EP.373 หลอมอุกกาบาต

ปฏิทินแห่งจักรวรรดิปีเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบสี่ วันที่สองสิงหาคม เมืองตงฉวงขาดแคลนอาหารจนต้องฆ่าม้าเพื่อประทังชีวิต

ตามคำสั่งของหมินยวี่หลิน ม้าของทหารระดับล่างจะถูกฆ่าก่อน ตามด้วยผู้นำ นายพล นายกอง และผู้บัญชาการ ขณะเดียวกันเผ่าปีศาจใช้ธนูส่งโรคระบาดเข้าเมืองตงฉวง ซึ่งสังหารทหารแห่งจักรวรรดิเกือบสองหมื่นนาย และพลเรือนเกือบห้าหมื่นคน ขณะนี้เป็นช่วงฤดูร้อน ทำให้ซากศพในเมืองตงฉวงลอยเหม็นตลบอบอวล

ตั้งแต่นั้นมาไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกสติปัญญาของพวกปีศาจอีกเลยโดยเฉพาะปีศาจระดับสูง

แสงดาวสลัวยามค่ำคืน หลินมู่อวี่ขี่ม้าบนถนนในเมืองตงฉวงอย่างเชื่องช้า มีศพนอนตายด้วยความอดอยากตลอดทาง ขณะที่บ้านหลายหลังปิดเงียบ กระนั้นก็มีกลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาบ่งบอกว่าสมาชิกในบ้านตายกันหมดแล้ว เดิมทีหลินมู่อวี่เชื่อว่าการมาเยือนมณฑลหลิงตงจะทำให้ทุกสิ่งฟื้นฟูขึ้น แต่ไม่คาดคิดว่าสุดท้ายจะนำมาซึ่งความตายเช่นนี้ อย่างไรก็ตามเผ่าปีศาจคงเข้าโจมตีที่นี่แม้กองทัพหยางเว่ยจะไม่ได้เคลื่อนทัพมา

“ใต้เท้า มีศพอยู่ที่นั่นขอรับ” เฉินฮั่นกล่าว

“ใช้ผ้าปิดจมูกและปาก แล้วขุดหลุมฝังไว้ที่เดิม”

“ขอรับ!”

การนำศพของทหารไปฝังคืองานที่หลินมู่อวี่ต้องทำทุกวันหลังเกิดโรคระบาด ค่ายกองกำลังศักดิ์สิทธิ์เคยมีทหารราวสามร้อยนาย ขณะนี้เหลือเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบนายเท่านั้น ทุกคนต่างเห็นความตายทุกวันกระทั่งเริ่มคุ้นชิน จากความสะอิดสะเอียนเมื่อเห็นศพคราแรก แปรเปลี่ยนเป็นความเฉยเมย พวกเขาไม่ใช่จอมยุทธ์ระดับสูงในวิหารอีกต่อไป แต่เป็นเพียงทหารแห่งจักรวรรดิ…

“ยังไม่มีข่าวคราวจากเมืองหลวงหรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม

“ยังขอรับ”

ฉินเหยียนส่ายหัวพร้อมกล่าวด้วยใบหน้าสิ้นหวัง “พี่ใหญ่เคยเห็นอสูรปีกจากเผ่าปีศาจแล้ว ข้าเดาว่านกส่งสารคงถูกมันฆ่าทั้งหมด มิเช่นนั้นเมืองหลวงคงใช้นกส่งสารมายังเมืองตงฉวงนานแล้ว”

“อือ”

หลินมู่อวี่ครุ่นคิด ฉินเหยียนพูดถูก ไม่มีใครทราบว่าเผ่าปีศาจเริ่มล้อมรอบเมืองตงฉวงตั้งแต่เมื่อใด และอสูรปีกคงปิดกั้นการสื่อสารมานานแล้ว ดังนั้นเมืองตงฉวงจึงไม่สามารถส่งหรือรับนกส่งสารได้ และกลายเป็นสถานที่ที่ถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ บางทีในสายตาของเผ่าปีศาจ…กองทัพหยางเว่ยคงเป็นเหมือนกระต่ายในกรงขังที่พร้อมจะถูกฆ่าได้ทุกเมื่อ

ฉินเหยียนกล่าวต่อ “ในกองทัพเหลือม้าอยู่ไม่มากแล้ว ราวสามพันตัว ทว่าเกือบครึ่งติดโรคระบาด ทำให้เหลือเพียงหนึ่งพันห้าร้อยตัวเท่านั้น ซึ่งมันไม่เพียงพอสำหรับทหารสามหมื่นนาย ข้าเกรงว่าพวกเราคงอยู่ได้ไม่เกินสามวัน…”

หลินมู่อวี่นิ่งเงียบ ก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านเซินเว่ยโหวสั่งให้ฆ่าม้าของเราหรือไม่?”

“มีคำสั่งมาเมื่อเช้า ท่านเซินเว่ยโหวกล่าวว่า นอกจากม้าของข้า พี่ใหญ่ และท่านเฉินฮั่ว ม้าที่เหลือจะถูกส่งไปยังแม่ทัพหมินจ้านในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อสังหารและแจกจ่าย”

หลินมู่อวี่ผงะ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบม้าที่ตนขี่ ฉินอินเป็นผู้เลือกม้าตัวนี้ให้เขา แต่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเกรงว่าเขาคงไม่สามารถรักษามันไว้ได้อีกต่อไป…

เมื่อกลับมาถึงค่ายกลางดึก หน่วยวิญญาณอัคนีส่งซุปม้าที่เพิ่งปรุงให้

หลินมู่อวี่รับซุปชามโตมา ในเวลานี้เขาไม่กล้าปลุกมังกรน้อยเนื่องจากมันสามารถกินม้าทั้งตัวภายในมื้อเดียว เขาจึงไม่สามารถให้อาหารและปล่อยให้มันหลับใหลในมิติอื่น

เขาหิวโหยมาหลายวัน กระนั้น…เมื่อกัดเนื้อเข้าไป มันกลับให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด หลินมู่อวี่เคี้ยวเนื้อม้าไร้รสชาติราวกับกำลังดื่มยาพิษเพียงเพื่อดับกระหาย

หลังจากทานอาหารเสร็จ หลินมู่อวี่กลับไปนั่งในค่ายเพื่อฝึกกลยุทธ์ดวงดารา กระนั้นเขายังคงไม่สามารถทะลวงขั้นที่สามได้ซึ่งสร้างความกังวลให้อย่างมาก

กลางดึกสงัด จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นจากทิศเหนือ!

“เกิดอะไรขึ้น?”

หลินมู่อวี่รีบก้าวออกจากค่าย ขณะที่ฉินเหยียนถือหอกวิ่งเข้ามา “ข้าไม่ทราบ แต่ดูเหมือนจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นที่ประตูทางเหนือ!”

“หือ!?”

หัวใจหลินมู่อวี่ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม “รีบไปกับข้า”

“อื้ม!”

ทั้งสองขี่ม้าเคียงข้างกัน ส่วนทหารที่เหลือทำได้เพียงเดินเท้า เนื่องจากม้าส่วนใหญ่ถูกฆ่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร เมื่อมาถึงก็พบรูขนาดใหญ่พร้อมไฟลุกโชนท่วมกำแพงด้านเหนือ ขณะที่ทหารกลุ่มหนึ่งยืนดูด้วยความตกตะลึง

“สวรรค์ลงโทษด้วยดวงดาวแห่งหายนะ!!” ทหารผ่านศึกผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“อย่าตื่นตระหนก!”

หลินมู่อวี่ก้าวเข้าไปพร้อมขมวดคิ้ว “มันเป็นเพียงอุกกาบาต ดาวหายนะที่ไหนกัน อย่าปล่อยให้พวกปีศาจปั่นหัวได้!”

ทหารผ่านศึกคุกเข่าลงพร้อมร่างกายที่สั่นสะท้าน “โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย ข้าไม่บังอาจอีกแล้ว”

หลินมู่อวี่ทนไม่ไหวจนต้องเข้าไปอธิบาย “จะมีดาวขนาดเล็กบางดวงที่บินไปมาอยู่ระหว่างดวงดาว ซึ่งเรียกว่าอุกกาบาต มันเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ใช่ดวงดาวแห่งหายนะแต่อย่างใด”

ทหารผ่านศึกเข้าใจในสิ่งที่อธิบาย เขาจึงพยักหน้ารับ “ท่านหลินมู่อวี่ช่างปราดเปรื่อง…”

หลินมู่อวี่มองอุกกาบาตขนาดเท่าโม่หินที่กำลังมีไฟลุกไหม้ พลังของมันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนักซึ่งได้สร้างหลุมขนาดใหญ่รัศมีห้าเมตรบนกำแพงจนสามารถมองทะลุผ่านได้

“รีบซ่อมกำแพงเมืองให้เสร็จก่อนรุ่งสาง ไม่อย่างนั้นเผ่าปีศาจอาจเข้ามาได้ทุกเมื่อ” หลินมู่อวี่ออกคำสั่ง

ผู้บัญชาการกองพันด้านข้างประสานหมัดด้วยความเคารพ “ขอรับท่านแม่ทัพหลวง!”

ชายผู้นี้มาจากกองทัพเมืองชีไห่ซึ่งอาจเคยร่วมศึกด้วยกันที่เมืองหน้าด่านอสูร กระนั้นหลินมู่อวี่ก็ลืมไปนานแล้วว่าทหารผู้นี้คือใคร ราวกับว่าเขามีปัญหาในการจำใบหน้าผู้คน

หลังจากรอกระทั่งอุณหภูมิของอุกกาบาตลดลง หลินมู่อวี่ชักกระบี่วิญญาณมังกรเจาะและเก็บชิ้นส่วนกลับไปยังค่ายราวกับเป็นของที่ระลึกในค่ำคืนนี้

ดูเหมือนพระเจ้าจะรู้ว่าเขาต้องการสิ่งใด เนื่องจากกลยุทธ์ดวงดาราจำเป็นต้องสื่อสารกับดวงดาว และหากหลอมอุกกาบาตที่นำมาอาจทำให้ได้รับพลังมหาศาลที่สามารถทะลวงขอบเขตนภาชั้นที่สามได้!

หลินมู่อวี่ต้องการพลังเพื่อช่วยทุกคนออกจากเมืองตงฉวงแห่งนี้ เมื่อนึกถึงจอมพลเผ่าปีศาจนามว่าเหล่ยฉง เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นสะท้าน เหล่ยฉงแข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาและตู้ไห่จะร่วมมือกันก็ไม่อาจต่อกรได้ กระนั้นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งก็เป็นแรงผลักดันให้หลินมู่อวี่แข็งแกร่งขึ้น!

เมื่อกลับมาถึงค่าย หลินมู่อวี่เรียกติ่งหลอมยักษ์เพื่อหลอมอุกกาบาต

อุกกาบาตขนาดใหญ่ค่อยๆ หมุนวนอยู่ในติ่งหลอมขณะที่ถูกเผาโดยเพลิงดารา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลายาวนานราวสามชั่วโมง กระทั่งอุกกาบาตเปลี่ยนเป็นสีแดงส่องประกายพร้อมกลายสภาพเป็นแก๊ส ขณะเดียวกันพลังดวงดาวที่ซ่อนอยู่ภายในเปล่งแสงสีน้ำเงินอมฟ้า สีแดงเพลิง และสีฟ้าครามโบยบินอยู่ในติ่งหลอม ก่อนจะซึมผ่านร่างกายเขาทีละดวง

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนกลยุทธ์ดวงดาวค่อนข้างโลภมาก และไม่พอใจกับพลังดวงดาวที่เล็กน้อยเพียงนี้

ภายในพริบตาหลินมู่อวี่หลอมอุกกาบาตตลอดห้าวัน กระทั่งอุกกาบาตขนาดเท่าโม่หินถูกหลอมจนมีขนาดเท่าถ้วยน้ำชา ในที่สุดกลยุทธ์ดวงดาวในทะเลจิตก็ถึงจุดอิ่มตัว

“จะใช้ได้หรือยังนะ?”

หลินมู่อวี่เหงื่อออกเต็มใบหน้าขณะที่เรียกติ่งหลอมยักษ์ออกมาอีกครั้ง พลังดวงดาวค่อยๆ ควบแน่นบนฝ่ามือก่อตัวรูปร่างคล้ายภูเขา แม้พลังจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ที่ใช้พลังศิลา หลินมู่อวี่ผายฝ่ามือแผ่วเบา ทันใดนั้น! ศิลาดวงดาวบนฝ่ามือพลันพุ่งเฉือนอากาศราวกับคมมีด

น่าเสียดายที่ในค่ายทหารไม่มีก้อนหินสำหรับใช้ทดลอง

กลยุทธ์ดวงดารารูปแบบนี้เรียกว่า ‘ปัญจสวรรค์’ เป็นการรวมหิน ดิน และเหล็กกล้าเข้าด้วยกันเพื่อก่อเกิดระเบิดอันทรงพลัง อีกทั้งยังเป็นการโจมตีทางกายภาพที่รุนแรงมาก

หลินมู่อวี่ผายฝ่ามือเชื่องช้า ก่อนที่กลยุทธ์ดวงดาราจะสลายและกลับคืนสู่ร่างกาย เขารู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การฝึกฝนกลยุทธ์ดวงดาราทำให้เขาค่อยๆ พัฒนา ขณะนี้คงสามารถทะลวงขอบเขตนภาชั้นที่สามได้แล้ว ในที่สุดเขตแดนพลังก็อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ!

ขณะเดียวกันเสียงฉินเหยียนดังขึ้นจากด้านนนอก “พี่ใหญ่ สถานการณ์ไม่ค่อยดีขอรับ”

“เกิดสิ่งใดขึ้น?” หลินมู่อวี่ถาม

“ทหารจากเมืองชีไห่กำลังก่อปัญหาในจัตุรัสทางเหนือ”

“ก่อปัญหา?”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วขณะสวมชุดเกราะและคว้ากระบี่วิญญาณ “ไปกับข้า”

“ขอรับ!”

เมื่อมาถึงจัตุรัสทางเหนือก็พบว่ามีทหารกลุ่มใหญ่จากเมืองชีไห่นั่งบนพื้นอย่างอ่อนแรง นายกองสองสามคนยืนอยู่บนโครงไม้ที่ใช้ซ่อมแซมกำแพงเมืองด้วยใบหน้าแดงก่ำและกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “เหล่าพี่น้องทั้งหลาย พวกเราทหารแห่งมณฑลชีไห่ต่างก็เป็นทหารแห่งจักรวรรดิ เหตุใดจึงไม่มอบอาหารให้เรา? ท่านเซินเว่ยโหวช่างไม่ยุติธรรมยิ่งนัก กองทัพเทียนฉงและกองทัพเฉินกงได้ปันส่วนมากกว่าพวกเราถึงสามเท่า! เหตุใดพวกเขาจึงสามารถกินจนอิ่ม? ขณะที่ทหารแห่งมณฑลชีไห่หิวโหยเช่นนี้ คิดว่าพวกเราหิวไม่เป็นหรืออย่างไร!?”

ทหารกลุ่มหนึ่งโห่ร้องตาม

ขณะเดียวกันหมินจ้านเข้ามาพร้อมทหารม้าและมกล่าวเสียงดัง “พวกเจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใดกัน? กองทัพเทียนฉงได้กินมากกว่าอย่างนั้นเหรอ? นี่พวกเจ้าตาบอดกระทั่งไม่เห็นเลยหรือว่าพวกเราได้ทานอาหารเท่ากันในทุกวัน!!”

“โกหก!”

นายกองของทหารเมืองชีไห่ชี้นิ้วและพูดว่า “ไม่เห็นหรือว่ากองทัพของเจ้ายังคงมีม้าศึกอย่างน้อยสามสิบตัว เหตุใดจึงไม่ฆ่ามากินล่ะ!?”

“เจ้า!”

หมินจ้านพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “หวังซี เหตุใดจึงไม่ห้ามปรามคนของเจ้า!?”

หวังซีเป็นผู้บัญชาการกองทัพเมืองชีไห่จึงเข้าใจปัญหานี้ดี เขาขมวดคิ้วและกล่าว “ท่านแม่ทัพหลวง พวกเราต่างเป็นทหารในสนามรบ เช่นนั้นจะมีแรงต่อสู้ได้อย่างไรหากได้รับอาหารไม่เพียงพอ?”

“แล้วเจ้าคิดว่าพวกเราได้กินเพียงพอรึ!?” หมินจ้านตอบกลับด้วยความโกรธ

………………………………….