EP.372 โรคระบาด
มีศพทหารนอนตายอยู่นอกเมืองกว่าห้าหมื่นนายรวมทหารราบเกราะหนัก และทั้งหมดถูกอสูรเกราะกัดกิน ทว่าพวกมันยังคงอยู่ในสภาพที่หิวโหยและบ้าคลั่งจนทำให้หลินมู่อวี่ตกตะลึง หากไม่กล่าวถึงอสูรเกราะสองแสนตัวรอบเมืองตงฉวง ขณะนี้พวกมันเพิ่มขึ้นกว่าสิบเท่าจากวันแรกและมากถึงหนึ่งแสนตัว!
…
“ระวัง!”
ฉินเหยียนตะโกนดัง ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว “ฉึก!” อสูรเกราะขว้างหอกเหล็กทะลุหัวใจของทหารแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์นายหนึ่งจนเสียชีวิตทันที
นี่คือท่าโจมตีระยะไกลที่ทรงพลังมากที่สุดของอสูรเกราะ แม้จะมีความแม่นยำต่ำ แต่สามารถทำให้ตายได้หากถูกโจมตี ซึ่งเป็นสาเหตุหลักการเสียชีวิตของเหล่าทหารในเมือง
หลินมู่อวี่ยังคงยิงธนูจากกำแพงอย่างต่อเนื่องขณะที่ส่งพลังกลยุทธ์ดวงดาราขั้นแรกเข้าสู่ลูกศร ก่อนจะปลิดชีพอสูรเกราะในทุกครั้งที่ยิง ไม่ไกลออกไปหมินจ้าน หวังซี และคนอื่นๆ ต่างประหลาดใจเมื่อเห็นศักยภาพในการรบของกองกำลังศักดิ์สิทธิ์
กองซากศพทับถมจนสูงใต้กำแพงเมืองด้านหน้าหลินมู่อวี่ ซึ่งเป็นการดึงดูดอสูรเกราะให้เข้ามามากขึ้น แสงคมหอกสว่างวาบ “ฟิ้ว!” หอกเหล็กพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วดูน่ากลัว แต่หลินมู่อวี่ไม่ได้หวั่นเกรง ทันใดนั้นแสงสีทองส่องประกายทั่วร่าง กำแพงน้ำเต้าแข็งแกร่งมากพอที่จะรับการโจมตีนี้ได้ เมื่อรวมกับเกราะปราณยุทธ์จึงเป็นเรื่องยากที่อสูรเกราะจะทำร้ายเขาได้
อสูรเกราะปิดล้อมเมืองกระทั่งกลางดึก ในที่สุดพวกมันก็ล่าถอยอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำ
ที่ปรึกษากองทัพเดินเข้ามาพร้อมเหลือบมองซากศพอสูรนอกเมืองด้วยความประหลาดใจ เขาประสานหมัดอย่างเคารพ “ท่านผู้นำวิหาร ท่านสังหารอสูรเกราะนี้ทั้งหมดหรือ?”
“ไม่ ข้าสังหารพวกมันกับทุกคน” หลินมู่อวี่กล่าว
ที่ปรึกษากองทัพตกตะลึง “ความกล้าหาญของท่านผู้นำวิหารเหนือกว่าแม่ทัพตู้ไห่นัก”
หลินมู่อวี่เศร้าหมอง “น่าเสียดายที่แม่ทัพตู้ไห่ถูกเหล่ยฉงสังหารแล้ว”
ฉินเหยียนด้านข้างกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านที่ปรึกษากองทัพ ไม่ใช่ว่าท่านมีหน้าที่บันทึกคุณความดีของทหารหรือ? พี่ใหญ่ของข้าสังหารอสูรเกราะไปกว่าร้อยตัววันนี้ ท่านจะนับมันอย่างไร?”
ที่ปรึกษากองทัพประสานหมัดและกล่าวว่า “ท่านอ๋องน้อย คุณความดีของท่านผู้นำวิหารอาจสามารถเลื่อนยศเป็นนายกอง ทว่าเขาเป็นผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ก่อนแล้ว บางทีอาจได้รับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการขอรับ”
ฉินเหยียนตบไหล่เขาเบาๆ “เช่นนั้นเมื่อกลับไปเมืองหลวง เจ้าต้องแก้ไขชื่อพี่ใหญ่ ฮึ่ม! ไม่สมเหตุสมผลยิ่งนักที่ผู้มีคุณธรรมเช่นนี้กลับถูกกีดกันจากระบอบทหารแห่งจักรวรรดิ”
ที่ปรึกษากองทัพตัวสั่นเทิ้ม “เรื่องนี้…ขะ…ข้าเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย ไม่รู้จักพวกเขามากนัก…”
“เพียงพูดความจริงออกไป”
“ขอรับ หากข้าสามารถมีชีวิตกลับไปยังเมืองหลันเยี่ยน ข้าจะรายงานคุณความดีของผู้นำวิหารในศึกครานี้ตามจริง”
“ดีมาก!”
หลังส่งที่ปรึกษากองทัพออกไป เซินเว่ยโหวหมินยวี่หลินเดินขึ้นกำแพงเมืองพร้อมนายพลยืนล้อมรอบ เมื่อมองดูพื้นที่กว้างใหญ่นอกเมืองและซากศพเต็มทางเดิน เขาขมวดคิ้วและกล่าว “อสูรร้ายแข็งแกร่งและดุร้ายมาก ดูเหมือนพวกมันจะรู้ว่าเสบียงอาหารและหญ้าของเราขาดแคลนอย่างหนัก”
หลินมู่อวี่กล่าว “ท่านเซินเว่ยโหว หากพวกมันต้องการให้เราอดอาหารตาย คงไม่โจมตีเช่นนี้ เนื่องจากมีอสูรเกราะตายอย่างเปล่าประโยชน์มากมาย”
“ท่านผู้นำวิหารคิดว่าเป็นกลอุบายหรือ?” หมินยวี่หลินถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าเพียงคิดว่านี่ไม่ปกติ” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างใจเย็น
“เช่นนั้น…” หมินยวี่หลินกล่าว “เราคงไม่สามารถทำสิ่งใด นอกจากป้องกันการปิดล้อมของเผ่าปีศาจ ข้าหวังว่ามันจะจบสิ้นในเร็ววัน”
“ขอรับ”
“พวกอสูรเกราะไปแล้ว เปิดประตูเมืองและออกไปเก็บลูกธนู ไม่อย่างนั้นลูกธนูสำรองจะหมดภายในสองวัน”
“ขอรับ”
…
หลังจากหมินยวี่หลินออกไป หลินมู่อวี่จึงพาฉินเหยียน เฉินฮั่น และคนอื่นๆ ออกไปเก็บลูกศรเพื่อนำมาใช้อีกครั้ง พวกเขาทำเช่นนี้ทุกวันราวกับกิจวัตร ยกเว้นหมินจ้าน ฉือยิง และทหารระดับนายพลคนอื่น ขณะที่เหล่าแม่ทัพบางคนนำคนออกไปเก็บลูกศรด้วยเช่นกัน แต่นำไปไม่มากนัก เนื่องจากเกรงว่าเมื่อเผ่าปีศาจหวนกลับมาโจมตี แล้วจะไม่มีทหารมากพอในการป้องกันเมือง
“ฟู่…”
เมื่อฉินเหยียนดึงศรเศวตรมณีออกจากปากอสูร เลือดสีเขียวพลันสาดกระเซ็นออกมา เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “อสูรอะไรกัน เหตุใดจึงมีเลือดสีเขียวเช่นนี้?”
เฉินฮั่นด้านข้างพยักหน้า “ที่นี่ด้วย พวกอสูรเกราะหลั่งเลือดสีเขียว มันเป็นไปได้อย่างไร?”
หลินมู่อวี่กล่าว “อย่างไรก็ตามพวกมันทั้งหมดก็เป็นสัตว์ประหลาด ทำความสะอาดลูกศรและอย่าสัมผัสมันด้วยมือเปล่าเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หลังกลับถึงค่าย อย่าลืมล้างมันด้วยน้ำต้มเดือด มิเช่นนั้นจะไม่สามารถใช้งานได้อีก เข้าใจหรือไม่?”
“ขอรับ”
แม้เฉินฮั่นจะพยักหน้ารับ แต่ก็ถามกลับด้วยความประหลาดใจ “ใต้เท้า เหตุใดจึงใช้น้ำต้มเดือดล้างมัน? ข้าน้อยไม่เคยเห็นวิธีแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน มันจะทำให้ลูกศรคมขึ้นหรือขอรับ?”
“ไม่ใช่” หลินมู่อวี่อธิบายอย่างเรียบง่าย “ข้าเพียงเกรงว่าจะมีไวรัสอยู่บนร่างกายของอสูรเกราะ เราไม่สามารถทนพิษของมันได้ จึงจำเป็นต้องฆ่าเชื้อก่อน อย่างไรก็ตาม…ระวังตัวไว้เป็นดีที่สุด วิธีใช้น้ำต้มเดือดเช่นนี้มีชื่อเรียกว่า ‘การฆ่าเชื้อ’ กระนั้นพวกเจ้าคงไม่เข้าใจ…”
ฉินเหยียนและเฉินฮั่นพยักหน้าพร้อมกัน “ข้าไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย…”
“ข้ารู้”
หลังจากกลับค่ายตอนกลางดึก หลินมู่อวี่รู้สึกเหนื่อยมาก อีกทั้งยังได้ทานอาหารค่ำเพียงครึ่งเดียว ซึ่งเป็นเพียงพายธรรมดา จากนั้นเขานั่งลงข้างค่ายพักเพื่อดูเฉินฮั่นและคนอื่นๆ ฆ่าเชื้อลูกธนูจากระยะไกล ขณะเดียวกันก็ถือซุปผักและเคี้ยวเส้นก๋วยเตี๋ยวทีละน้อย ฉินเหยียนพลันเดินเข้ามาพร้อมถือขนมปังแผ่นหนาสองแผ่นยื่นให้หลินมู่อวี่และกล่าวว่า “พี่ใหญ่ กินให้มากกว่านี้ จะได้มีแรงสังหารศัตรู”
“เอามาจากที่ใด?” หลินมู่อวี่ถามด้วยความประหลาดใจ
ฉินเหยียนยิ้มเล็กน้อย “หน่วยวิญญาณอัคนีเป็นคนของเราทั้งหมด แม้จะเอามาเพิ่มสักชิ้นก็คงไม่ถูกจับได้ง่ายๆ”
หลินมู่อวี่ยื่นมือออกไปผลักขนมปังกลับให้ฉินเหยียน “อาเหยียนกินเถิด ข้าอิ่มแล้ว”
“พี่ใหญ่อย่าโกหกเลย ท่านยังหนุ่มและร่างกายแข็งแรง แล้วจะอิ่มได้อย่างไรหากไม่กินขนมปังแม้แต่น้อย? ท่านเป็นถึงผู้นำกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีเรี่ยวแรงในสังหารศัตรู แล้วทหารคนอื่นควรจะทำเช่นไร?” ใบหน้าฉินเหยียนแดงก่ำ เขายังเด็กเกินไปและยังไม่บรรลุนิติภาวะ แม้พลังยุทธ์จะน่าทึ่ง ทว่าก็ยังคงเป็นเพียงเด็กชาย
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เอาล่ะ เราจะแบ่งกันคนละครึ่ง”
“อืม ตกลง”
ฉินเหยียนวางหอกด้านข้างและหยิบซุปผักขึ้นสูดกลิ่น ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อก่อนการกินซุปเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก ทว่าตอนนี้มันกลับทำให้ข้าพอใจยิ่ง ฮ่าๆ ช่างน่าสนใจ”
หลินมู่อวี่รู้สึกเศร้าเล็กน้อย “อาเหยียน ข้าคงต้องโทษตัวเองที่พาเจ้ามายังสนามรบเช่นนี้ เจ้ายังเด็กและไม่สมควรต้องมาตายที่นี่ แต่วางใจเถิด ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้เจ้ารอดชีวิตกลับไปเมืองหลันเยี่ยนให้ได้”
ฉินเหยียนตะลึงขณะที่ขอบตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย “พี่ใหญ่พูดถึงสิ่งใดกัน หลังการตายของท่านพี่ฉินเหลย อาเหยียนก็มีท่านเป็นญาติเพียงคนเดียว ท่านหลินมู่อวี่เป็นพี่ใหญ่ของฉินเหยียนและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป หากพวกเราทุกคนต้องตายที่นี่ อาเหยียนจะไม่เสียใจ ทว่าพี่ใหญ่…ท่านต่างออกไป องค์จักรพรรดินีและองค์หญิงซีรักท่านมาก ท่านควรมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมากกว่าที่จะมาตายเป็นผีอยู่ในที่แห่งนี้…”
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและเอื้อมมือออกไปตบไหล่ฉินเหยียน “เจ้าน้องชาย เราจะมีชีวิตออกจากมณฑลหลิงตงแน่นอน”
“อื้ม”
…
เช้าวันรุ่งขึ้นหลินมู่อวี่ตื่นขึ้นมาอย่างสบายตัวขณะที่พลังเจ็ดประทีปและกลยุทธ์ดวงดาราโคจรทั่วร่างกาย โชคดีที่พลังทั้งสองไม่ขัดแย้งกันเอง
“ใต้เท้า ตื่นหรือยังขอรับ?” เสียงเฉินฮั่นดังจากด้านนอกกระโจม
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมและกล่าว “ตื่นแล้ว เกิดสิ่งใดขึ้น?”
“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ”
“โอ้ มีสิ่งใดหรือ?”
เช้าตรู่วันนี้ เหล่าพี่น้องมีอาการปวดหัวและมีไข้ หลายคนมีเลือดไหลออกจากตา ข้าไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ท่านมาดูด้วยตัวเองเถิด”
“อืม”
หลินมู่อวี่รีบออกจากค่ายพร้อมฉินเหยียนและคนอื่นๆ เมื่อไปถึงค่ายทหารบาดเจ็บก็พบทหารป่วยนอนอยู่บนพื้น เกือบทั้งหมดมีอาการเดียวกันคือ แก้มแดง หน้าผากร้อน มีเลือดออกจากตา อ่อนแรง และมีไข้สูง
“เกิดอะไรขึ้น?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
“ผู้คนมีอาหารป่วยเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อคืนขอรับ” แพทย์ทหารจากสมาพันธ์โอสถกล่าวด้วยความเคารพ “ท่านผู้นำ เราไม่สามารถวินิจฉัยโรคพวกเขาได้ นี่ไม่ใช่ไข้สูงธรรมดา หลังจากที่พวกเขาถูกส่งมาที่นี่ ทุกคนก็เริ่มมีไข้สูง”
“แยกผู้ที่มีไข้สูง” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างใจเย็น “อย่าให้คนภายนอกสัมผัสพวกเขาเพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่ม”
“ขอรับ”
หลินมู่อวี่มองไปยังฉินเหยียนและกล่าว “อาเหยียน ไปตรวจสอบว่าทหารที่ป่วยเป็นของกองทัพใด และพวกเขาทำสิ่งใดที่เหมือนกัน”
ฉินเหยียนพยักหน้า “ขอรับ”
ไม่นานหลังจากนั้น ฉินเหยียนเดินกลับมาและรายงาน “พี่ใหญ่ ข้าตรวจสอบและพบว่าทหารเกือบทุกคนทำภารกิจ ‘เก็บลูกธนู’ หลังสงครามเมื่อวาน”
“เจ้าพวกอสูร…”
หลินมู่อวี่กัดฟันแน่นและชกเสาหินด้วยความโกรธ “เราถูกหลอก อสูรเกราะที่โจมตีเมืองเมื่อวานติดเชื้อทั้งหมด เผ่าปีศาจโหดเหี้ยมยิ่งนัก มันต้องการให้เรานำโรคระบาดเข้าสู่เมืองตงฉวง”
“นั่น…เราจะทำอย่างไรกับพี่น้องที่ล้มป่วย?” ฉินเหยียนเอ่ยถาม
“คงต้องรอท่านเซินเว่ยโหว”
“อืม”
ไม่นานหมินยวี่หลินขี่ม้าเข้ามายังค่ายผู้ป่วย หลินมู่อวี่เข้าไปอธิบายสั้นๆ ถึงสถานการณ์ทันที จากนั้นท่าทางหมินยวี่หลินพลันเคร่งขรึม
“ท่านเซินเว่ยโหว ควรจะทำอย่างดีขอรับ? มีผู้คนติดโรคระบาดมากขึ้นเรื่อยๆ” ซูเหวินเทียนเอ่ยถามอย่างหวั่นใจ “แม้แต่นายพลของข้าบางคนก็ติดเชื้อโรคนี้ด้วย”
“เผ่าปีศาจบีบบังคับให้เราทำเราเช่นนี้ มีเพียงต้องรีบสังหารให้สิ้น…”
หมินยวี่หลินหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด ขณะที่เปลือกตาสั่นไหวพร้อมพึมพำ “ปิดกั้นค่ายทหารที่บาดเจ็บ ห้ามผู้ใดเข้าใกล้ และฝังทุกคนที่ติดโรคระบาดทันที ห้ามผู้ใดขัดขืน”
“ฝะ…ฝังทั้งเป็น?” ซูเหวินเทียนตกตะลึง
………………………………….