EP.370 อสูรปีก
ฉินเหยียนและเฉินฮั่นออกมาต้อนรับเมื่อหลินมู่อวี่มาถึงใต้เมือง ทุกคนเข้าไปด้านในก่อนที่ประตูจะปิดลง ดูเหมือนว่าหมินยวี่หลินตัดสินใจละทิ้งกองทหารแห่งจักรวรรดิไว้กับกลุ่ม ‘สัตว์ประหลาด’ ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และล้อมรอบกองทหารของตู้ไห่ ดูเหมือนว่าตู้ไห่และกองทหารคงไม่สามารถกลับออกมาได้อีก…
…
หลินมู่อวี่เลือดไหลกบปากพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นผ่านทั่วร่างกาย ฉินเหยียนช่วยพยุงหลินมู่อวี่เข้ามาถึงประตูเมืองด้านใน ขณะที่เหล่านายพลรอบบริเวณมองมาด้วยสายตาเฉยเมย
“ท่านหลินมู่อวี่บาดเจ็บหรือไม่?” หมินจ้านผู้บัญชาการกองทัพเทียนฉงเดินเข้ามาเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไรขอรับ ขอบคุณท่านแม่ทัพที่เป็นกังวล”
ใบหน้าหลินมู่อวี่หม่นหมองขณะเดินมาหาหมินยวี่หลิน “ท่านเซินเว่ยโหว พวกเราพ่ายแพ้…”
ใบหน้าหมินยวี่หลินซีดเผือดและพยักหน้ารับ “ข้ารู้…ท่านผิดข้าก็ผิดเช่นเดียวกัน…ขอบคุณแม่ทัพหลินที่พยายามอย่างหนัก”
หมินยวี่หลินขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเจ็บปวด “เจ้าพวก…สัตว์อสูร แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเลยรึ?”
“ขอรับ”
หลินมู่อวี่นั่งลงพร้อมประสานหมัด “สัตว์ประหลาดทั่วไปมีพลังยุทธ์เทียบเท่ากับขอบเขตปฐพี พวกมันมีหนังหนาและหยาบกร้าน ซึ่งดาบธรรมดาไม่สามารถเจาะได้ ส่วนจ่าฝูง…มีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า อาจเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขอบเขตนภาชั้นที่สามจนถึงขอบเขตปราชญ์ และบางทีอาจใกล้เคียงกับเทพเจ้า…”
“ใกล้เคียงกับเทพเจ้า…” หมินยวี่หลินตะลึง “พวกมันมาจากที่แห่งใด?”
“ข้าไม่ทราบขอรับ”
เมื่อหลินมู่อวี่มองไปทางประตูเมือง เขารู้สึกปวดร้าวดั่งลูกศรนับหมื่นแทงทะลุหัวใจ “แม่ทัพตู้ไห่…เสียชีวิตแล้ว แม่ทัพเทพอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิจากไปแล้ว…”
“อาจไม่เป็นเช่นนั้น”
หมินจ้านกล่าว “แม่ทัพตู้ไห่มีพลังขอบเขตปราชญ์ บางทีเขาอาจฝ่าวงล้อมออกมาได้…”
“ไม่ขอรับ”
หลินมู่อวี่ยืนขึ้นพร้อมวางมือเปื้อนเลือดบนกำแพง เมื่อมองออกไปนอกเมือง…พบว่าการต่อสู้ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว กองทหารหยางเว่ยทั้งสองหมื่นนายถูกกองทัพสัตว์อสูรกวาดล้างจนสิ้น ทว่าฝ่ายศัตรูกลับสูญเสียไปเพียงสองพันตัวเท่านั้น
เสียงกลองสงครามค่อยๆ หยุดลง สัตว์อสูรบางตนกำลังกัดกินซากทหาร ขณะที่บางตนยึดชุดเกราะและอาวุธ
หนึ่งในสัตว์ประหลาดเดินเข้าอย่างเชื่องช้า มันคือตัวจ่าฝูงที่ถือหัวชุ่มเลือดในมือ สัตว์ร้ายพลันยกหัวนั้นขึ้นเมื่อมาถึงใต้เมือง…นั่นคือหัวของตู้ไห่!
หมินยวี่หลินอดไม่ได้ที่จะหลับตาและเบือนหน้าหนี ขณะที่ร่างกายสั่นเทิ้ม
“ไอ้ปีศาจพวกนี้…”
ฉินเหยียนกัดฟันแน่น “พวกมันสังหารท่านแม่ทัพตู้ไห่…ไอ้สารเลว…”
ขณะเดียวกันทหารนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงาน “ท่านเซินเว่ยโหว พวกสัตว์อสูรปรากฏตัวทางทิศใต้ ตะวันออก และตะวันตกของเมือง พวกเราถูกปิดล้อมแล้วขอรับ!”
หมินยวี่หลินตัวสั่นเล็กน้อยและเอ่ยถาม “พวกมันมีจำนวนเท่าใด…”
“มากกว่าห้าหมื่นตัวขอรับ”
“อืม รอดูท่าทีมันก่อน”
“ขอรับ!”
…
หมินยวี่หลินหน้าตามัวหมองและดูแก่ขึ้นไปหลายปี เขามองทุกคนด้วยสายตาขุ่นมัว “ท่านแม่ทัพทั้งหลาย มาหารือกันเถิด ขณะนี้เราควรทำสิ่งใด?”
ใบหน้าซูเหวินเทียนแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา “กองกำลังของเราเหลือเพียงครึ่งเดียว ข้าเกรงว่าอาจไม่สามารถต่อกรกับศัตรูได้อีกต่อไป ดังนั้นคงทำได้เพียงขอกำลังเสริม ข้าหวังว่าหลานกงและหยุนกงจะสามารถส่งกองทัพมาได้ หากมีทหารแห่งจักรวรรดิสามแสนนาย พวกเราคงสามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดห้าหมื่นตัวนี้ได้อย่างแน่นอน!”
หลินมู่อวี่เหลือบมองและกล่าวว่า “จักรวรรดิไม่มีกองกำลังมากมายอีกต่อไป มีเพียงทหารเกณฑ์เท่านั้น หากต้องต่อสู้กับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง คงเท่ากับการส่งพวกเขาไปสู่ความตาย”
“เช่นนั้นเราจะทำสิ่งใดได้อีก เพียงรอความตายรึ?” ซูเหวินเทียนกัดฟัน
หลินมู่อวี่ไม่ต้องการโต้เถียงกับเขา
ขณะนี้แม้แต่นายพลอย่างหวังซีและฉือยิงก็ทำสิ่งใดไม่ถูก สัตว์ประหลาดเหล่านี้แข็งแกร่งมากราวกับเป็นสัตว์จากสรวงสวรรค์
ทันใดนั้นทหารนายหนึ่งเข้ามารายงาน “ท่านเซินเว่ยโหว พวกมันส่งทูตมาที่นี่ขอรับ”
“โอ้?”
หมินยวี่หลินกล่าว “ให้มันเข้ามา”
“ขอรับ!”
คันศรถูกง้างเล็งไปยังประตู ด้านใต้เมืองมี ‘มนุษย์’ ขี่ม้าศึกพร้อมมี ‘อสูร’ สองตนติดตามมา คนผู้นั้นถอดผ้าคลุมมองกลุ่มทหารมนุษย์บนกำแพงเมืองตงฉวง ก่อนจะควบม้าผ่านประตูเข้าไปขณะที่ริมฝีปากยกขึ้นราวกับเหยียดหยาม
กลุ่มนายพลของจักรวรรดิมองสัตว์ประหลาดอย่างใกล้ชิด พวกเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อได้กลิ่นเหม็นลอยมาแตะจมูก พวกมันกลิ่นเหมือนแมลงสาบอย่างแท้จริง!
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นผู้บัญชาการกองทัพมนุษย์” ผู้มาเยือนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หมินยวี่หลินพยักหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าคือหมินยวี่หลิน เซินเว่ยโหวแห่งจักรวรรดิฉิน และผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพในเมืองตงฉวง แล้วเจ้าเป็นใคร?”
ชายผู้นั้นประสานหมัดกล่าวด้วยความสุภาพ “ข้ามีนามว่าเชินเซี่ยง ข้ามาพบท่านเซินเว่ยโหวในนามของเผ่าเทพ”
“เผ่าเทพ?”
หมินยวี่หลินขมวดคิ้ว “สิ่งมีชีวิตน่าเกลียดเหล่านี้สมควรเรียกว่าเผ่าเทพรึ?”
เชินเซี่ยงมองไปยังสัตว์ประหลาดทั้งสองและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเขา…ข้าจะไม่ปิดบัง พวกเขาเป็นเพียงเผ่าพันธุ์ที่ด้อยที่สุดและเป็นนักรบในเผ่าเทพซึ่งมีชื่อว่า ‘อสูรเกราะ’ ข้าคิดว่าท่านเซินเว่ยโหวคงได้เห็นแล้ว แม่ทัพอสูรเกราะด้านใต้เมืองมีนามว่าเหล่ยฉง เขาเป็นจอมพลของกองทัพเผ่าเทพ”
เชินเซี่ยงหันมองหลินมู่อวี่และประสานหมัดเคารพ “แม่ทัพผู้นี้ จอมพลเหล่ยฉงยกย่องวิทยายุทธ์ที่ยอดเยี่ยมของท่านมาก…แต่เขาฝากมาบอกว่าจะปลิดหัวท่านในเร็ววัน”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่คู่ควรกับชื่อเรียกเผ่าเทพ”
“ถูกต้อง”
เชินเซี่ยงยิ้มและตอบกลับ “เมื่อคราที่เราปกครองแผ่นดินนี้ มนุษย์เช่นท่านเรียกเราว่าเผ่าปีศาจ”
“เผ่าปีศาจ…” หมินยวี่หลินตัวสั่นเทิ้มพึมพำ “มิใช่ว่าเผ่าปีศาจถูกสังหารและผนึกไปแล้วหรือ?”
“จะเป็นไปได้รึ?” เชินเซี่ยงยิ้มและกล่าวว่า “เป็นเวลาหลายหมื่นปีที่เผ่าปีศาจอยู่อย่างหลบซ่อน สิ่งที่พวกเรารอคอยมาตลอดคือวันนี้ ถึงเวลาแล้วที่พวกมนุษย์จะคืนผืนแผ่นดินกลับให้พวกเรา”
“สิ่งใดคือจุดประสงค์ของเจ้า?” หมินยวี่หลินเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
เชินเซี่ยงตอบ “ขอให้ท่านเซินเว่ยโหวยอมจำนนต่อเผ่าเทพ และหากพวกท่านยอมเป็นทาส เราจักไว้ชีวิตให้”
“แล้วหากข้าไม่ยินยอมล่ะ?”
“เช่นนั้นก็รอกลายเป็นเถ้าถ่านได้เลย!” เชินเซี่ยงพูดด้วยรอยยิ้ม
“บังอาจ!” หมินจ้านตะโกนดัง “จัดการมันซะ!”
เชินเซี่ยงหัวเราะเสียงดัง ทันใดนั้นปราณยุทธ์สีดำพวยพุ่งปกคลุมร่างกาย ก่อนจะกระโดดขึ้นกำแพงพร้อมชักดาบสกัดกั้นลูกศรที่ยิงตามหลังมา และหนีหายไป
ด้านในเมือง อสูรเกราะสองตนถูกหลินมู่อวี่ ฉินเหยียน และคนอื่นๆ จัดการจนเลือดสาดเต็มพื้น
…
“ตอนนี้เราควรทำสิ่งใดต่อ?” หวังซีกล่าวด้วยสายหวาดหวั่น
หมินยวี่หลินมองไปทางฝูงชน “เหล่าท่านแม่ทัพคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไร?”
ฉือยิงประสานหมัด “ตามประสบการณ์ของข้าน้อย สถานที่แห่งนี้ห่างจากเมืองหลันเยี่ยนหลายพันไมล์ และมีภูมิศาสตร์ที่โหดร้าย รวมทั้งสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน ข้าเกรงว่าคงยากเกินกว่าจะใช้นกส่งสารกลับไปยังเมืองหลวง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรอกำลังเสริม ทางเดียวที่จะรอดคือรีบถอยทัพ ทหารราบตายกันหมด ส่วนทหารม้าอาจเหลือรอด”
“ทหารราบตาย ทหารม้ารอด…” หมินยวี่หลินหลับตาด้วยความเจ็บปวด “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าชีวิตของหมินยวี่หลินที่มีผลงานโดดเด่นมาทั้งชีวิต สุดท้ายต้องจบลงเช่นนี้…”
ซูเหวินเทียนกล่าว “เราได้ปล่อยนกพิราบส่งสารออกไปกว่าร้อยตัว ข้าเชื่อว่ามณฑลชางหนานและมณฑลเทียนชู่จะได้รับมัน…ท่านเซินเว่ยโหว สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือการรอ”
หมินยวี่หลินมิได้กล่าวสิ่งใด เขาพลันถอนหายใจและกล่าวว่า “นำชามสองใบพร้อมก้อนหิน จากนั้นให้ผู้บัญชาการกองพันขึ้นไปลงคะแนนเสียงว่าจะบุกโจมตีหรือปกป้องเมืองและรอคอยความช่วยเหลือ”
หลังจากนั้นไม่นาน ชามทั้งสองเต็มไปด้วยหิน แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการอยู่ปกป้องเมือง ทุกคนต่างเห็นพลังต่อสู้ของเผ่าปีศาจแล้ว การบุกทะลวงเข้าไปเป็นเพียงการฆ่าตัวตายเท่านั้น!
เมื่อสองวันก่อนทุกคนเพิ่งเฉลิมฉลองความสำเร็จที่ได้รับชัยชนะจากจักรวรรดิอี้เหอ ทว่าวันนี้ทั้งเมืองตงฉวงกลับตกอยู่ในความเงียบสงัด…
…
ลมหนาวกลางดึกพัดผ่านเมือง ขณะที่แสงคบเพลิงสั่นไหว หมินยวี่หลินเข้าไปในค่ายทหารส่งเสบียงพร้อมทหารคนสนิท เมื่อเฉินฮั่นผู้ที่กำลังลาดตระเวนเห็น ก็รีบเข้ามาทักทาย “คารวะท่านเซินเว่ยโหว!”
“ท่านผู้นำวิหารอยู่ไหน?”
“พักผ่อนอยู่ขอรับ”
“พาข้าไป”
“ขอรับ!”
ขณะที่หมินยวี่หลินกำลังเดินเข้าไป หลินมู่อวี่พลันเดินสวนออกมาพร้อมผ้าพันแผลรอบแขนและใบหน้าซีดเซียว เขากล่าวทักทายอย่างเคารพ “ข้าไม่ทราบว่าท่านเซินเว่ยโหวจะมา เช่นนั้นข้าจะออกไปต้อนรับ”
“ไม่ต้องมากพิธีไป”
หมินยวี่หลินเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่ากองทัพจะเหลือเสบียงใช้อีกนานเพียงใด?”
“ไม่เกินแปดวันขอรับ”
“น้อยยิ่งนัก”
“เนื่องจากธัญพืชและหญ้าตามมาไม่ทัน ข้าได้ส่งคนเข้าเมืองแลกเหรียญทองเป็นอาหารสำหรับผู้คนแล้ว ทว่าจำนวนประชากรในเมืองตงฉวงมีไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน พื้นดินที่นี่ค่อนข้างแห้งแล้ง อีกทั้งเพิ่งผ่านพ้นฤดูหนาว ทำให้พืชผลเติบโตไม่ทัน มีผู้คนอดตายทุกวัน พวกเขาไม่เหลืออาหารแบ่งปันให้เรา”
หมินยวี่หลินพยักหน้า “เริ่มตั้งแต่วันนี้ ปันส่วนของทุกคนจะถูกหักครึ่งหนึ่ง ขอให้ทุกคนอดทนรอ มิเช่นนั้นเราอาจไม่รอดกระทั่งกำลังเสริมมาถึง”
“ขอรับ!”
…
สามวันผันผ่านในพริบตา แม้ทุกคนจะไม่พอใจที่ปันส่วนหายไปครึ่งหนึ่ง ทว่าโชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น
กลางดึกขณะที่หลินมู่อวี่หลับตาฝึกฝนยุทธ์ เขากินเล่าปิ่งเพียงหนึ่งแผ่นในตอนเย็น ทำให้ท้องร้องเสียงดังด้วยความหิวโหย ฉินเหยียนเปิดประตูกระโจมและกล่าวอย่างเร่งรีบ “พี่ใหญ่ เกิดเรื่องขึ้นแล้ว มีไฟไหม้ในค่าย!”
“ไฟ?”
หลินมู่อวี่สั่นสะท้าน “สั่งทุกคนช่วยกันดับไฟเร็ว!”
“ขอรับ!”
เมื่อมาถึงก็พบว่าทั้งค่ายตกอยู่ในกองเพลิง เฉินฮั่นและคนอื่นๆ ช่วยกันสาดน้ำ ทว่าจะดับไฟที่โหมกระหน่ำเช่นนี้ได้อย่างไร…
เมื่อเห็นธัญพืชในยุ้งฉางกลายเป็นเถ้าถ่าน หลินมู่อวี่รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ “เหตุใดจึงเกิดไฟไหม้?”
“มีไฟตกจากท้องฟ้าขอรับ”
“ท้องฟ้า?”
หลินมู่อวี่มองขึ้นไปและพบเปลวไฟขนาดเล็กตกลงจากฟ้า มีกลุ่มคนอยู่บนอากาศ ขณะที่ทหารแห่งจักรวรรดิพยายามยิงธนูจากพื้นดิน ทว่าลูกศรไม่สามารถขึ้นไปสูงกว่าร้อยเมตรและไม่สามารถทำร้ายกลุ่มคนบนฟ้าได้เลย
“บัดซบ…”
หลินมู่อวี่พุ่งตัวไปด้านหน้าเพื่อคว้าหอก ก่อนจะหมุนตัวส่งแรงและขว้างออกไปอย่างรวดเร็ว!
“ฟิ้ว!”
หอกพุ่งทะยานขึ้นท้องนภา ทันใดนั้น! เสียงคำรามแผ่วเบาดังจากระยะไกล ก่อนที่เงาสีดำจะตกลงมายังสระน้ำด้านใต้ของเมือง เหล่าทหารรีบถือคบเพลิงเข้าไปดูและพบว่ามันคือสิ่งมีชีวิตสองปีก ซึ่งคงไม่ใช่มนุษย์ อีกทั้งมีรูปร่างน่าเกลียดคล้ายกับอสูรเกราะ
“เผ่าปีศาจ…”
ฉินเหยียนกัดฟันแน่นและกล่าวว่า “เผ่าปีศาจมีปีกและบินได้…ไอ้พวกสารเลวตั้งใจทำให้พวกเราอดตายชัดๆ!”
………………………………….