EP.374 เจ็ดประทีปพลิกดารา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.374 เจ็ดประทีปพลิกดารา

“ท่านเซินเว่ยโหวมาแล้ว…”

หมินยวี่หลินสวมเสื้อคลุมขุนนางขี่ม้าเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเซียว “เกิดอะไรขึ้น?”

หมินจ้านกล่าว “ท่านพ่อ ทหารจากเมืองชีไห่กำลังก่อปัญหาโดยอ้างว่าพวกเขาไม่ได้ทานอาหารอย่างเพียงพอ”

“ทุกคนต่างก็ทานอาหารไม่พอ”

ดวงตาหมินยวี่หลินเย็นชา “ทว่าจะทำสิ่งใดได้? เพียงต้องทนรอกระทั่งกำลังเสริมมาถึง”

หวังซีประสานหมัด “ท่านรู้หรือไม่ว่ากำลังเสริมจะมาเมื่อใด?”

“ไม่”

หมินยวี่หนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “แต่ข้ารู้ว่าองค์จักรพรรดินีจะไม่ทอดทิ้งเรา รวมทั้งหลานกงและหยุนกงจะไม่ทอดทิ้งทหารแห่งจักรวรรดิเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจักต้องอดทนรอ”

หวังซีนิ่งเงียบและไม่กล่าวสิ่งใดอีก

หลินมู่อวี่นำฉินเหยียนและคนอื่นๆ ขึ้นไปบนกำแพงเมืองและมองค่ายของเผ่าปีศาจจากระยะไกล หลังจากเฝ้าสังเกตมาหลายวันก็พบว่ากองทัพอสูรเริ่มมีระเบียบมากยิ่งขึ้น พวกมันกำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากกองทัพมนุษย์ เช่น กฎหมายและระเบียบวินัยของทหาร ซึ่งทำให้พวกมันไม่เข้าจู่โจมอย่างอุกอาจดั่งเช่นคราแรกอีกต่อไป

อีกทั้งยังสามารถเห็นธงขนาดใหญ่โบกสะบัดในค่ายเผ่าปีศาจ ไม่อาจรู้ได้ว่าพวกมันนับถือสิ่งใด บางทีอาจเป็นพระพุทธเจ้าทั้งเก้าในสมัยโบราณกาล…

“กี่วันแล้วที่เผ่าปีศาจไม่บุกโจมตีเมือง?” หลินมู่อวี่ถาม

“สี่วัน” ฉินเหยียนตอบ “ตั้งแต่เกิดโรคระบาด เราไม่กล้าส่งทหารออกไปเก็บลูกธนูอีก จึงทำให้ลูกธนูสำรองใกล้หมดเต็มที อีกทั้งเหล็กในร้านช่างตีเหล็กถูกหลอมจนหมดแล้ว ข้าเกรงว่าอีกไม่กี่วันพวกเราคงไม่มีแม้แต่แรงจะสังหารพวกมัน…”

“อืม…”

เป็นเวลากลางดึก จู่ๆ เกิดความโกลาหลขึ้นจากระยะไกล เมื่อหลินมู่อวี่เดินออกจากค่าย ทหารของเซินเว่ยโหวก็ควบม้าเข้ามากล่าวเสียงดัง “ท่านเซินเว่ยโหวขอให้ท่านไปยังกองทัพทหารแห่งจักรวรรดิเพื่อรับคำสั่งขอรับ…”

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

หลินมู่อวี่ควบม้าติดตามไปพร้อมฉินเหยียนและเฉินฮั่น เมื่อไปถึงโถงหลักจวนเจ้าเมืองก็พบหมินจ้าน ฉือยิง และคนอื่นๆ ยกเว้นหวังซีผู้บัญชาการกองทหารเมืองชีไห่

“ท่านเซินเว่ยโหว…”

หมินยวี่หลินพยักหน้าและกล่าว “ท่านแม่ทัพ มีการก่อกบฏในกองทหาร”

“ก่อกบฏ?”

“ใช่ หวังซีนำทหารเมืองชีไห่ห้าพันนายรวมตัวกันที่ประตูทิศเหนือและขู่ให้เปิดประตู พวกเขาไม่เต็มใจนั่งรอความตาย อีกทั้งกองกำลังในเมืองง้าวไฟและเมืองชีไห่มักมีเรื่องขัดแย้งเสมอ ข้าจะให้กองทหารหนึ่งหมื่นนายแก่ท่านเพื่อนำไปประตูทิศเหนือและปราบปรามกบฏของหวังซีทันที”

“ขอรับ…”

หลินมู่อวี่ก้าวออกไปรับเหรียญตรา ครานี้หมินจ้านและฉือยิงจะอยู่ภายใต้การบัญชาของเขา ในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะมีอภิสิทธิ์เล็กน้อยในฐานะราชบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิพระองค์แรก

จากนั้นทหารทั้งหนึ่งหมื่นนายมุ่งตรงไปยังประตูทิศเหนือ เขาเห็นหวังซีพร้อมทหารเมืองชีไห่ปักหลักอยู่ที่นั่นและพยายามเปิดประตู

“หวังซี…” ฉินเหยียนพูดเสียงดัง “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ?! กองทัพอสูรเกราะอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตร เจ้าต้องการให้พวกมันเข้ามาในเมืองหรืออย่างไร?”

หวังซีกล่าวด้วยท่าทางวิตกกังวล “ข้าไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น ข้าไม่สามารถทนดูเหล่าพี่น้องต้องอดตายอยู่ในเมืองตงฉวงได้ แม้การออกไปจะต้องเจอกับความตาย แต่อยู่ที่นี่ก็เหมือนตายเช่นกัน!”

“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดประตูเมือง!” หมินจ้านตะโกนด้วยความโกรธ

“ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามา…” หวังซีกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “พลธนูเตรียมพร้อม หากพวกเขาเดินเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียวจงยิงทันที…”

“อย่าขยับ…”

หลินมู่อวี่ยกมือขึ้น “มันไม่คุ้มที่จะตายที่นี่…ปล่อยพวกเขาไปซะ ฉินเหยียนและเฉินฮั่นนำทหารขึ้นไปบนกำแพง เมื่อใดที่ทุกคนออกไป จงปิดประตูทันที อย่าปล่อยให้เผ่าปีศาจฉวยโอกาสเข้ามา”

“ขอรับ…”

หมินจ้านดูประหลาดใจ “ท่านแม่ทัพจะปล่อยพวกเขาไปจริงหรือ? พวกเขา…เป็นพวกทรยศ?”

“พวกเขาเพียงกำลังจะตาย ไม่ได้มีการทรยศแต่อย่างใด” หลินมู่อวี่กล่าวเสียงเบา

ในที่สุดประตูเมืองค่อยๆ เปิดออกพร้อมเสียงเสียดสีของโซ่ จากนั้นทหารห้าพันนายของเมืองชีไห่รีบออกจากเมืองอย่างรวดเร็ว หวังซีขี่ม้าไปยังด้านหน้ากองทัพและกล่าวเสียงดัง “ยกธงขาวขึ้น!”

ธงขาวในกองทัพปลิวไสวขณะที่หวังซีชูดาบขึ้นสูง “ท่านผู้นำแห่งเผ่าเทพ พวกเรายอมจำนนและเต็มใจเป็นทาสเพื่อความอยู่รอด…”

หลินมู่อวี่ขึ้นไปบนกำแพงเพื่อเฝ้ามองทหารของหวังซีออกจากเมือง เขารู้สึกไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนว่าเผ่าปีศาจจะคอยสังเกตการณ์ในเมืองตงฉวงเสมอ พวกมันจึงเข้าล้อมรอบพวกหวังซีทันที อสูรเกราะระดับสูงถือขวานศึกก้าวออกมาสูดกลิ่นร่างกายมนุษย์ ขณะที่หวังซีตัวสั่นเทิ้มด้วยความตกใจ “ท่านผู้นำแห่งเผ่าเทพ ระ…เรามาอย่างสันติ”

“โฮก…”

อสูรตนนั้นคำรามใส่หน้าหวังซี ภายในพริบตาขวานศึกในมือสะบั้นหัวเขากระเด็น

“ไอ้สารเลว…”

นายกองแห่งกองทหารเมืองชีไห่ตะโกนดังด้วยใบหน้าซีดเซียว “ไอ้พวกปีศาจไม่มีความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย! เหล่าพี่น้องเอ๋ย จงสู้และตายอย่างสมเกียรติ!”

“ขอรับ!”

ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่กี่นาทีก็เกิดการนองเลือดขึ้น ทหารจากเมืองชีไห่เป็นเพียงทหารผู้หิวโหยและไม่มีพละกำลัง เช่นนั้นจะสามารถเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจผู้ชำนาญการต่อสู้ได้อย่างไร…

“พวกเราจะออกไปช่วยไหมขอรับ?” ฉินเหยียนเอ่ยถาม

หลินมู่อวี่ส่ายหัว “เจ้าจะตายทันทีที่ออกจากเมือง รีบปิดประตูเมืองซะ”

“ขอรับ…”

ขณะที่ทหารรีบดึงประตูลง อสูรเกราะที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่บริเวณใกล้เคียงพลันกางปีกพุ่งเข้ามาพร้อมกรีดร้องเสียงแหลม

“ห้ามขยับ ข้าจะไปเอง”

หลินมู่อวี่พุ่งตัวพลางชักกระบี่วิญญาณมังกรออกฟันหัวอสูรเกราะจนขาดกระเด็น “ชิ้ง!” เขาพลันหันหลังหลบขวานศึกที่โจมตีพร้อมส่งลูกเตะเข้าที่ใบหน้าอสูรอย่างรุนแรงจนใบหน้าบิดเบี้ยวและฟันแหลมสองซี่หัก หลินมู่อวี่รีบดึงมีดเสียงปีศาจออกจากเอวและขว้างตัดแขนอสูรตนหนึ่งทันที ก่อนที่มีดจะบินเฉือนอากาศตัดหัวอสูรเกราะอีกตัวที่อยู่ตรงหน้า

อย่างไรก็ตามอสูรเกราะพุ่งเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จากระยะไกล ขณะที่ทหารกว่าร้อยถูกฆ่าตายในพริบตาเดียว

“ตายซะ!”

หลินมู่อวี่ระเบิดความโกรธพร้อมพลังดวงดาวควบแน่นอย่างรุนแรงบนฝ่ามือ ขณะเดียวกันเขารู้สึกราวกับร่างกายกำลังฉีกขาด พลังดวงดาราแข็งแกร่งมากจนเกือบทำให้แขนหัก ทันใดนั้น! คลื่นพลังกระแทกออกไปเกือบร้อยเมตรแปรเปลี่ยนทั้งเมืองให้กลายเป็นดาราจักรส่องแสงระยิบระยับ

เจ็ดประทีปพลิกดารา!

“ตูม!!”

พลังดวงดาวระเบิดร่างอสูรเกราะกลุ่มใหญ่อย่างรุนแรงจนแผ่นดินสะเทือน ผู้คนต่างยืนตะลึงงัน เขาต้องเป็นคนเช่นไรจึงสามารถสังหารอสูรเกราะหลายร้อยตัวด้วยการโจมตีเดียว?!

“แฮ่ก…”

หลินมู่อวี่หอบหายใจหนักพลางจับจ้องไปยังกองเนื้ออสูรเกราะตรงหน้า ก่อนจะกระโดดขึ้นเถาวัลย์น้ำเต้าที่พันรอบกำแพงเข้าไปในเมือง

“ท่านผู้ดูแลวิหาร…การโจมตีช่างทรงพลังยิ่งนัก…” หมินจ้านกล่าวชื่นชม

แต่ใบหน้าของหลินมู่อวี่กลับซีดเซียว เขากระอักเลือดออกมา ขณะที่กล้ามเนื้อทั่วร่างกายกระตุกก่อนจะทรุดลงพื้นด้วยความเจ็บปวด นี่คือราคาที่เขาต้องจ่ายให้กับการใช้พลังเจ็ดประทีป ไม่เพียงแต่จิตวิญญาณที่ได้รับผลกระทบ แต่ร่างกายเองก็ถูกบดขยี้จนแทบคลั่ง…

“พี่ใหญ่…”

ฉินเหยียนรีบวิ่งเข้ามาช่วยขณะที่น้ำตาไหลริน “พี่ใหญ่ เป็นอะไรไหม?”

“ช่วยพาข้ากลับค่ายที” หลินมู่อวี่เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ขอรับ”

ฉินเหยียนและเฉินฮั่นรีบพยุงเขากลับค่าย ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเขาได้ขณะนี้ นอกจากต้องพึ่งพาการฟื้นตัวของร่างกายตนเอง

หมินจ้านและฉือยิงหันมองหน้ากันขณะที่รับรู้ความเกรงกลัวของอีกฝ่ายผ่านสายตา การโจมตีของหลินมู่อวี่ทำให้ทุกคนตกตะลึง ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าพลังของมนุษย์จะสามารถแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้…

หมินจ้านเงยหน้าขึ้นและพบว่าทหารของหวังซีถูกสังหารทั้งหมด การต่อสู้กับเผ่าปีศาจนั้น…แท้จริงแล้วอสูรเกราะเพียงตัวเดียวสามารถสังหารทหารกว่าสิบคนในพริบตา พวกมันมีพละกำลังมากเกินกว่ามนุษย์จะสามารถต่อกรได้ กระนั้นสายตาหมินจ้านเผยความแน่วแน่ขณะที่กล่าว “ต้องปกป้องเมืองให้ได้! และจักรวรรดิจะคงอยู่นิจนิรันดร์…”

เพียงประโยคสั้นๆ แต่กลับสร้างขวัญกำลังใจให้กับทุกคนมาก

ขณะเดียวกัน ณ เมืองหน้าด่านอสูรห่างออกไปหลายพันไมล์ ดวงดาวสุกสกาวเต็มท้องฟ้าพร้อมสายลมฤดูร้อนพัดผ่านแผ่วเบา หญิงสาวรูปร่างสง่างามนั่งสงบนิ่งเหนือกำแพงเมือง ผ้าคลุมด้านหลังปลิวไสวตามสายลม นางทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออกขณะที่หัวใจทุกข์ทรมาน

“องค์หญิงทรงกังวลสิ่งใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ถังเจิ้นที่อารักขาอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ข้า…”

ถังเสี่ยวซีส่ายหัว “ถังเจิ้น จู่ๆ ข้ารู้สึกไม่สบายใจ…ราวกับว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น ขะ…ข้ากังวลว่าหลินมู่อวี่จะ…”

ถังเจิ้นยิ้ม “ฝ่าบาทอย่าทรงเป็นกังวล เมืองหลวงเพิ่งได้รับข่าวดีจากกองทหารหยางเว่ยเมื่อสองวันก่อน พวกเขาสามารถปราบปรามกองทัพเจ็ดหมื่นนายของจักรวรรดิอี้เหอซึ่งนำทัพโดยหม่านฟางและได้รับชัยชนะ ท่านหลินมู่อวี่จะต้องปลอดภัยดีพ่ะย่ะค่ะ”

“แต่นั่นเป็นสาส์นจากเมื่อครึ่งเดือนก่อน และไม่มีมาอีกเลย…”

ถังเสี่ยวซีน้ำตาคลอ “นกส่งสารใช้เวลาเพียงห้าวันจากมณฑลหลิงตงถึงเมืองหลวง ทว่า…กลับไม่มีข่าวคราวเพิ่มเติม ถังเจิ้น…เจ้าต้องป้องกันประตูเมืองอสูรและร่วมมือกับหลิงหูเหยียน เนื่องจากข้าจะเข้าเมืองหลันเยี่ยนในวันพรุ่งนี้ ไม่สิ…ไปเตรียมม้าทันที เสี่ยวอินคงต้องการข้าในช่วงเวลานี้”

“องค์หญิง…”

“ไปเดี๋ยวนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ…”

………………………………….