นยืน นัยน์ตาสงบนิ่ง ทว่าเมื่อกลอกสายตาไปด้านหลังแวบหนึ่ง “ออกมาเถิด ไม่ต้องซ่อนแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นตกตะลึง ถูกเขาจับได้เสียอย่างนั้น ทว่าก็ไม่น่าแปลกใจ ที่เขาสามารถเขย่าอนุฟางโดยที่นั่งนิ่งๆ ห่างออกไปสองสามจั้ง[1] นางคิดว่าต้องมีกำลังภายไม่น้อยทีเดียว มิเช่นนั้นจะได้ยินว่าหลังม่านมีคนได้อย่างไร
นางจัดระเบียบเสื้อผ้า เปิดม่านออกมา เดินตรงไปด้านหน้าของไต้ซืออู้เต๋อพร้อมกับชูเซี่ย สองมือประนม น้อมกายคำนัก เอ่ย “ข้าน้อยนมัสการไต้ซืออู้เต๋อ”
เณรน้อยที่เมื่อครู่หลังจากพาอวิ๋นหว่านชิ่นทั้งนายและบ่าวไปที่หลังม่าน แล้วพบว่านางถูกจับได้ เกิดกลัวว่าไต้ซือจะกลั่นแกล้งนาง จึงวิ่งเข้าไปใกล้ สองมือประนม คำนับ “ไต้ซือ สีกาผู้นี้เป็นผู้ศรัทธาไต้ซือ เนื่องจากเลื่อมใสไต้ซือ ศิษย์ถึงได้พานางมาที่ด้านหลัง แอบฟังคำสอนของไต้ซือเป็นการส่วนตัว ไต้ซือได้โปรดอย่าถือโทษเลย”
ไต้ซืออู้เต๋อกวาดตาไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น แม้จะอยู่ในชุดสาวชาวบ้านธรรมดา ทว่าดวงตาคู่ที่แสนเฉียบคมนี้ มองรูปลักษณ์และกริยาท่าทางออก ความกล้าหาญก็นับว่ามีอยู่มาก อีกทั้งด้านหลังยังพาสาวใช้มาอีก จึงอดไม่ได้ที่จะลูบหนวดขาวพริ้วไหวและแสนดกดื่น “มิต้องพิธีรีตองกระมัง ฐานะของโยมสูงส่ง คนยากจนเช่นอาตมาจะรับไหว้โยมอย่างไรเล่า”
เมื่อเณรน้อยได้ยินคำกล่าวนี้แล้ว คิดว่าไต้ซืออู้เต๋อโกรธแน่ๆ จึงรีบร้อนช่วยสีกาอธิบาย “ไต้ซือ……” ทว่ากลับได้ยินอวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ย
“ไต้ซือคือนักบุญในหัวใจของผู้ศรัทธาพุทธศาสนาแห่งต้าเซวียน ทุกครั้งที่ไปยังสถานที่ใดที่หนึ่ง คนในท้องที่ทุกคนจะย่างกรายเข้าสู่ธรณีประตูของวัดเพื่อมาพบกับไต้ซือ เหตุใดจึงไม่สามารถรับไหว้ผู้น้อยได้เล่า ผู้น้อยเป็นเพียงสามัญชนในเยี่ยจิงเท่านั้น”
ไต้ซืออู้เต๋อรู้ว่านางกำลังทดสอบตน และภายในใจยิ่งชัดเจน หญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดา กระตุกริมฝีกปาก ราวกับจะยิ้มทว่าก็ไม่ “เห็นเสื้อผ้าและเครื่องประดับของโยมไม่ถึงกับแพงมากมายนัก ทว่าคำพูดและท่าทางกลับหาตัวจับยากนัก แม้จะมีสาวใช้ข้างกายเพียงคนเดียว ทว่ากลับดูมีอำนาจมากกว่าฮูหยินสูงศักดิ์เมื่อครู่ ที่มาพร้อมกับกลุ่มคนโอ้อวดแสนยานุภาพคนนั้น” เอ่ยจบก็หยุดชั่วครู่ ก่อนจะหันไปมองเณรน้อย “อีกอย่าง เณรน้อยซุนคนนี้โดยปกติแล้วเป็นลูกศิษย์ที่ขี้ขลาดที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเคารพและยำเกรงอาตมาและพระอาจารย์ภายในวัดมาก เห็นอาตมายังไม่กล้าพูดเลยด้วยซ้ำ วันนี้ทำเพื่อโยม โดยไม่กลัวโดยตีแล้ว นอกจากจะทำผิดกฎวัด พาโยมมาอยู่หลังม่านมุก ยังข้อร้องเพื่อโยมครั้งแล้วครั้งเล่า แสดงว่าตัวโยมนั้นมีพลังบางอย่าง ที่ทำให้คนอื่นมิอาจปฏิเสธการช่วยและพร้อมปกป้อง ถ้าเป็นเช่นนี้ โยมจะเป็นลูกตาสีตาสาธรรมดาได้อย่างไร แล้วอาตมาจะเรียกให้โยมมาไหว้ได้อย่างไรเล่า”
เมื่อเอ่ยจบ จีวรพระสะบัดไปมาเท่ากับจะต้องไปแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขาจะไป จึงรีบพูด “ช้าก่อนไต้ซือ”
ไต้ซือก็คือไต้ซือ! ชมเสียจนเวียนหัว จับต้นชนปลายไม่ถูก รอให้ตนนั้นตั้งสติได้ ท่านก็จะไปอยู่รอมร่อ
ไต้ซืออู้เต๋อหรี่ตา “ทำไม มีเซียมซีอะไรจะให้อาตมาทำนายอีกหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มพลางเอ่ย “ในเมื่อวันนี้ฟ้าฝนเป็นใจ ข้ายังไม่รบกวนไต้ซือหรอก เพียงแต่ข้าได้ยินคำอธิบายที่ไต้ซือพูดให้ฮูหยินท่านนั้นตอนที่อยู่หลังม่านแล้ว มีข้อสงสัยเล็กน้อย อยากจะให้ไต้ซือคลายความสงสัยให้ข้าที”
ประโยคฟ้าฝนเป็นใจหนึ่งประโยค แสดงถึงความมั่นใจของแม่นางอย่างชัดเจน
คนที่มาวัด ต่างเป็นคนทุกข์ใจหรือมีสิ่งที่ปรารถนาทว่ายังไม่สมหวัง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มาวัดแล้วบอกกับพระโพธิสัตว์ว่าข้าสบายดี ไม่ต้องให้พระโพธิสัตว์ช่วยเหลือ
ดูเหมือนว่าการมาวัดหวาอันของแม่นางผู้นี้มีจุดประสงค์อื่น แอบอยู่หลังม่าน จุดประสงค์การมาครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่อาจจะเป็นฮูหยินที่อำนาจบาตรใหญ่เมื่อครู่
ไต้ซืออู้เต๋อเกิดความสนใจขึ้นมา พลางลูบหนวดเงิน
เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขายินดีที่จะคุยกับตนแล้ว ก็คร้านที่จะพูดอ้อมไปมา “รู้มานานแล้วว่าไต้ซือเชี่ยวชาญในพระธรรม บำเพ็ญเพียรปฏิบัติมานานหลายปี เป็นเซียนบนโลกมนุษย์ ชาวบ้านพากันสรรเสริญว่าไต้ซือเพียงเอ่ยปากล้วนเป็นจริงทุกสรรพสิ่ง วันนี้ได้มาพบ เป็นการเปิดโลกข้าได้อย่างแท้จริง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ เพียงเวลาน้อยนิด ไต้ซือทราบได้อย่างไรว่าฮูหยินสูงศักดิ์ที่มาขอคำทำนายท่านนั้นตั้งครรภ์ และมองออกได้อย่างไรว่าทั้งร่างนางเต็มไปด้วยแรงอาฆาต ไม่อาจคลอดลูกได้อย่างปลอดภัยได้”
——
[1] จั้ง 1 จั้งเท่ากับ 10 ฟุตหรือ 3.33 เมตร