ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 178 บรรดาอัจฉริยะค้อมศีรษะ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อาหู่ได้ยินคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ก็ยกยิ้มที่มุมปากอย่างอดไม่ได้ ‘คุณชาย หากคำพูดนี้ของท่านถึงหูคนตำหนักอัสนีสวรรค์เข้า เกรงว่าพวกเขาต้องเอะอะโวยวายแน่ขอรับ’

ไม่เพียงแต่อัดเสียจื่ออี้ ศิษย์รุ่นเยาว์ผู้โดดเด่นแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์จนจมดินเท่านั้น ยังพูดโพล่งว่าวิชาอัสนีวัฏจักร วิชาลับสืบทอดของสำนักมีข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงอีก เกรงว่าไม่เพียงเฉินหลินและศิษย์อ่อนอาวุโสคนอื่นๆ จะเอะอะโวยเท่านั้น ยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ของตำหนักอัสนีสวรรค์คงจะมาหาเรื่องเยี่ยนจ้าวเกอด้วยเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ ‘กระบวนท่าอัสนีวัฏจักรท่านี้ ต่อให้เป็นมหาปรมาจารย์ หากพลังฝึกปรือไม่ถึงขั้นที่กำหนด ก็ไม่สามารถใช้ต่อเนื่องเช่นนั้นแล้วมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะสร้างความบอบช้ำภายในเส้นลมปราณของตนเอง ส่วนจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์เฉกเช่นเสียจื่ออี้ ต้องบอกว่าฝึกกระบวนท่านี้ได้สำเร็จ นับว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน แต่ก็ใช้ได้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น ในเวลาอันสั้นใช้วิชาต่อเนื่องกันถึงสองครั้ง ถึงไม่ต้องรอให้ผู้อื่นโจมตี ก็ต้องพังทลายลงด้วยตนเอง’

อาหู่ถามด้วยความอยากรู้ว่า ‘เช่นนั้นกระบวนท่าเมื่อครู่ของคุณชายท่าน…’

เยี่ยนจ้าวเกอพูดขึ้นอีก ‘นั่นเป็นลูกเล่นเล็กๆ น้อยที่ข้าสร้างขึ้นเองตอนที่ศึกษาเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าอย่างละเอียด ซื่งก่อนหน้านี้เป็นเพียงต้นแบบนั้น รอให้สมบูรณ์ก่อนเถอะ’

เขาชูมือขวาของตนขึ้นครู่หนึ่ง ‘รายละเอียดในนั้นมีมากมายยิ่ง คราวหลังมีเวลาว่างจะค่อยๆ อธิบายให้เจ้าฟัง หากเป็นหลักการคร่าวๆ ละก็ นับเป็นปราณจิตราที่มุ่งโคจรเป็นวงกลม หลังจากระเบิดครั้งแรกแล้ว กลับไม่ย้อนกลับไปยังจุดตันเถียน แต่หมุนวนอย่างรวดเร็วภายในเส้นลมปราณที่แขนโดยตรง คล้ายกับตำแหน่งที่คนปล่อยพลังทีเดียว เพียงสร้างพลังจากจุดตันเถียนน้อยชั่วคราว และใช้งานเฉพาะส่วน’ เยี่ยนจ้าวเกออธิบาย ‘บริเวณที่ข้าเลือกเมื่อครู่ คือจุดเสินเหมินส่วนมือ ใช้จุดลมปราณนี้แปรสภาพเป็นจุดตันเถียนชั่วคราว จุดตันเถียนนี้ไม่เก็บสะสมปราณจิตราแต่อย่างใด เป็นการสร้างศูนย์กลางหนึ่งในการหมุนเวียนปราณจิตราเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทำเช่นนี้แล้ว ปราณจิตราจะกลายเป็นวงกลม และปลดปล่อยพลังสองครั้งด้วยกลวิธีวัฏจักรเล็ก แต่ไม่เหมือนอัสนีวัฏจักรของตำหนักอัสนีสวรรค์ ที่ย้อนกลับอย่างตรงไปตรงมา’

เมื่ออาหู่ได้ฟังก็เข้าใจทันที ‘เมื่อทำเช่นนี้แล้ว แรงกดดันและความเสียหายต่อเส้นลมปราณก็บรรเทาลงอย่างมาก ขอแค่ผู้ใช้วิชามีพลังเพียงพอ ก็สามารถโจมตีวัฏจักรสาม วัฏจักรสี่ กระทั่งวัฏจักรห้า หรือมากกว่านั้นได้อย่างง่ายดาย!’

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ ‘ไม่ผิด วัฏจักรยิ่งมากเท่าใด ความแน่นอนในกำลังการต่อสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่การจะสังหารคู่ต่อสู้นั้น ความเร็วในการฟื้นพลังเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ไม่ใช่เหตุผลในการตัดสินแพ้ชนะ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการแพ้ชนะมีมากมายยิ่ง แต่ยามที่ปัจจัยอื่นห่างชั้นไม่มากนัก ความเร็วในการฟื้นพลังก็ดูเหมือนว่าสำคัญเป็นอย่างมาก’

อาหู่เอ่ย ‘คุณชายขอรับ วิชาที่ท่านเพิ่งพูดถึงเมื่อครู่ เป็นวิชาที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ ยังไม่สมบูรณ์ใช่ไหมขอรับ เช่นนั้นหากสมบูรณ์ จะเป็นเช่นไรหรือขอรับ’

ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย ‘นี่เพิ่งจะเป็นก้าวแรกเท่านั้น หลักการวิชาวรยุทธ์ในใต้หล้ามีเป็นพันเป็นหมื่น แต่ละหลักการล้วนมีประโยชน์เป็นของตัวเอง แต่หลักการใหญ่จะเรียบง่ายที่สุด ยิ่งพัฒนาสูงขึ้นเท่าใด แท้จริงแล้วก็ยิ่งจะมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน หากเป็นการต่อสู้จริงละก็ คงหลีกหนีความรวดเร็วและความแข็งแกร่งไม่พ้น แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงและแฝงไปด้วยหลักการมากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความเป็นจริงล้วนพิจารณาจากสองจุดนี้ พลังสามารถฉีกความว่างเปล่าได้ ความเร็วสามารถเคลื่อนกาลเวลาไปมาได้ สำหรับในบางความหมายแล้ว ก็คือการปรากฎออกมาในรูปแบบหนึ่งที่พลัง ‘มาก’ และมีความเร็ว ‘ว่องไว’’

เขาถอนหายใจพลางพูดว่า ‘ยิ่งสูงขึ้น ก็ยิ่งมีหลักการบางอย่าง ไม่ใช่เรื่องที่พลังและความเร็วจะสามารถบรรยายต่อไปได้ แต่ถ้าหากสูงขึ้นต่อไปอีก หลักการใหญ่กลับสู่พื้น เป็นหลักที่สูงขึ้นไปอีกขั้น หลักการใหญ่กลับสู่จุดเริ่มต้น กลับสู่ความดับสูญ จากนั้นก็ไม่มีอยู่ อดีตหรืออนาคตล้วนไร้ความหมาย’

อาหู่เกิดอาการงุนงงอยู่บ้าง ‘…คุณชายขอรับ?’

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะพลางกล่าว ‘ไม่เข้าใจรึ แท้จริงแล้วหลายสิ่งข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เพียงแต่หยุดอยู่ที่หน้ากระดาษก็เท่านั้นเอง สิ่งเหล่านี้ที่อยู่บนกระดาษ ก็ไม่รู้เช่นกันว่าในที่สุดแล้วถูกหรือผิด แต่ความลี้ลับมหัศจรรย์ที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้นั่นเอง ที่ดึงดูดให้พวกเราไม่หยุดสืบเสาะ ศึกษาวรยุทธ์ ด้านหนึ่งถึงแม้ว่าจะสามารถชิงชัยกับผู้คนได้ก็ตาม แต่ในอีกด้านหนึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นการเข้าใจทั้งหมดทั้งมวลของโลกนี้ที่ยังไม่รู้ด้วยเช่นกัน’

อาหู่เกาศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง หัวเราะร่าพลางกล่าว ‘หลักการนี้ ข้าน้อยกลับฟังเข้าใจ’

ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่พูดคุยกันอยู่นั้น อีกด้านหนึ่ง เวลานี้คนอื่นต่างก็ค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา สายตาที่มองไปทางชายหนุ่มล้วนร้อนผ่าวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

เสียจื่ออี้ไม่ใช่ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะท้ายทั่วไปที่จะสามารถเทียบเคียงได้ ถึงขั้นที่พูดได้ว่า ในบรรดาวีรบุรุษอัจฉริยะในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ทั้งหก และจอมยุทธ์สืบทอดหลัก ล้วนไม่ใช่ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะท้ายคนอื่นๆ จะเทียบเคียงได้ ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยโยวฉานแห่งหอคลื่นโหม หรือจะเป็นหลิวเซิ่งเฟิงแห่งเขาไร้พรมแดน ต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

การสืบทอดขุมกำลังอื่นนอกเหนือจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก ก็ไม่แน่ว่าจอมยุทธ์ขั้นฝ่านภาจะสามารถต่อสู้กับเสียจื่ออี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นบุตรแห่งสวรรค์คนนี้ ตอนนี้กลับถูกระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลางโจมตีจนพ่ายแพ้!

…พูดถึงตรงนี้แล้ว ฝูงชนก็ยิ่งโกลาหลกันอีกพักหนึ่ง “เยี่ยนจ้าวเกอสามารถพัฒนาตนเองไปจนถึงระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลางภายในช่วงเวลาสั้นๆ อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นตอนที่เขาประมือกับหลิวเซิ่งเฟิงก่อนหน้านี้ เขาตั้งใจเก็บพลังเอาไว้ อำพรางระดับขั้นที่แท้จริงของตนเองเอาไว้อย่างนั้นใช่หรือไม่”

“แต่นั่นก็ไม่ถูกนี่!” หร่วนผิงขมวดคิ้ว “ตามคำเล่าลือ ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งจะเลื่อนถึงขั้นเคียงนภาระยะต้น ต่อให้ตอนนั้นอำพราง ตอนที่มาถึงเขานิมิตเมฆเมื่อครึ่งกว่าปีกว่าก่อน ยังเป็นขั้นเคียงขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายอยู่แท้ๆ ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายกระโดดไปขั้นเคียงนภาระยะกลาง ใช้ระยะเวลาแค่ครึ่งปีกว่าๆ อย่างนั้นหรือ!”

หร่วนผิงรู้สึกว่าตนเองปวดหัวอยู่บ้าง “คงไม่ใช่ว่าตอนที่เขามาเขานิมิตเมฆนั้น ก็อำพรางพลังฝึกปรือด้วยเช่นกัน?”

จางเหยาที่อยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิษย์พี่เยี่ยน พลังฝึกปรืออันไหนเป็นของจริง อันไหนเป็นของปลอมกันแน่ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ก็รู้สึกว่าไม่อาจเข้าใจได้!”

หลังจากที่เซี่ยโยวฉานมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง จึงกล่าวตอบว่า “ไม่ว่าจะคิดคำนวณอย่างไร มีเรื่องหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ ศิษย์น้องเยี่ยนที่ตอนนี้อายุยี่สิบต้นๆ ได้เป็นปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลางเรียบร้อยแล้ว”

หร่วนผิงและจางเหยาได้ยินดังนั้น ต่างก็พยักหน้าพร้อมกัน

ด้านเมืองทะเลมรกต หลี่จิ้งหว่านมองไปทางซ่งเฉาและเยี่ยฉงโจว ยิ้มขื่นพลางกล่าวว่า “ถึงจะบอกว่าอายุเท่าๆ กัน แต่เมื่อมองศิษย์พี่เยี่ยนแล้ว จิ้งหว่านรู้สึกว่าตนเองก็ไม่ต่างกันคนโง่เขลาคนหนึ่ง”

เยี่ยฉงโจวโบกมือ “ศิษย์น้องหลี่อย่าได้กล่าวเช่นนี้ หากเจ้าจะกล่าวเช่นนี้ มิสู้ด่าว่าข้าเสียชาติเกิดไปเลยเล่า”

ตอนนี้เขาก็อยู่ในระดับขั้นเคียงนภาระยะกลางเช่นเดียวกัน

ซ่งเฉามองดูเยี่ยนจ้าวเกอเงียบๆ อยู่นานโดยที่ไม่พูดอะไรออกมา หลังจากนั้นครู่ใหญ่ถึงได้พูดว่า “บนโลกใบนี้มีผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดจำนวนน้อยยิ่งนัก ทว่าก็โผล่ออกมาจากบรรดาผู้คนมากมาย แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องดูถูกตนเองจนเกินไป พวกเราล้วนเป็นคนจำนวนน้อยนั่น แต่เยี่ยนจ้าวเกอ เขาเป็นกลุ่มจำนวนน้อยมากในกลุ่มจำนวนน้อยยิ่ง”

ทางเขาไร้พรมแดน จี้ฮั่นหรูมองเยี่ยนจ้าวเกอ หลังจากนั้นครู่ใหญ่ก็ทอดถอนใจ “ข้าเทียบมันไม่ติดฝุ่นจริงๆ”

หลังจากตกเป็นฝ่ายแพ้ในตอนนั้นแล้ว จี้ฮั่นหรูพยายามมุมานะเพื่อที่จะได้กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ทั้งยังคิดจะไปหาเยี่ยนจ้าวเกอเพื่อแก้มือ

ตัวเขาเองก็ยังไม่คู่ควรที่จะเป็นศิษย์สืบทอดหลักของเขาไร้พรมแดน เปลี่ยนแรงกดดันเป็นแรงผลักดัน ทะลวงจุดขวางกั้น เลื่อนขั้นจากขั้นเคียงนภาระยะต้นสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลาง

ทว่าวันนี้ได้พบความเร็วในการพัฒนาของเยี่ยนจ้าวเกอ กับพลังความสามารถที่แข็งแกร่งในระดับขั้นเดียวกันนั้น จี้ฮั่นหรูจึงหยุดพักความคิดที่จะชิงชัยชนะกับอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง

เพียงแต่ว่า ไม่เหมือนครั้งนั้นเมื่อครึ่งปีก่อน จี้ฮั่นหรู่ในตอนนี้ไร้ซึ่งความรู้สึกล้มเหลวและจิตตก ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความรู้สึกแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าความห่างชั้นของทั้งสองฝ่ายมีมากจนเกินไป มากเสียจนหลังจากถึงระดับที่กำหนดแล้ว ก็ยังล้าหลังกว่าอีกฝ่ายจนตนเองไร้ซึ่งความคิดจงเกลียดจงชังเสียด้วยซ้ำ

ข้างกายเขา ดวงตาทั้งสองของจ้าวฮ่าวเป็นประกาย สีหน้าและท่าทางของเขาเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังอย่างไม่เคยมีมาก่อน เขาจ้องเยี่ยนจ้าวเกอไม่วางตา

……………