คงไม่คิดจะแนะนำนางให้กับชายอื่นใช่หรือไม่?

ซูหวานหว่านรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงอยากจะมาแนะนำชายหนุ่มให้นางได้รู้จัก? พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรืออย่างไรกัน? มีคนเคยพูดกับนางมาก่อนว่าไม่มีชายคนไหนหรอกที่จะมาชอบนาง

ซูหวานหว่านไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นัยน์ตาของสตรีผู้นั้นก็ยิ้มราวกับพระจันทร์เสี้ยว “แม่สาวน้อย! ลูกชายคนโตของข้า ไป๋ซุนชุ่ยหน้าตาดีมากเชียวนะ! ปีนี้เขาอายุครบ 15 ปีแก่กว่าเจ้า 2 ปี เจ้าเองก็งามนัก ส่วนเขาก็ดูดี พวกเจ้าทั้งสองดูเหมาะสมกันมาก เป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบดังที่คนในเมืองกล่าวไว้ก็ไม่ปาน”

“…”

ซูหวานหว่านถึงกับพูดไม่ออก นางมองคนตรงหน้าแล้วก็นึกเรื่องเกี่ยวกับสตรีผู้นี้ นางผู้นี้เป็นฮูหยินตระกูลไป๋จากหมู่บ้านใกล้เคียง เด็กสาวอดประหลาดใจไม่ได้ว่าเหตุใดฮูหยินผู้นี้ถึงมาอยู่ที่หมู่บ้านของนางได้? หรือจุดประสงค์ที่มาที่นี่ก็เพื่อเข้ามาเกี่ยวดองกับนางอย่างงั้นหรือ?

หลังจากที่คิดเรื่องนี้ ซูหวานหว่านก็นึกถึงชื่อของไป๋ซุนชุ่ยที่ออกมาจากปากฮูหยินไป๋เมื่อครู่ เมื่อ 2 – 3 ปีก่อนเขาสอบติดราชการชั้นผู้น้อย ทำให้ฮูหยินไป๋ดีใจมากที่ลูกชายตัวเองสอบติด

หลังจากนั้นนางก็ตีฆ้องและกลองป่าวประกาศฉลองรอบหมู่บ้านให้กับลูกชายของตนเอง ทั้งยังบอกอีกว่าไป๋ซุนชุ่ยจะแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีฐานะที่ร่ำรวยในเมือง และดูเหมือนว่าเขาจะแต่งงานกับลูกสาวของจ้าวซิ่วฉ่ายที่เปิดสถานศึกษาเป็นของตนเองที่อยู่ในเมืองเมื่อปีก่อน

ตอนนี้ก็ได้แต่งงานกันไปแล้ว แล้วเหตุใดฮูหยินไป๋ถึงยังมาแนะนำไป๋ซุนชุ่ยลูกชายของตนเองให้นางอีก?

ซูหวานหว่านไม่เข้าใจถึงเหตุผล เมื่อมองไปเห็นรอยยิ้มของฮูหยินไป๋ที่ยิ้มเห็นฟันเสียขนาดนั้น ก็คิดได้ว่าฮูหยินไป๋จะต้องมีความคิดที่ไม่ดีกับนางแน่ ๆ

เป็นไปได้หรือไม่ที่ฮูหยินไป๋ต้องการให้นางไปเป็นอนุของไป๋ซุนชุ่ย?

สัมผัสที่หกของสตรีมักจะแม่นยำมาก ดังนั้นซูหวานหว่านรู้สึกโกรธเล็กน้อย ทว่าฮูหยินไป๋ก็พูดต่อ “บ้านของข้าอยู่ที่ริมน้ำ และความหล่อเหลาของเขาต่างก็เป็นที่รู้จักของทุกคนในหมู่บ้าน! เจ้าเองก็สวยเหมือนกัน ทว่าไป๋ซุนชุ่ยได้แต่งงานไปกับลูกสาวของจ้าวซิ่วฉ่ายไปแล้วใช่ไหมล่ะ? หากแต่เจ้าได้แต่งงานกับเขาอีกคนก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีมาก หากต่อไปในอนาคตเขาเลื่อนขั้นเป็นขุนนางยศใหญ่ เจ้าก็จะพลอยสบายไปด้วย”

หากจะให้พูดตรง ๆ ที่ฮูหยินไป๋มาหานางในวันนี้ก็เพราะเงินของครอบครัวนาง ที่มาพูดถึงข้อดีของไป๋ซุนชุ่ยต่าง ๆ นานาก็เพียงเพื่อให้นางตอบตกลงที่จะแต่งงาน เงินของครอบครัวของนางจะต้องติดเอาไว้เป็นสินเดิมในการแต่งงานในครั้งนี้ และตระกูลไป๋ก็จะเอาเงินส่วนนี้ของนางไป

ดูหน้าของฮูหยินไป๋สิ หากนางแต่งงานออกเรือนไปกับไป๋ซุนชุ่ยในครั้งนี้ ฮูหยินไป๋ก็คงจะหาลู่ทางที่จะเอาเงินของครอบครัวนางไปจนหมดแน่ ๆ

ซูหวานหว่านขมวดคิ้วแน่น และรู้สึกว่าฮูหยินไป๋ช่างเป็นคนน่าขยะแขยงเสียจริง ๆ

ทว่าฮูหยินไป๋กลับคิดว่าซูหวานหว่านรู้สึกประทับใจ จึงแอบยิ้มออกมาและนางก็กลัวว่าคนอื่นจะมาได้ยิน จึงกระซิบบอกอย่างแผ่วเบา “สาวน้อยหว่านเอ๋อร์! ข้าพูดออกไปหมดแล้ว! ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ก็เพราะต้องการนำเรื่องดี ๆ มาให้เจ้าเพียงเท่านั้น หากเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าสามารถไปลองถามคนอื่นในหมู่บ้านของข้าดูก็ได้ว่าสตรีที่อยากแต่งงานกับตระกูลไป๋ของเรามีเยอะแค่ไหน! ข้าไม่ชอบสตรีเหล่านั้นหรอก ข้าหมายตาชอบเจ้าเพียงคนเดียว”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ซูหวานหว่านก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยงหญิงผู้นี้มากกว่าเดิม

จะให้นางไปเป็นเมียรองหรือต้องการเงินของนางกันแน่? อีกทั้งเขาก็เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยแล้ว แน่นอนว่าจะต้องมีเงินอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง? ยังรวยไม่พออีกหรือ จะต้องรวยจนสูงส่งล้นฟ้าเพียงใดถึงจะพอ?

ซูหวานหว่านชำเลืองมองฮูหยินไป๋เล็กน้อย จากนั้นก็ดึงเก้าอี้ออกมาเพื่อขยับนั่งห่างออกจากนางแล้วพูดขึ้นมาว่า “ท่านป้า ท่านอย่าพูดต่อไปอีกเลย ครอบครัวของท่านมีฐานะที่ร่ำรวยมาก ทว่าครอบครัวของข้ายากจนนัก เราคงไม่คู่ควรกันหรอก เรื่องของข้าและลูกชายของท่านคงเป็นไปไม่ได้ ท่านควรไปบ้านอื่นเพื่อดูว่าที่บ้านหลังอื่นยังมีเด็กสาวที่เหมาะสมกับครอบครัวท่านอยู่หรือไม่จะดีกว่า”

ทันทีที่พูดจบซูหวานหว่านก็ลุกขึ้นและเดินจากไป ฮูหยินไป๋รู้สึกไม่พอใจมากและเรียกแม่เจิ้นที่กำลังนั่งปักผ้าอยู่ “น้องเจิ้น เจ้ามาแสดงความคิดเห็นกับข้าถึงเรื่องนี้ก่อน! ข้าแค่อยากจะมาแนะนำชายดี ๆ ให้มาแต่งงานกับหว่านเอ๋อร์ ทว่านางไม่ฟังข้าแม้แต่น้อย อีกทั้งนางยังอารมณ์เสียใส่ข้าด้วย! เจ้าจะต้องสั่งสอนนางให้ดี ๆ นะ ต่อไปนางได้แต่งงานออกเรือนไปแล้วทำกิริยาเช่นนี้มันคงจะไม่ดีอย่างแน่นอน”

ซูหว่านหวานที่ยังไม่ได้เดินออกไปไกลเท่าใดได้ยินคำพูดของฮูหยินไป๋ทั้งหมด ทว่านางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นางอารมณ์เสียใส่ที่ไหนกัน?

นางก็ใช้คำพูดอย่างสุภาพทุกคำไม่ใช่หรือ?

ซูหวานหว่านถึงกับกลอกตาอย่างไม่สนใจอะไร จากนั้นนางก็เดินไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารเย็น

ในเวลาเดียวกัน แม่เจิ้นก็เอ่ยถามขึ้นมา “เจ้ามาแนะนำเรื่องแต่งงานอะไรให้กับนางกัน?”

ฮูหยินไป๋จึงร้องไห้ออกมาและพูดว่า “ข้าเพียงแค่จะมาแนะนำนางให้กับไป๋ซุนชุ่ย! เขาเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย ในปีนี้เขากำลังจะสอบชั้นขุนนางเพื่อเลื่อนขั้นขึ้นไปอีก ไม่ธรรมดาเลยนะ! เจ้าคิดว่าเขาไม่เหมาะสมกับลูกสาวของเจ้าหรอกหรือ? เพียงอยากให้นางไปเป็นเมียรองก็แค่นั้นเอง!”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

เป็นเมียรองอย่างงั้นหรือ?

นางเองก็รู้สึกไม่เห็นด้วยกับความคิดเช่นนี้

แม่เจิ้นโกรธจนวางตะกร้าในมือของตัวเอง “ฮูหยินไป๋ ซุนชุ่ยของเจ้าก็สอบเข้าขุนนางชั้นผู้น้อยติด ส่วนซูจิ่นเฉียง ลูกชายของคนโตของข้านั้นก็สอบติดเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยเหมือนกัน ลูกสาวข้าหวานหว่านเป็นถึงน้องสาวของเขา มันดีกว่าที่ให้นางไปเป็นเมียรองของลูกชายเจ้าเสียอีก! เจ้าอย่าพูดให้เสียเวลาอีกเลย ถึงแม้ว่าหวานหว่านของข้านั้นจะตอบตกลงเห็นด้วย แต่ข้าก็ไม่เห็นด้วย!”

“ข้าไม่ได้ยินผิดไปใช่หรือไม่?” ฮูหยินไป๋ตกใจ แล้วนางนึกขึ้นมาได้ว่าลูกชายของแม่เจิ้นนั้นสอบติดเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยอยู่เหมือนกัน นางจึงรีบพูดออกมา “ลูกชายของเจ้าไม่ได้ไปเรียนหนังสือมากี่ปีแล้ว? แน่นอนว่าลูกชายของเจ้าคงเก่งไม่เท่าลูกชายของข้าซุนชุ่ย จะมาสอบติดเป็นขุนนางยศใหญ่ได้อย่างไรกัน หากจะให้พูดตามตรง ซุยชุ่นลูกชายของข้าจะต้องสอบติดชั้นขุนนางยศใหญ่อย่างแน่นอน แล้วเขาก็คงจะได้เลื่อนขั้นตามความสามารถแน่ ๆ ลูกชายของข้านั้นเกิดมาเพื่อสิ่งนี้”

ยังมีหน้ามาว่าลูกชายของนางอีก แม่เจิ้นถึงกับโกรธขึ้นมา นางจึงยัดเยียดของที่ฮูหยินไป๋นำมาใส่คืนกลับไป พร้อมกับพูดออกมาว่า “ข้าไม่สามารถรับของกำนัลพวกนี้เอาไว้ได้ เจ้าจงนำกลับมันไปด้วยเสียเถอะ”

นี่ไม่ได้เป็นการไล่แขกหรอกใช่ไหม!

ฮูหยินไป๋หงุดหงิด ทว่ายังคงไม่เดินออกไป แม่เจิ้นเลยต้องดึงตัวนางออกจากบ้าน

ในขณะนี้ทั้งสองกำลังผลักกันไปผลักกันมาส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย จนคนอื่น ๆ ที่อยู่ในลานบ้านต่างพากันมอง

ฮูหยินไป๋รู้สึกอายมาก นางจึงพูดอุทานออกมา “อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน! ข้าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกเป็นแน่! เจ้าไม่ต้องการให้ลูกสาวของเจ้าแต่งงานกับลูกชายของข้าในฐานะเมียรอง ข้าก็ไม่พอใจเหมือนกันที่จะให้ลูกชายของข้ามาแต่งงานกับลูกสาวของเจ้า!”

“รีบไสหัวของเจ้าออกไปเสีย!” แม่เจิ้นถึงโกรธมากจนอยากจะปิดประตูบ้านหนี ทว่านางก็ไม่สามารถทำได้ เพราะยังมีคนอื่นอยู่ที่นี่

หลังจากผ่านไปเพียงชั่วครู่ เมื่อเสียงของฮูหยินไป๋หายไป ซูหวานหว่านก็เดินออกจากห้องครัวและเห็นว่าแม่เจิ้นนั้นถูกรายล้อมด้วยผู้คนในลานบ้าน

“เมื่อกี้ฮูหยินไป๋มาพูดว่าอย่างไรนะ? ข้าได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่? นางจะมาขอให้ลูกสาวของเจ้าไปเป็นเมียรองของลูกชายของตัวเองอย่างงั้นหรือ?”

“มีตาหามีแววไม่! ข้าบอกเอาไว้เลยนะ ลูกชายของข้าดีมาก ๆ ลูกชายของข้าทำงานอยู่ในเมืองได้วันละ 20 เหรียญ หากเจ้าได้แต่งงานไปกับลูกชายของข้า เจ้าก็จะมีของกินทุกวันโดยไม่อดอยากปากแห้ง!”

“…”

พอที!

ซูหวานหว่านรู้สึกโกรธมาก ในที่สุดนางก็เข้าใจถึงความรู้สึกของการที่มีเหล่าบรรดาป้า ๆ เข้ามาแนะนำชายหนุ่ม หรือนัดดูตัวให้กับผู้หญิงในช่วงวันตรุษจีนแล้ว

นางจะต้องรีบออกไปจากที่นี่! ไม่เช่นนั้นคงจะต้องมีคนมาหานางอีกแน่!

แต่จะไปที่ใดดี?

พลันใดนางก็คิดได้ว่าจะต้องไปขอยืมกระดาษและปากกากับฉีเฉิงเฟิง เพื่อร่างภาพโครงสร้างของการก่อสร้างบ้านใหม่ และให้ส่วนแบ่งจากการที่นางไปขายหยกมาได้ให้กับฉีเฉิงเฟิง

ซูหวานหว่านเดินไปที่ลานบ้าน สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่นาง ซูหวานหว่านจึงทำเป็นถือตะกร้าไม้เพื่อทำทีแกล้งว่านางจะไปเก็บผักในป่า

หลังจากที่เดินออกไปได้ไม่นาน ซูหวานหว่านก็เห็นซูเสี่ยวเหยี่ยนเดินอยู่ที่มุมบ้าน และเกิดมีความคิดที่ไม่ดีขึ้นมาภายในใจของตัวเอง

ซูเสี่ยวเหยี่ยนกำลังจะเดินไปบ้านของฉีเฉิงเฟิงไม่ใช่หรือ?

ทำไมนางยังไปหาฉีเฉิงเฟิงอยู่อีก?

นึกถึงตอนที่ซูเสี่ยวเหยี่ยนไปสารภาพรักกับฉีเฉิงเฟิงครานั้น และพูดจาดูถูกนาง ซูหวานหว่านก็เกิดความรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา และนางก็ไม่ต้องการไปหาฉีเฉิงเฟิงในตอนนี้ เพราะกลัวว่าจะไปเจอกับเรื่องที่ทำให้นางเจ็บปวดอีก ทว่านางก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปและบังเอิญเห็นกับเหตุการณ์ตรงหน้าที่ทำให้นางถึงกับตกใจ