EP.371 อสูรเกราะผู้หิวโหย
ตะเกียงส่องแสงระยิบระยับภายในตำหนักฉินอินนั่งคุกเข่าลงข้างโต๊ะยาวของจักรพรรดินีขณะที่อ่านม้วนหนังสือและจดหมายเหตุที่สาวใช้นำมาให้ ห่างออกไปมีเฟิงจี้สิง ซูอวี่ และเซี่ยงอวี้ยืนอยู่ด้วยท่าทางเคารพ นอกจากทั้งสามแล้ว ไม่มีผู้ใดในศาลฎีกาแห่งนี้อีก
“ไม่มีข่าวคราวจากกองทหารหยางเว่ยเลยหรือ?” ฉินอินเงยหน้าเอ่ยถาม ขณะที่ยังคงจรดพู่กันบนม้วนหนังสือ
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจี้สิงส่ายหัวและกล่าว “ตั้งแต่สาส์นขนนกฉบับสุดท้ายที่ส่งจากชายแดนตะวันออกของมณฑลชางหนานก็ไม่มีมาอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ สาเหตุอาจมาจากสภาพแวดล้อมและภูมิทัศน์ที่ซับซ้อนของมณฑลหลิงตงจึงทำให้ข่าวสารถูกปิดกั้น แม้แต่นกส่งสารก็ไม่อาจเดินทางผ่านหุบเขาและแม่น้ำมายังเมืองหลวงได้”
“มันไม่ควรเป็นเช่นนี้!”
ฉินอินขมวดคิ้ว “ท่านป้าอวี่ โปรดรีบส่งสาส์นไปยังมณฑลอวิ้นจง เพื่อขอให้พวกเขาส่งกองกำลังไปมณฑลหลิงตงเพื่อตรวจสอบข่าวคราวของกองทหารหยางเว่ย เราไม่สามารถนั่งรอเฉยอยู่ได้”
ซูอวี่โค้งคำนับ “กระหม่อมรับทราบพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
“อืม”
ฉินอินวางพู่กันลงและมองเนื้อหาในจดหมายเหตุด้วยความพึงพอใจ “สองสามวันนี้ ข้าไม่สามารถนอนหลับสนิท ภายในใจเป็นกังวลยิ่งนัก เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น แม่ทัพเซี่ยงอวี้…การวางกองกำลังทหารในมณฑลชางหนานเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซี่ยงอวี้ประสานหมัดและกล่าวว่า “กระหม่อมส่งทหารหนึ่งแสนนายไปยังเมืองห้าหุบเขาแล้ว พวกเขาสามารถเข้ายึดดินแดนมณฑลหลิงตงคืนมาได้ทุกเมื่อ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“หากสะดวก…” ฉินอินมองเซี่ยงอวี้และกล่าว “แม่ทัพเซี่ยงอวี้โปรดเดินทางไปยังเมืองห้าหุบเขาและนำกองทัพหนึ่งแสนนายเป็นกำลังเสริมให้มณฑลหลิงตงทันที”
“หือ?” เซี่ยงอวี้ผงะไปครู่หนึ่ง “ฝ่าบาท ท่านหลานกงและท่านหยุนกงยังไม่ทราบถึงเรื่องนี้ กระหม่อมเกรงว่าคงไม่เหมาะสมที่จะกระทำโดยพลการ?”
เฟิงจี้สิงด้านข้างกล่าว “เซี่ยงอวี้ เจ้าเป็นทายาทเทพทหารเซี่ยงเหวินเทียนซึ่งเป็นแม่ทัพแห่งจักรวรรดิ แต่กลับไม่ฟังพระราชโองการของฝ่าบาทและฟังคำผู้อื่นเช่นนี้…ไม่ใช่ว่าจักรวรรดิฉินขึ้นตรงกับการตัดสินพระทัยขององค์จักรพรรดินีหรือ?”
เซี่ยงอวี้ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้มีเจตนาจะต่อต้าน ทว่าทรงเข้าพระทัยกระหม่อม กองกำลังหนึ่งแสนนายในมณฑลชางหนานเป็นทหารจากมณฑลชีไห่ พวกเขารับคำสั่งจากท่านหลานกงโดยตรง หากไม่มีคำสั่งจากเขา เกรงว่าข้าคงไม่สามารถระดมกองทัพได้แม้จะไปยังเมืองห้าหุบเขาด้วยตนเอง”
“ข้าเข้าใจ”
ฉินอินหยิบพระราชกฤษฎีกาขึ้นมาฉบับหนึ่งและกล่าวว่า “จงนำพระราชกฤษฎีกานี้ไปให้ท่านหลานกงและบอกเพียงว่าเป็นคำสั่งของข้า ซึ่งหวังว่าท่านหลานกงจะทำตาม”
เซี่ยงอวี้รีบเข้าไปรับและก้มศีรษะด้วยความเคารพ “กระหม่อมจะไปยังจวนของท่านหลานกงทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี และจงรีบกลับมา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เซี่ยงอวี้หันกลับออกไป ขณะที่ฉินอินมองตามหลัง ดวงตาคู่งามเหม่อมองดวงดาวที่สุกสกาวบนฟากฟ้าด้วยหัวใจที่ร้อนรน นางแทบรอไม่ไหวที่จะกางปีกและบินออกไปยังมณฑลหลิงตงเพื่อดูว่าหลินมู่อวี่ยังสบายดีหรือไม่ ทว่าเสื้อคลุมจักรพรรดินีที่สวมใส่เป็นดั่งกรงหนาที่กักขังตนไว้…
ซูอวี่มองเห็นความกังวลในดวงตาฉินอิน นางหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า “เสี่ยวอินอย่ากังวลเลย…จะไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับกองทหารหยางเว่ยหนึ่งแสนนายที่เดินทางไปทำศึกในมณฑลหลิงตงอย่างแน่นอน เนื่องจากกองกำลังหลักของจักรวรรดิอี้เหอถอนทัพกลับมณฑลหลิงหนานแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป ท่านเซินเว่ยโหวหมินยวี่หลินเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำศึก อีกทั้งอาอวี่ในฐานะผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ผู้ซึ่งมีพลังยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา พวกเขาจะต้องปลอดภัย”
“อืม ขอบคุณเจ้าค่ะท่านป้าอวี่”
ฉินอินเดินลงบันไดมาจับมือซูอวี่และเอ่ยถาม “อาการป่วยของท่านตาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“มีเพียงอาการหวัดเล็กน้อย ท่านผู้ดูแลฉู่เหยาตรวจอาการและสั่งจ่ายยาแล้ว หลังจากทานไปสักระยะ อาการของเขาคงดีขึ้น เสี่ยวอินอย่าได้เป็นกังวล”
“เจ้าค่ะ”
ฉินอินเงยหน้าขึ้นมองอีกทาง เฟิงจี้สิงก้มศีรษะและประสานหมัดแสดงความเคารพทันที
“ท่านผู้บัญชาการเฟิง ในการหารือวันพรุ่งนี้…จะเป็นอย่างไรหากท่านเสนอการจัดระเบียบองครักษ์อวี้หลินและองครักษ์มังกร?” ฉินอินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฟิงจี้สิงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ฝ่าบาทอย่าทรงเป็นกังวล กระหม่อมจะจัดการเรื่องนี้และทุกเรื่องเป็นการส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ซูอวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ผู้บัญชาการเฟิงวางใจเถิด เรื่ององครักษ์อวี้หลินถูกระงับมานานเกินไป และท่านพ่อไม่เข้าตำหนักในวันพรุ่งนี้ แม้หลานกงจะคัดค้าน แต่วาระนี้จะต้องผ่านอย่างแน่นอน”
เฟิงจี้สิงพยักหน้า “ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ฉินอินกะพริบตาและกล่าวว่า “เดิมทีมีองครักษ์มังกรหกนายในจักรวรรดิ ทว่าขณะนี้เหลือเพียงสอง นั่นคือผู้บัญชาการเฟิงและแม่ทัพตู้ไห่ ถึงเวลาที่จะแต่งตั้งคนใหม่แล้ว หากอาอวี่กลับมาพร้อมชัยชนะ…ข้าวางแผนจะเลื่อนยศให้เขาเป็นองครักษ์มังกร พวกท่านคิดว่าอย่างไร?”
เฟิงจี้สิงหัวเราะ “อาอวี่มีพลังยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งมีคุณธรรมและความสามารถยิ่ง ดังนั้นเขาจึงคู่ควรกับตำแหน่งองครักษ์มังกรพ่ะย่ะค่ะ”
ซูอวี่ยิ้ม “เสี่ยวอิน ตั้งแต่โบราณกาล การแต่งตั้งองครักษ์อวี้หลินและองครักษ์มังกรถูกกำหนดโดยจักรพรรดิ เจ้าไม่จำเป็นต้องปรึกษาผู้ใด เนื่องจากมันเป็นสิทธิ์ของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว!”
“เจ้าค่ะท่านป้าอวี่!”
สายลมเย็นพัดผ่านตำหนักเจ๋อเทียน ทำให้ม่านมุกสั่นไหวเชื่องช้าและส่งเสียงดังราวกับถ่ายทอดความรู้สึกภายในใจของเด็กสาวที่ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยได้
…
ณ เมืองตงฉวง มณฑลหลิงตง
“มันคือสิ่งใด?”
ภายในโถงหลักของเมือง ผู้คนต่างเข้ามารุมล้อมซากศพอสูรมีปีกด้วยความตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นปีศาจประเภทอื่น ซึ่งเป็นปีศาจเพียงชนิดเดียวที่สามารถบินขึ้นที่สูงและหาได้ยากในแผ่นดินใหญ่
“เจ้าสิ่งนี้เป็นตัวเผายุ้งฉางของเราเหรอ?” หมินยวี่หลินขมวดคิ้ว
“ขอรับ”
หลินมู่อวี่โค้งคำนับ “ข้าน้อยเป็นผู้ปล่อยให้ปีศาจเหล่านี้เผายุ้งฉางและเสบียง ท่านเซินเว่ยโหวโปรดลงโทษข้า!”
“เฮ้อ…” หมินยวี่หลินถอนหายใจ “เจ้าพวกปีศาจมันเจ้าเล่ห์ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของท่าน อย่างไรก็ตามท่านหลินมู่อวี่…ตอนนี้เรามีเสบียงอาหารและหญ้าเหลืออยู่อีกนานเพียงใด?”
“เหลือเพียงปันส่วนของสมาพันธ์โอสถที่นำมาทำขนมปังและอยู่ได้อีกเพียงสองวันขอรับ” หลินมู่อวี่กล่าวเสริม “และหากแบ่งครึ่งอาจสามารถอยู่ได้อีกสองวัน”
หมินยวี่หลินกัดฟัน “เช่นนั้นคงต้องลำบากเหล่าพี่น้อง จากนี้ไปปันส่วนจะลดลงเหลือเพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์ต่อวัน เพื่อให้เราสามารถอยู่ต่อได้อีกสองถึงสามวัน หากกองกำลังเสริมของจักรวรรดิยังไม่มา เราอาจต้องฆ่าม้าศึก…”
“ฆ่าม้า…”
หมินจ้านผู้บัญชาการกองทัพเทียนฉงกล่าวด้วยความเจ็บปวด “ท่านพ่อ หากไม่มีม้าเราจะสูญเสียข้อได้เปรียบทางความเร็วและการเดินทางระยะไกล ข้าเกรงว่าพวกเราอาจไม่สามารถหนีออกไปได้แม้แต่ผู้เดียว…”
หมินยวี่หลินกล่าวด้วยท่าทางสงบนิ่ง “จ้านเอ๋อร์ หากเราไม่ทำเช่นนั้น ทุกคนจะอดตายกันหมด แทบไม่ต้องพูดถึงการหลบหนีเลย”
“ขอรับท่านพ่อ!”
หวังซี ซูเหวินเทียน ฉือยิง และนายพลคนอื่นๆ ได้แต่นิ่งเฉย ไม่มีผู้ใดสามารถแก้ปัญหานี้ได้…
ขณะเดียวกันทหารส่งสารวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตระหนก “ท่านเซินเว่ยโหว เกิดเรื่องแล้วขอรับ…เผ่าปีศาจโจมตีเราอีกครั้ง!”
“พวกมันมาอีกแล้ว?”
หมินยวี่หลินเลิกคิ้วและกล่าว “เหล่านายพลจงรับคำสั่ง ออกไปป้องกันศัตรูซะ! ข้าจะปกป้องเมืองตงฉวงจนตัวตาย!”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่คว้ากระบี่วิ่งออกจากจวนเจ้าเมือง ขณะที่ฉินเหยียนและเฉินฮั่นนำกองกำลังศักดิ์สิทธิ์กว่าสองร้อยนายมารออยู่ด้านนอก พวกเขาเหลือกำลังรบไม่มากนักหลังการต่อสู้หนักติดต่อกันหลายวัน
“พี่ใหญ่ ปีศาจกำลังบุกโจมตีเมือง!”
“ข้ารู้ ปีนขึ้นกำแพงเมืองกับข้า เจ้าต้องป้องกันจากที่นั่น!”
“ขอรับ!”
กลุ่มทหารควบม้าไปยังกำแพงเมืองด้านเหนือของเมืองตงฉวงจนฝุ่นคลุ้งกระจาย เมื่อหลินมู่อวี่ขึ้นไปบนกำแพงเมืองก็พบว่า ไกลออกไปมีกองกำลังปีศาจจำนวนมหาศาลมุ่งตรงมา ซึ่งพวกมันคืออสูรเกราะ ทว่ากองทหารหยางเว่ยต่างเรียกว่า ‘แมลงสาบ’ พวกมันมีพละกำลังที่แข็งแกร่งและยากที่จะเข้าประชิดตัว
อสูรเกราะที่อยู่ใกล้ที่สุดวิ่งตรงมาพร้อมดาบยาวขึ้นสนิมและคำรามลั่น ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองมายังมนุษย์ด้วยความตื่นเต้น มันใช้หัวพุ่งชนอย่างรุนแรง ก่อนจะถอยหลังและตวัดดาบเฉือนก้อนอิฐบนกำแพงจนแตก หลินมู่อวี่และทุกคนยืนมองตะลึงงัน อสูรพวกนี้ช่างน่ากลัวอย่างแท้จริง!
“นำคันศรมา!” หลินมู่อวี่ออกคำสั่ง
ทหารจากกองกำลังศักดิ์สิทธิ์พลันยื่นธนูให้ จากนั้นหลินมู่อวี่หยิบลูกธนูเหล็กธรรมดาออกมาและง้างสายจนเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวง พลังดวงดาวหลั่งไหลเข้าสู่คันศรอย่างเชื่องช้า ด้วยระยะที่ใกล้เช่นนี้จึงทำให้ทักษะในการยิงธนูของหลินมู่อวี่ค่อนข้างแม่นยำ “ฟิ้ว!” ลูกธนูบินเจาะทะลุหัวอสูรเกราะอย่างรวดเร็ว
“โฮก…”
อสูรเกราะถูกแรงปะทะถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะล้มลงและบิดตัวอย่างทุรนทุราย ทว่าสมองของมันถูกทำลายไปแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตอยู่
“ท่านผู้นำทรงพลังยิ่งนัก!” เฉินฮั่วอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา เนื่องจากทักษะความแม่นยำของหลินมู่อวี่น้อยกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์ในระยะหนึ่งร้อยเมตร ทว่ากลับเพิ่มขึ้นเกือบหลายเท่าตัวหากอยู่ในระยะห้าสิบเมตร เมื่ออสูรเกราะเข้ามาโจมตีกำแพงเมือง ความแข็งแกร่งและความแม่นยำของหลินมู่อวี่จึงมีประโยชน์ยิ่ง
ลูกศรถูกยิงออกจากเมืองราวกับห่าฝนตกลงไปท่ามกลางอสูรเกราะที่วิ่งมาบนพื้น เสียง “ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!” ดังขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด ศรเศวตรมณีมีอยู่อย่างจำกัด จึงสงวนไว้ให้ผู้ที่มีฝีมือจากกองกำลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ขณะที่ลูกศรธรรมดาสามารถปลิดชีพอสูรเกราะได้หากเจาะทะลุจุดอ่อนสำคัญอย่างตาหรือปาก
กระนั้นเหตุใดอสูรเกราะที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วจึงถูกยิงได้ง่ายดายเช่นนี้…ในทางกลับกันลูกธนูของทหารแห่งจักรวรรดิลดน้อยลงเรื่อยๆ
อสูรเกราะพุ่งเข้ามาในเมืองทีละตัว บางตัวกระโดดสูงเกือบยี่สิบเมตรด้วยปีกกว้างด้านหลังและจ้องมองมนุษย์ในเมืองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไอ้พวกสัตว์ประหลาด!” ฉินเหยียนตะโกนลั่นพร้อมง้างธนูยิงใส่อสูรเกราะจนล้มลงทันที
ขณะที่เฉินฮั่นกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “พวกมันกำลังหิว…”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
เฉินฮั่นตอบ “อสูรเกราะพวกนี้กัดกินซากศพมนุษย์ ทหารที่เสียชีวิตด้านนอกกลายเป็นอาหารให้พวกมันอย่างเหลือเฟือ แต่ตอนนี้…มันคงหิวอีกครั้ง…”
ความโกรธเกรี้ยวภายในใจพลันระเบิดออก หลินมู่อวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เช่นนั้นจงป้องกันศัตรูและทำให้พวกมันหิวโหยต่อไป!”
………………………………….