ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 177 เจ้าสอง ส่วนข้าสาม

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สามยอดวิชาอัสนี นำเอาลักษณะเด่นที่รวดเร็วและรุนแรงของวิชาวรยุทธ์สืบทอดสายตำหนักอัสนีสวรรค์ออกมา

อัสนีประกายแสงและอัสนีสั่นสะท้าน สองกระบวนท่านี้ธรรมดา แต่อัสนีวัฏจักรซึ่งเป็นกระบวนท่าสุดท้ายนั้น กลับลึกซึ้งจนถึงแก่นวิชาสืบทอดของตำหนักอัสนีสวรรค์

พลังอานุภาพยิ่งใหญ่ อีกทั้งกลับลึกซึ้งจนยากจะฝึกฝน

ซึ่งมหาปรมาจารย์มากมายล้วนฝึกกระบวนท่านี้ไม่สำเร็จ ผู้ที่อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ที่สามารถฝึกฝนกระบวนท่าอัสนีวัฏจักรนี้ได้สำเร็จ จวบจนบัดนี้ ทั่วทั้งประวัติศาสตร์ของตำหนักอัสนีสวรรค์มีเพียงหยิบมือ!

อาศัยเพียงกระบวนท่าอัสนีวัฏจักรนี้ท่าเดียว ไม่แปลกนักที่ผู้คนมากมายจะยกย่องเสียจื่ออี้ว่าเป็นปรมาจารย์ที่แกร่งที่สุดในขั้นฝ่านภา!

เซี่ยโยวฉานมองกระบวนท่านี้ พลางส่ายหน้าเล็กน้อย เพราะการประมือกับเสียจื่ออี้ก่อนหน้าของนาง เสียจื่ออี้ไม่ได้ใช้อัสนีวัฏจักรออกมาแต่ นางก็พ่ายแพ้เสียแล้ว

หากเปลี่ยนเป็นหลิวเซิ่งเฟิง ผลลัพธ์ก็คงเป็นเช่นเดียวกัน เกินกว่าครึ่งไม่อาจบีบบังคับให้เสียจื่ออี้นำสุดยอดกระบวนท่าที่เก็บซ่อนไว้นี้ออกมาใช้ได้ ก็ถูกโจมตีจนพ่ายแพ้

เมื่ออัสนีวัฏจักรออกมา แม้แต่สวีเฟย ถังหย่งฮ่าว และซ่งเฉาต่างก็ใจจดใจจ่อมากขึ้นหลายส่วน

เพราะล้าหลังกว่ากลุ่มของสวีเฟยก้าวหนึ่ง จึงเป็นความทุกข์ใจของเสียจื่ออี้ตลอดมา ทว่าในสายตาของเสียจื่ออี้ เขาไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าสวีเฟยและถังหย่งฮ่าวเลยสักนิด

กระบวนท่านี้ เดิมเป็นไม้ตายที่เสียจื่ออี้เก็บเอาไว้ คิดที่จะท้าประลองพวกเขา!

เพียงแต่ประจัญหน้ากับเยี่ยนจ้าวเกอไม่กี่รอบสั้นๆ เสียจื่ออี้ก็ตระหนักได้แล้ว ว่าชายหนุ่มเป็นศัตรูที่ถึงเขาจะสำแดงพลังทั้งหมดก็ยังไม่แน่ว่าจะประลองชนะได้!

เสียจื่ออี้ไม่กล้าเก็บซ่อนพลังเอาไว้แม้แต่น้อย ฟันกระบี่ไปที่เยี่ยนจ้าวเกอโดยตรง!

กระบี่ทะเลหมอก อาวุธวิญญาณระดับล่างผสานรวมกับเจตจำนงกระบี่ของเสียจื่ออี้ แปรสภาพเป็นสายฟ้าสีม่วงสองสาย ตัดสลับกันเป็นกากบาทตัดฟ้าหั่นดิน

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มเล็กน้อย ขณะที่กระบี่วิญญาณมังกรมรกตในมือสั่นสะเทือนดุจมังกรคำรามยาว แสงมรกตก็บินว่อน ต้านรับกับอัสนีวัฏจักรของเสียจื่ออี้

แสงมรกตทอดข้ามท้องนภา กระแทกด้านบนของสายฟ้าเลขสิบสีม่วงเป็นอันดับแรก

ไม่ได้หยุดพักแม้แต่น้อยเช่นเดียวกัน แสงมรกตสายที่สองพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ตามแสงมรกตสายแรกไปติดๆ ตกลงบนสายฟ้ากากบาทสีม่วงเช่นกัน

ลูกตาดำเสียจื่ออี้พลันหดเล็กลง “มันใช้ท่าอัสนีวัฏจักรแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ของข้าได้อย่างไรกัน?!”

เฉินหลินและศิษย์ตำหนักอัสนีสวรรค์คนอื่นๆ ส่งเสียงร้องตกใจ

ยอดฝีมือมหาปรมาจารย์ที่นำคณะตำหนักอัสนีสวรรค์ บัดนี้ดวงตาทั้งคู่ราวกับสายฟ้า สายตาพุ่งไปที่ฟางจุ่นอย่างรวดเร็ว

คนอื่นๆ ก็นิ่งอึ้งไปเช่นเดียวกัน พวกเขายังไม่ทันหลุดออกจากภวังค์ เยี่ยนจ้าวก็ฟันกระบี่วัฏจักรที่สามออกไป!

เสียจื่ออี้อ้าปากตาค้าง “เป็นไปไม่ได้!”

กระบวนท่าอัสนีวัฏจักรแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ สามารถโจมตีต่อเนื่องได้เพียงสองวัฏจักรเท่านั้น

การโจมตีสุดพลังเช่นนี้ต่อเนื่องสามกระบวนท่า สิ่งที่พลังจะทลายเป็นอันดับแรกก็คือเส้นลมปราณของจอมยุทธ์เอง!

ไม่ว่าเสียจื่ออี้จะรับมือได้ยากเย็นเพียงใด แต่กระบี่ที่สามของเยี่ยนจ้าวเกอกลับส่งสียงร้องคำรามดังก้องทำลายล้างออกมา บดขยี้ปราณจิตราที่แตกกระเจิงไปแล้วของเขาจนเป็นจุณอย่างง่ายดาย ท่ามกลางสายตาที่หวาดผวาและทนไม่ไหวของเสียจื่ออี้

ประกายกระบี่กากบาทอันแก่กล้าพังทลายจนหมด!

จากนั้นหมัดขนาดมหึมาหมัดหนึ่งพลันขยายใหญ่ขึ้นจากขอบสายตาของเสียจื่ออี้ จนกระทั่งเต็มๆ ตาเขา!

โลหิตกระเซ็นในอากาศ!

หมัดหนักของเยี่ยนจ้าวเกอต่อยไปบนสันจมูกของคู่ต่อสู้ครั้งหนึ่ง จนอีกฝ่ายเลือดกำเดาไหลโชก

ทั้งกายเสียจื่ออี้กระเด็นถอยหลังออกไป บนร่างส่องลำแสงวาบผ่าน จี้หยกชิ้นหนึ่งบนคอของเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หากไม่ได้ของวิเศษชิ้นนี้ปกป้องกายได้ทันกาล เขาคงจะถูกเยี่ยนจ้าวเกอโจมตีจนศีรษะระเบิดในเสี้ยววินาที!

แม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ล้มลงพื้นอยู่ดี ตะเกียกตะกายลุกไม่ได้ขึ้นอยู่นาน

ทุกคนล้วนมองดูเสียจื่ออี้ที่จนตรอกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ด้วยความเหม่อลอย ยากจะจินตนาการได้จริงๆ ว่านี่เป็นบุตรแห่งสรรค์ที่มีจิตใจฮึกเหิมเมื่อครู่

ทว่าต่อจากนั้น ความสนใจของพวกเขากลับไม่ได้อยู่ที่เสียจื่ออี้อีก แต่หันศีรษะไปมองเยี่ยนจ้าวเกอแทน มองชายหนุ่มด้วยสีหน้ายากจะเชื่อ

มีศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เอ่ยถามถังหย่งฮ่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ศิษย์พี่ถัง เมื่อครู่นั่นเป็น…ท่าอัสนีสามวัฏจักรหรือ”

ถังหย่งฮ่าวขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะครู่หนึ่ง “แค่ดูคล้ายกับอัสนีวัฏจักรของตำหนักอัสนีสวรรค์เท่านั้น แท้จริงแล้วไม่เหมือนกัน แต่ความลี้ลับมหัศจรรย์ภายในนั้น ตอนแรกข้าเองก็มองเห็นไม่ชัดนัก”

เยี่ยนจ้าวเกอเก็บกำปั้นของตนกลับมา ร่ายบทกวีเสียงยาวว่า “เวลาที่ดอกไม้บานมักมีไม่นาน เสียงวิชชุชั่วดีดนิ้ว”

เขาเก็บกระบี่วิญญาณมังกรมรกตขึ้นมา แล้วมองเสียจื่ออี้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ข้าบอกแล้ว ข้าไม่ต้องรับหมัดของเจ้า เจ้ารับหมัดข้าก็พอแล้ว”

ขณะนี้เสียจื่ออี้ยังคงเหม่อลอยอยู่บ้าง บรรดาศิษย์ตำหนักอัสนีสวรรค์ต่างก็งงงัน แม้กระทั่งยอดฝีมือแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ผู้นำคณะมาที่แห่งนี้เอง ก็ขมวดคิ้วเป็นปมแน่นเช่นกัน หลุดเข้าสู่ภวังค์ความคิด

ทุกๆ คนในสนาม ล้วนมีสีหน้าตกตะลึง

เฉินหลินคืนสติกลับมา จดจ้องเยี่ยนจ้าวเกอ “เจ้าแอบเรียนอัสนีวัฏจักรแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ของข้ามาจากที่ใด”

เยี่ยนจ้าวเกอมองนางแวบหนึ่งด้วยความเวทนาอยู่บ้าง “ไม่เข้าใจไม่สำคัญ แต่ในเมื่อไม่รู้ก็พูดให้มันน้อยๆ หน่อย ไม่เข้าใจแล้วยังแสร้งทำเป็นเข้าใจ ก็คงทำได้เพียงปล่อยไก่ขายหน้าเท่านั้น กลับไปถามผู้อาวุโสสำนักเจ้าดู ว่าที่ข้าใช้คืออัสนีวัฏจักรหรือไม่ ส่วนที่อ้างถึงเรื่องแอบเรียนเคล็ดวรยุทธ์ หลินโจวสำนักเจ้าเรียนวิชาคมเชือกได้เช่นไร ข้าเองก็รู้สึกสงสัยอย่างมากเช่นกัน”

เฉินหลินกัดฟันกรอด คิดอยากจะพูดย้อนกลับให้ถึงที่สุด ยืนยันเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอแอบเรียนให้ได้เสียก่อนค่อยว่ากัน

แต่ถึงอย่างนั้นเพราะผู้อาวุโสของตนไม่พูดอะไร เฉินหลินจึงรู้สึกไม่มั่นใจ การที่ผู้อาวุโสสำนักตนไม่พูด นั่นหมายความว่าในสายตาฟางจุ่น ซานสือเวิงและคนอื่นๆ ก็สามารถชี้ขาดได้เช่นกัน ว่าวิชาวรยุทธ์ที่เยี่ยนจ้าวเกอแสดงออกมา ไม่ใช่อัสนีวัฏจักรจริงๆ

ทว่าผลลัพธ์เช่นนี้ ทำให้เฉินหลินและศิษย์ตำหนักอัสนีสวรรค์คนอื่นๆ ยิ่งไม่อาจยอมรับได้

อาหู่ส่งกระแสจิตไปหาเยี่ยนจ้าวเกออย่างลับๆ ว่า ‘คุณชายขอรับ สามกระบี่วัฏจักรเมื่อครู่ของท่าน แท้จริงแล้วใช่หรือไม่ใช่กันแน่?’

สำหรับเขา เยี่ยนจ้าวเกอย่อมไม่ปิดบัง จึงตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า ‘ไม่ใช่เพลงกระบี่แต่อย่างใด ทั้งยังไม่เหมือนอัสนีวัฏจักร แต่เป็นวิชาปลดปล่อยพลังรูปแบบหนึ่ง ที่นำเพลงกระบี่ เพลงหมัด และเพลงดาบส่งเสริมพลังได้ แก่นของอัสนีวัฏจักรนั้นอยู่ที่หลังจากโจมตีเต็มกำลังแล้วสามารถฟื้นพลังได้ในพริบตา จากนั้นทำการรุกโจมตีครั้งที่สองออกไปทันที อีกทั้งพลังของกระบี่ที่สองนั้นยังไม่ด้อยไปกว่ากระบี่แรกเลยสักนิด’

อาหู่พยักหน้า ในสถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการประชันกับคู่ต่อสู้ที่พลังฝึกปรือสูงกว่าตนเล็กน้อย ด้วยกระบวนท่าวัฏจักรสังหารเช่นนี้ จอมยุทธ์ก็สามารถปราบศัตรูจนได้ชัยชนะได้เช่นกัน

หากพลังฝึกปรือของคู่ต่อสู้เท่ากับหรือต่ำกว่าผู้ใช้วิชา เช่นนั้นกระบวนท่าอัสนีวัฏจักรท่านี้ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะให้ผลโจมตีสังหารได้ในวินาทีเดียว

‘ข้าไม่เคยเรียนรู้ท่าอัสนีวัฏจักรมาก่อน รายละเอียดเฉพาะเคล็ดวิชาปลดปล่อยพลังของเขานั้นข้าไม่ชัดเจน แต่หลักการส่วนมากเข้าใจได้ หัวใจสำคัญของการปลดปล่อยพลังอย่างต่อเนื่องของมันอยู่ที่การโคจรของปราณแท้’ เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอธิบาย ‘นี่คือกระบวนท่าระดมพลังทั่วกาย ปราณจิตราชั้นในจุดลมปราณและในจุดตันเถียนต้องระเบิดออกพร้อมกัน หลังจากผู้ใช้วิชาปล่อยกระบี่แรกออกไป แต่เดิมปราณแท้ควรจะตามติดปราณหลังจากที่ภายในร่างกายเกิดการหมุนเวียน กลับสู่จุดตันเถียนใหม่อีกครั้ง จากนั้นตอนที่ปลดปล่อยพลังครั้งต่อไป ปราณจิตราออกมาจากจุดตันเถียนส่งออกมาผ่านทางเส้นลมปราณ ใช้เคล็ดวรยุทธ์อัสนีวัฏจักร ก็ต้องหลังจากปลดปล่อยพลังครั้งแรก ตัดขาดการไหลเวียนปกติของปราณแท้ภายในร่างกาย ขัดขวางปราณแท้ไม่ให้กลับสู่จุดตันเถียน เสริมการไหลทวนกลับของปราณแท้ทันทีหลังจากที่หยุดชะงักลง แล้วจึงปล่อยกระบี่ที่สองออกไป’

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอีก ‘บรรลุปรมาจารย์ บรรลุปราณจิตรา ก็ได้มาจากการฝึกฝนกำลังภายในย้อยศร แต่การที่ต้องนำปราณจิตราทั่วร่างไหลทวนย้อนศร นับว่ายังไม่ใช่การฝึกฝนประจำวัน แต่เป็นการสังหารที่ไร้ขอบเขต นี่เป็นภาระที่หนักหนายิ่งต่อร่างกายของจอมยุทธ์ ไม่ต้องพูดถึงปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในกับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกเลย ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาจนกระทั่งถึงขั้นปรมาจารย์ขั้นฝ่านภาล้วนน้อยนักจะทำได้ ดังนั้น จอมยุทธ์ปรมาจารย์น้อยคนนักจะสามารถฝึกฝนอัสนีวัฏจักรได้สำเร็จ’

เขาใช้กระแสเสียงพูดถึงตรงนี้ก็ยักไหล่ ‘กล่าวเช่นนี้อาจจะไม่ค่อยสุภาพเท่าใดนัก แต่ว่าสุดยอดวิชาแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้านี้ แท้จริงแล้วเป็นวิชาที่มีข้อบกพร่องอย่างใหญ่หลวง’

…………..