ในวันนั้น หลังจากที่ลงจากภูเขาและจัดการเรื่องหมาป่ากับเรื่องอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว

—–

นางก็ได้วิ่งเข้าไปในห้องและหยิบกระเป๋าเงินสีขาวที่มีลายปักดอกไม้ที่นางเป็นคนเย็บปักเองกับมือออกมา แล้วเดินตรงไปยังบ้านของฉีเฉิงเฟิงทันที

“ก๊อก ๆ ก๊อก ๆ !”

เมื่อได้ยินเสียงเคาะดังมาจากหน้าประตูบ้าน ฉีเฉิงเฟิงจึงได้วางหยกที่ตัวเองกำลังนั่งแกะสลักอยู่ แล้วเดินออกมาเปิดประตูบ้านอย่างช้า ๆ พบว่าคนที่มาเคาะประตูนั้นคือซูเสี่ยวเหยี่ยน เขาจึงประหลาดใจขึ้นมาทันที “มีอันใดอย่างงั้นหรือ?”

“ฉี… ท่านพี่ฉี ข้า ข้า…” ซูเสี่ยวเหยี่ยนยืนพูดติด ๆ ขัด ๆ

“ว่าอย่างไร?” ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้วขึ้นมา “อย่าเพิ่งรีบพูด เจ้านั่งลงก่อนแล้วค่อย ๆ พูดออกมาช้า ๆ”

ซูเสี่ยวเหยี่ยนในตอนนี้นางรู้สึกประหม่ามาก เมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่มที่อ่อนโยนราวกับหยก พลันใดนั้นนางก็หยิบสิ่งของในแขนเสื้อออกมาและยัดใส่มือของฉีเฉิงเฟิงทันที ปลายหูของนางกลายเป็นสีแดง “ท่านพี่ฉี อันนี้สำหรับท่าน”

“!”

ฉีเฉิงเฟิงตกใจทันที

ชายและหญิงที่มอบกระเป๋าเงินให้แก่กันเป็นเหมือนการสารภาพรักหรือแสดงความรู้สึกที่มีต่อกัน ดูจากท่าทางลักษณะของซูเสี่ยวเหยี่ยนแล้ว ดูเหมือนนางกำลังสารภาพความรู้สึกที่มีต่อเขาอยู่

สิ่งที่ฉีเฉิงเฟิงตกใจมากที่สุดก็คือซูเสี่ยวเหยี่ยนนั้นมีอายุเพียงแค่ 8 หรือ 9 ขวบเพียงเท่านั้นเอง!

“ขอโทษนะ” ฉีเฉิงเฟิงรีบหยิบกระเป๋าเงินยัดคืนใส่มือของซูเสี่ยวเหยี่ยนกลับไปในทันที “หากเจ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้ากลับบ้านไปเสียเถอะ”

“ไม่ ข้าไม่กลับ!” ซูเสี่ยวเหยี่ยนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ดวงตาของนางเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา พร้อมจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ “ทำไมท่านถึงไม่ชอบข้าล่ะ? หรือว่ามันเป็นเพราะว่าท่านชอบพี่สาวของข้ากัน?”

“?”

เหตุใดนางถึงได้คิดเช่นนั้น?

ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้วแน่น ทว่าเขาไม่รู้ว่าจะพูดตอบอย่างไรดี ซูเสี่ยวเหยี่ยนจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนโดยไม่ทันได้คิดให้ดี “พี่สาวของข้านางมีดีอะไร! ทั้งมีนิสัยที่ร้ายกาจ ดุร้าย ทุบตีผู้คน นางไม่อ่อนโยนเลยสักนิด และนางก็ยังเย็บปักถักร้อยไม่เป็นอีกด้วย แล้วทำไมท่าน… ทำไมท่านถึงยังชอบนางอยู่อีก! นางไม่เห็นจะคู่ควรกับท่านเลยสักนิด!”

เหตุใดน้องสาวถึงพูดจาถึงพี่สาวเช่นนี้กัน?

ยิ่งไปกว่านั้น ยังหาว่าพี่สาวของตัวเองชอบผู้ชายคนเดียวกันอีก

ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็ง ๆ “เสี่ยวเหยี่ยน เจ้าควรกลับบ้านไปได้แล้วไป”

“ท่านพี่ฉี! นี่ท่าน…ท่านกลายเป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไร!” น้ำตาของซูเสี่ยวเหยี่ยนไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ นางยังคงกัดฟันพูดว่า “พี่สาวข้าไม่เห็นมีสิ่งใดดีเลย! ท่านไม่ควรมาชอบพี่สาวของข้า! นางเอาใจใส่ใครไม่เป็น แน่นอนในอนาคต ต่อไปนางอาจจะดูแลท่านได้ไม่ดี! ข้าดีกว่านางเป็นไหน ๆ ข้าทั้งอ่อนโยนทั้งสวยกว่า ทำงานบ้านงานเรือนได้ดีกว่านางอีกด้วย แน่นอนว่าข้าจะต้องเป็นภรรยาที่ดีสำหรับท่านพี่ฉีในอนาคตแน่ ๆ …”

ซูเสี่ยวเหยี่ยนยังพูดไม่จบ ทันใดนั้นก็มีเสียงตบหน้าดัง ‘เพี๊ยะ!’ อย่างกะทันหันขึ้นมาเสียก่อน

“ซูเสี่ยวเหยี่ยน! เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน! นี่พี่สาวของเจ้านะ! หากพี่สาวของเจ้าไม่มีอะไรดี งั้นเจ้าคงจะเป็นคนดีมากสินะ! ที่มาพูดจาเหยียบย่ำคนอื่นให้ดูต่ำแล้วยกตัวเองให้ดูดีขึ้นมา เจ้าคงจะเป็นคนที่สูงส่งมากเลยสินะ? แล้วเจ้าคู่ควรกับพ่อหนุ่มฉีตรงไหน!”

หัวใจของซูเสี่ยวเหยี่ยน จู่ ๆ ก็รู้สึกสั่นไหวขึ้นมาเมื่อนางได้ยินเสียงพูด นางรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมาเล็กน้อยว่าใช่เสียงแม่ของตนเองหรือไม่ เมื่อนางได้เงยหน้าขึ้นไปมอง ก็พบกับแม่ของนางยืนอยู่กับซูหวานหว่านซึ่งกำลังมองมาที่นางด้วยสายตาผิดหวัง

ทำไม ท่านแม่และพี่สาวของนางถึงมาอยู่ที่นี่!

“ท่านแม่…ท่านพี่…ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่…ข้า..ข้า” ซูเสี่ยวเหยี่ยนตกใจมาก ตอนนี้นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี

“ฮึ่ย! กลับบ้านกับข้าเดี๋ยวนี้! เจ้าอายุยังไม่ถึง 10 ปีเลย กลับหัดรู้เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เสียแล้ว อีกทั้งยังมาที่นี่ มันทำให้ข้ารู้สึกอับอายยิ่งนัก!” แม่เจิ้นโกรธมากพร้อมกับจับมือของซูเสี่ยวเหยี่ยนแล้วหันหลังกลับไปพูดกับฉีเฉิงเฟิงว่า “ข้าขอโทษด้วยพ่อหนุ่มฉี ที่ทำให้เจ้าต้องมาเจอเรื่องตลกเช่นนี้”

“ไม่เป็นไรขอรับ” ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาพร้อมกับยิ้มกลับไป แล้วปิดประตูบ้านลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน

แม่เจิ้นลากตัวซูเสี่ยวเหยี่ยนกลับบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในระหว่างทางเดินกลับนั้นนางก็เหลือบไปเห็นท่อนไม้อยู่ที่พื้น จึงได้หยิบมันขึ้นมา

ซูเสี่ยวเหยี่ยนเกิดอาการหวาดกลัวเป็นอย่างมาก จนนางตะโกนกรีดร้องออกมา “ท่านแม่! อย่าตีข้าเลยนะ! ข้ากำลังจะหาลูกเขยที่ดีมาให้กับท่านแม่นะ ข้าทำผิดอะไรกัน!”

“เจ้า!!” แม่เจิ้นกัดฟันพูดพร้อมกับตีนางด้วยไม้ จนซูเสี่ยวเหยี่ยนตะโกนร้องออกมาอย่างเสียงดัง

ทำให้ซูต้าเฉียงที่กำลังยืนรอภรรยาและลูกของตัวเองอยู่นั้นได้วิ่งไปเมื่อได้ยินเสียง เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทว่าเขาก็เข้าไปช่วยซูเสี่ยวเหยี่ยนเอาไว้ก่อน ส่วนซูหว่านหว่านที่ได้เดินตามอยู่ข้างหลังมีสีหน้าดูไม่ค่อยดีมากนัก

เมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้าน แม่เฒ่าเจียงที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้เข้าจึงรีบเข้าไปห้ามแม่เจิ้นและพูดว่า “มันเกิดอันใดขึ้น? อย่าเฆี่ยนตีเด็กเลย!”

เมื่อแม่เจิ้นพูดทุกอย่างให้แม่เฒ่าเจียงฟัง และทันใดนั้นแม่เฒ่าเจียงก็ได้เดินถอยห่างออกไป “หากเรื่องที่เจ้าพูดนางเป็นคนทำ! เจ้าก็ไม่ควรที่จะปล่อยไป!”

ซูต้าเฉียงเดินเข้าไปแย่งไม้ในมือของแม่เจิ้นและตีไปที่ซูเสี่ยวเหยี่ยนต่อพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “เจ้าทำกับพี่สาวของเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร! เจ้ามีความรู้สึกที่รู้จักผิดชอบชั่วดีอยู่หรือไม่!”

“ข้าทำผิดอะไร! เหตุใดท่านพ่อไม่ไปเฆี่ยนตีท่านพี่บ้าง? ในหมู่บ้านเขาพูดถึงท่านพี่ว่าอย่างไรกันบ้าง!” ซูเสี่ยวเหยี่ยนร้องตะโกนและพูดออกมา

“พูดว่าอะไรล่ะ?” ซูหวานหว่านได้ยินดังนั้นจึงถามขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เย็นชา

“มีข่าวลือว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับท่านพี่ฉีอย่างไรล่ะ! ได้ยินชัดเจนหรือยัง! ชอบอ่อยผู้ชาย!” ซูเสี่ยวเหยี่ยนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

ซูหวานหว่านไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องสาวของนางจะมองนางในแง่นี้จริง ๆ ทว่าวันนี้นางได้รับรู้อย่างถี่ถ้วนและชัดเจนแล้ว

ภายใต้ชายคาเดียวกันเป็นเวลาหลายวันแล้วที่นางไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของน้องสาวตัวเอง! และนางก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องสาวของนางจะชอบฉีเฉิงเฟิง! นี่มันอย่างกับในละครอย่างงั้นแหละ!

—–

เหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

ซูเสี่ยวเหยี่ยนเคาะประตูหน้าบ้านของฉีเฉิงเฟิงอย่างแรง

“ใคร?”

เสียงที่ดังขึ้นมาจากประตูบ้าน ทำให้หัวใจของซูเสี่ยวเหยี่ยนสั่นไหว

ฉีเฉิงเฟิงเปิดประตูบ้าน เมื่อพบว่าคนที่อยู่ยืนอยู่นอกประตูบ้านเป็นซูเสี่ยวเหยี่ยน ใบหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย “เจ้ามีธุระอันใดอีก?”

“ฉี…ท่านพี่ฉี! ท่านถึงเวลาอันควรที่จะแต่งงานแล้ว ท่านเห็นข้าเป็นตัวเลือกหนึ่งในนั้นหรือไม่? ตอนนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างรู้ว่าครอบครัวของข้านั้นมีเงิน เหล่าท่านป้าต่างเข้ามาแนะนำชายหนุ่มให้กับข้าและพี่สาว ท่านมีความคิดเช่นไรกัน…”

“แล้วอย่างไรต่อ?” ฉีเฉิงเฟิงได้ถามออกมา

“แต่งงานกับข้านะ! ข้าจะนำเงินทั้งหมดที่มีมาเป็นสินสอดทองหมั้นมอบแก่ท่าน ตราบใดที่ข้าได้แต่งงานกับท่าน จะให้ข้าทำสิ่งใดก็ได้!” ซูเสี่ยวเหยี่ยนได้พูดออกมาอย่างตื่นเต้น

“…”

ไร้เหตุผลสิ้นดี!

ฉีเฉิงเฟิงมองไปที่ซูเสี่ยวเหยี่ยน และเขาก็ไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้น ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อวางของเอาไว้บนโต๊ะ

เขาจะไปสนใจนางได้อย่างไร!

เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ซูเสี่ยวเหยี่ยนก็รู้สึกเป็นกังวล นางขบเม้มริมฝีปากของตัวเอง เอ่ยสิ่งที่นางต้องการพูดมากที่สุดในใจออกมา “ท่านพี่ฉี ท่านยังชอบพี่สาวของข้าอยู่ใช่หรือไม่? ข้าจะบอกให้ พี่สาวของข้า…มีคนมาขอแต่งงานแล้ว อีกทั้งนางก็พูดแล้วว่านางไม่ได้ชอบท่าน ถึงแม้ว่านางจะต้องแต่งงานออกไปเป็นเมียรองของไป๋ซุนชุ่ย นางก็จะไม่แต่งงานกับท่านแน่!”

ขณะเดียวกัน ซูหวานหว่านที่เดินตามมาไม่ก็ไกลก็แอบคิดในใจว่าตนไปตอบตกลงเมื่อใดกัน?

ซูเสี่ยวเหยี่ยนอายุเพียงเท่าไรกันที่จะมาแต่งงานกับฉีเฉิงเฟิง? ปากของนางเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระไปวัน ๆ โดยแท้!

ซูหวานหว่านที่กำลังแอบฟังอยู่ห่าง ๆ ทำตะกร้าในมือตกลงพื้น นางอยากจะเดินหันหลังจากไป ทว่าเท้าของนางก็ยังคงไม่ขยับไปไหน เพราะแท้จริงแล้วนางยังต้องการได้ยินสิ่งที่น้องสาวของตนจะพูด ต้องการที่จะได้ยินคำตอบของฉีเฉิงเฟิง

“ข้าจะตอบตกลงหรือไม่ มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับพี่สาวของเจ้า อีกทั้งข้าก็ไม่อยากคุยกับเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก มันไม่ใช่เรื่องของข้าที่อยากจะรู้ว่าครอบครัวของเจ้าจะมีเงินหรือไม่ เพราะข้าไม่คิดจะต้องการมันเลย” ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาแล้วหมุนตัวหันกลับมาสบตากับซูเสี่ยวเหยี่ยนพร้อมเอ่ยต่อว่า “เจ้ายังเด็กอยู่มาก ดังนั้นอย่าเพิ่งคิดเกี่ยวกับพวกเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เหล่านี้”

“ท่าน…”

นางพูดออกไปชัดขนาดนั้นแล้ว เหตุใดเขายังไม่ชอบนางอีก!

ซูเสี่ยวเหยี่ยนถึงกับร้องไห้ออกมา เตรียมเดินหันหลังกลับบ้านไปด้วยความอับอาย ทว่าก็ถูกฉีเฉิงเฟิงพูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวก่อน”

ซูเสี่ยวเหยี่ยนหยุดฝีเท้าโดยคิดว่าฉีเฉิงเฟิงนั้นจะเปลี่ยนใจ แต่ชายหนุ่มกลับพูดว่า “พี่สาวของเจ้านั้นดีต่อเจ้ามาก ๆ เจ้าจะต้องไม่สร้างข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับนาง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องได้รับผลกรรมของตนเอง”

เขาพูดบ้าอะไร!

ไหนเขาบอกว่าไม่ได้ชอบพี่สาวของนาง เช่นนั้นเหตุใดเขาต้องปกป้องพี่สาวของนางอยู่ตลอดด้วย!

ซูเสี่ยวเหยี่ยนหลั่งน้ำตาและพยายามกลั้นน้ำตาของตนเองเอาไว้ “ท่านพี่ฉี ข้าเข้าใจแล้ว”

นางเดินจากไปด้วยสายตาที่ไม่มีความสุข

ซูหวานหว่านที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกข้าง ๆ เมื่อเห็นซูเสี่ยวเหยี่ยนเดินลับหายไปจากสายตาของตน นางก็ออกมาจากที่ซ่อนตัวอย่างช้า ๆ และมองหาฉีเฉิงเฟิง แต่กลับพบว่าประตูบ้านของเขาได้ถูกปิดลงอย่างแน่นหนาอีกครั้ง

ประตูบ้านปิดลงอีกแล้วงั้นหรือ?

เมื่อกี้ยังเปิดประตูอยู่ไม่ใช่หรือ?

หรือว่าจะกลัวซูเสี่ยวเหยี่ยนจะกลับมาอีกรอบ!

ซูหวานหว่านไม่รู้ตัวเลยเหตุใดนางถึงมีความสุขขึ้นมา นางเดินไปเคาะประตูบ้านและยืนรออยู่ข้างนอกครู่หนึ่ง แต่ข้างในก็ยังคงไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ

ซูหวานหว่านอดไม่ได้ที่จะไอพลางตะโกนว่า “ฉีเฉิงเฟิง มาเปิดประตูบ้านหน่อยสิ!”

ใครกันที่มาเรียกชื่อเต็มของเขาอย่างหยาบคายขนาดนี้?

เขาคิดว่าคนที่อยู่นอกประตูน่าจะเป็นซูหวานหว่าน เช่นนั้นฉีเฉิงเฟิงก็รู้สึกดีใจมาก เขาเปิดประตูบ้านและคนที่มายืนเคาะประตูอยู่ข้างนอกนั้นคือซูหวานหว่านจริง ๆ

“ซูหวานหว่าน เจ้ามาที่นี่ทำไม?” ฉีเฉิงเฟิงถามออกมา โดยที่เขาไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่ากำลังระบายยิ้มอยู่เต็มใบหน้า

“ให้ข้าเข้าไปก่อน ประเดี๋ยวค่อยคุยกัน” ซูหวานหว่านเดินเข้าไปในบ้าน โดยคิดว่าตนเองไม่ได้นำเงินติดตัวมาเยอะ เพราะนางเอาไปฝากเก็บไว้ที่ร้านแลกเงินแล้ว นางเอาเงินที่ซ่อนเอาไว้ในมิติฟาร์มออกมา 10 ตำลึง และโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเงินก็ตกลงมากองรวมกันที่โต๊ะ

ซูหวานหว่านเกาไปที่จมูกของตัวเองอย่างเขินอาย “ที่จริงข้าจะต้องให้เงินเจ้า 242 ตำลึง แต่ข้าลืมเอามา ในตอนนี้ข้าจะให้เงินเจ้าเอาไว้ใช้ก่อน 10 ตำลึงแล้วกันนะ”

แววตาของฉีเฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นนางถือเงินมาด้วย แต่นางเอาเงินออกจากเสื้อผ้าได้อย่างไร เขาเลยถามขึ้นมาว่า “เจ้าเอาเงินออกมาจากที่ใด?”

“เอ่อ…” จู่ ๆ ซูหวานหว่านก็รู้สึกว่าตัวเองโง่ขึ้นมา เมื่อนางอยู่ต่อหน้าฉีเฉิงเฟิงทีไรนางมักจะทำตัวโง่ ๆ อยู่ตลอดเลย

หลังจากที่ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ซูหวานหว่านตอบออกมาว่า “เจ้าลองเดาดู? ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องไม่รู้วิธีนี้อย่างแน่นอน”

ถึงแม้ว่าฉีเฉิงเฟิงจะคาดเดาไม่ได้ แต่เขาก็คงไม่รู้เรื่องมิติฟาร์มของนางแน่ ๆ

ฉีเฉิงเฟิงเงียบไป จากนั้นเขาก็ไปหยิบกล่องไม้ออกมาแล้วนำเงินทั้งหมดเข้าไปเก็บเอาไว้ในกล่อง

เมื่อหันกลับมาก็เห็นซูหวานหว่านกำลังนำปากกา หมึก และกระดาษวางลงบนโต๊ะ ตอนนี้นางกำลังถือพู่กันจีน และลงมือวาดขีดเขียนบางสิ่งบางอย่าง

เมื่อเขาเดินไปดูก็ไม่เข้าใจว่าซูหวานหว่านกำลังวาดหรือขีดเขียนอะไรสักอย่างลงไปบนกระดาษ

“นี่มันคืออะไร?”

“ข้าไม่บอกหรอก” ซูหวานหว่านยิ้มให้เขาอย่างคนมีลับลมคมใน “หากเจ้าอยากรู้ เจ้าก็ต้องเดาเอาเอง”

เพราะเหตุใดกันเขาถึงรู้สึกว่าซูหวานหว่านน่ารักเหลือเกิน ราวกับเป็นกระต่ายเจ้าเล่ห์?

ฉีเฉิงเฟิงเหยียดมือของตนเองออกมาขยี้ตาตัวเอง เขาขมวดคิ้วพลางคิดภายในใจว่านี่คงเป็นภาพลวงตา

หลังจากวาดรูปไปได้ชั่วครู่ ซูหวานหว่านจึงม้วนภาพวาดเก็บและเตรียมตัวจะเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อน” ฉีเฉิงเฟิงจำคำพูดที่ซูเสี่ยวเหยี่ยนได้ว่ามีคนมาสู่ขอซูหวานหว่าน และขอให้ซูหวานหว่านไปเป็นเมียรอง “เจ้าไม่ควรจะเป็นเมียรองใคร”

คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพูดเช่นนี้กับนาง

ซูหวานหว่านตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับแสงจันทร์ “อาจไม่มีชายใดบนโลกนี้ที่คู่ควรกับข้า เว้นแต่ข้าจะพบเขาคนนั้นเอง และต้องการเขามาเป็นคู่ชีวิต”

มีกี่คนบนโลกนี้ที่จะหามันพบ?

เกรงว่านางจะพูดถูก ไม่มีผู้ชายใดที่คู่ควรกับนาง

หัวใจของฉีเฉิงเฟิงพลันหดหู่ขึ้นมา และซูหวานหว่านก็ได้เดินจากไป ในขณะที่เขาหยุดพูดแล้วซูหวานหว่านก็คิดถึงซูเสี่ยวเหยี่ยนขึ้นมา ทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม

น้องสาวไร้สมองของนางยังคงพูดดูถูกนาง เพียงครั้งเดียวก็ถือว่ามาพอแล้ว ทว่านี่ยังมีเป็นหนที่สอง!

นอกจากนี้แม่เจิ้นและคนอื่น ๆ ในครอบครัวได้สั่งสอนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทำไมนางถึงยังรู้สึกว่าน้องสาวของตนยังไม่รู้ตัวว่าควรทำอย่างไร ทั้งยังพูดอีกว่านางไม่คู่ควรกับชายใดเลย อยากให้นางไปเป็นเมียรองของคนอื่นอีกด้วย

ซูหวานหว่านถึงกับหัวเราะเยาะ และก้าวเข้าไปในประตูบ้าน

“ท่านแม่ แล้วท่านพี่ไปที่ใด?” เสียงของซูเสี่ยวเหยี่ยนดังขึ้นมาจากในครัว

“พี่สาวของเจ้าไปเก็บผักในป่า” แม่เจิ้นก็ได้พูดตอบกลับไป

“อย่างงั้นหรอกหรือ?” ซูเสี่ยวเหยี่ยนถึงกับถอนหายใจออกมา ดูเหมือนว่านางกำลังตัดสินใจเรื่องครั้งสำคัญ “ท่านแม่ วันนี้ข้าคิดว่าที่ท่านป้าไป๋พูดออกมาก็ไม่เลวนะ ข้าคิดว่าควรให้ท่านพี่แต่งงานออกเรือนไปเป็นเมียรองก็ดี! อีกทั้งอนาคตของลูกชายท่านป้าไป๋นั้นก็ดูท่าว่าจะไปได้ไกลพอสมควร แน่นอนว่าต่อไปท่านพี่ก็คงจะไม่ต้องมาลำบาก พอออกเรือนไปท่านพี่จะได้กินอาหารดี ๆ ดื่มอะไรดี ๆ ทุกวัน ซึ่งคงจะดีกว่าพวกเราไม่รู้อีกกี่เท่าตัว!”

“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอันใดอยู่!” แม่เจิ้นจ้องเขม็งไปที่ซูเสี่ยวเหยี่ยน “หุบปากเสีย! พี่สาวของเจ้าจะต้องไม่เป็นเมียรองของใครทั้งนั้น!”

“ท่านแม่!” ซูเสี่ยวเหยี่ยนไม่เชื่อว่าตนจะพูดโน้มน้าวแม่เจิ้นไม่ได้ นางกำลังจะเอ่ยบางสิ่งบางอย่างต่อ แต่ถูกแม่เจิ้นพูดขัดขึ้นมาก่อน “อย่ามาเกะกะข้า ออกไปเล่นข้างนอกไป!”

“ท่านแม่! ท่านจะไม่ให้ข้าพูดอะไรเลยหรือ ข้าเพียงอยากจะบอกว่า…” เมื่อเดินออกจากห้องครัว นางได้พบซูหวานหว่านที่ยืนไหล่สั่นด้วยความโกรธอยู่!

จะทำอย่างไรดี? หรือว่าพี่สาวของข้าจะได้ยินที่ข้าพูดไปเมื่อครู่กัน!? เมื่อคิดได้เช่นนั้นซูเสี่ยวเหยี่ยนก็เกิดความกลัวจนตัวสั่นขึ้นมา