ตอนที่ 60 วางแผน

ลูกหมาป่าพอได้ยินชื่อเรียกมันก็ได้ร้องคร่ำครวญออกมา หางของมันกระดิกไปมารวดเร็วราวกับว่ามันชอบชื่อฉ่ายโกว มันกระโดดข้ามตัวของซูหวานหว่านเพื่อที่จะไปวิ่งไล่ไก่ที่อยู่บนภูเขา มันวิ่งไล่ต้อนไก่ไปข้างหน้า ทว่าไม่ได้กัดแต่อย่างใด พอไก่หยุดมันก็ไล่ต้อนไปเรื่อย ๆ จนไก่กลัวไม่กล้าที่จะหยุดวิ่งหนีมัน

ลูกหมาป่าตัวน้อยนี้นางตั้งใจจะเลี้ยงเอาไว้เพื่อปกป้องตนเอง ทว่าตอนนี้ซูหวานหว่านเปลี่ยนใจแล้ว นางจะเลี้ยงมันเอาไว้เป็นสุนัขบ้านก็ไม่เลวเลยทีเดียว

เมื่อซูหวานหว่านเดินกลับบ้านเช่า นางก็นำมันออกมาจากมิติฟาร์มด้วย พามันกลับมาบ้านพร้อมกับตนเอง อีกทั้งยังบอกคนในครอบครัวว่าซื้อมันมาเพื่อให้มันเฝ้าบ้าน

แม่เจิ้นและคนอื่น ๆ ไม่ได้พูดอะไร เพราะว่าพวกเขาก็ชอบลูกหมาป่าตัวน้อยนี้มาก แต่ละคนเข้าไปเล่นจับโน่นจับนี่แล้วลูบหัวมันไม่หยุด

ก่อนเวลาจะพลบค่ำ ครอบครัวของซูหวานหว่านได้ปรุงอาหารจนส่งกลิ่นเนื้อลอยออกมา ทุกคนในหมู่บ้านต่างพากันตกตะลึงจึงเข้าไปสอบถาม ซึ่งมันค่อนข้างสอดคล้องกับสิ่งที่ภรรยาของหลี่ชุนเอ๋อร์เล่า และเรื่องนี้มันก็ได้ถูกพูดส่งปากต่อปาก

เช่นเดียวกับป้าหลี่ที่ได้มากินข้าวที่บ้านของซูหวานหว่านจนอิ่มปากอิ่มท้อง อีกทั้งเดินคุยไปรอบ ๆ หมู่บ้านเรื่องการพัฒนาของลูกคนที่สามของครอบครัวตระกูลซู จนถูกแพร่กระจายไปทั่วและตอนนี้ไม่มีใครในหมู่บ้านที่จะไม่รับรู้เรื่องนี้

บางคนพยายามเข้าพูดจาประจบประแจง ในขณะที่บางคนก็เข้ามาวุ่นวายจนทำให้น่าหงุดหงิดรำคาญใจ

แม่เฒ่าซูและพ่อเฒ่าซูไปที่บ้านของฉีเฉิงเฟิง แม่เฒ่าซูก็รู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจเต้นแรง พร้อมกับพูดว่า “ตาเฒ่าซู เจ้าเด็กฉีเฉิงเฟิงคนนั้นจะช่วยพวกเราหรือไม่?”

“เหตุใดเขาจะไม่ช่วย! ในเมื่อเขาทำงานเป็นผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้าน หากเขาไม่ช่วยจะมีเขาเอาไว้ทำประโยชน์อันใด?” ชายชราพูดออกมาด้วยความมั่นใจ

“ทว่าสิ่งที่เราจะไปพูดมันไม่ดีต่อซูหวานหว่านเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เด็กฉีเฉิงเฟิงนั่นยังดูเหมือนจะชอบนังเด็กซูหวานหว่านอีกด้วย!” แม่เฒ่าซูพูดออกมาราวกับเรื่องนี้เป็นสิ่งที่นางรู้สึกเป็นกังวลและรบกวนจิตใจของตนเองมาก

“เจ้าช่างเป็นหญิงแก่น่ารำคาญเสียจริง! ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าจะพูดอย่างไร เจ้าอย่าได้คิดมากไป!” ตาเฒ่าซูพูดดูถูกเหยียดหยามภรรยาของตนเอง เขาภูมิใจตัวเองมาก ๆ ที่ส่งลูก ๆ เข้าไปในเมือง เพราะเขายังได้เรียนรู้ด้านการอ่านมาอยู่บ้าง แน่นอนว่าคำพูดที่ดูเหมือนจะไม่สุภาพจะต้องไม่ถูกเอ่ยออกมาแน่ ๆ และมันจะไม่มีปัญหาอันใดอย่างแน่นอน!

พวกเขาทั้งสองได้มาถึงหน้าประตูบ้านของฉีเฉิงเฟิง จากนั้นจึงผลักประตูเข้าไป

เมื่อพวกเขาคิดว่าฉีเฉิงเฟิงและซูหวานหว่านดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะยิ้มออกมาได้ ทั้งคู่โยนเหรียญทองแดงไปที่เท้าของฉีเฉิงเฟิง และพูดออกมาอย่างเย็นชา “พ่อหนุ่มฉี! นี่คือเงินค่าจ้างสำหรับช่วยพวกเราเขียนจดหมาย”

แม่เฒ่าซูจำได้ว่าฉีเฉิงเฟิงเคยเขียนจดหมายให้กับผู้คนในหมู่บ้านมาก่อน แต่มันก็นานมาแล้วอีกทั้งยังไม่คิดค่าจ้างอีกด้วย ตอนนี้นางได้ให้เงินไปแล้วฉีเฉิงเฟิงจะกล้าคืนเงินแก่พวกเขาได้อย่างไร!

แม่เฒ่าซูเจตนาทำเช่นนี้ก็เหมือนเป็นการตบหน้าของฉีเฉิงเฟิงอย่างไรอย่างนั้นเลยไม่ใช่หรือ? เมื่อนางเห็นสีหน้าลำบากใจของฉีเฉิงเฟิง นางก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

ชายหนุ่มถามขึ้นมาทำราวกับว่าเขาไม่เห็นเงินนั่น “สำหรับใคร? จะให้เขียนว่าอย่างไร?”

แม่เฒ่าซูกำลังจะเอ่ยปากออกมา แต่ก็ถูกห้ามเอาไว้ด้วยสายตาของพ่อเฒ่าซู หญิงชราผู้นี้กำลังจะทำเสียแผนของตน เพราะหากเกิดอะไรขึ้นแล้วฉีเฉิงเฟิงไม่เขียนจดหมายขึ้นมา จะทำให้ตัวเองอับอายขายขี้หน้าคนอื่น เช่นนั้นก็รอให้เขียนจดหมายเสร็จก่อนแล้วค่อยทำสิ?

“เขียนจดหมายไปในเมืองให้ลูกชายคนโตของข้า! ความว่าน้องชายคนที่สามของเขากำลังสร้างบ้านหลังใหญ่ ให้เขากลับมาช่วยงาน! แล้วเจ้าก็เขียนอีกประโยคหนึ่งต่อท้ายบอกไปว่า ที่บ้านไม่มีข้าวกินแล้ว ให้เขานำกลับมาด้วย”

คำพูดเหล่านี้เหมือนจะสื่อเป็นนัย ๆ ว่าครอบครัวของซูต้าเฉียงได้พัฒนาไปแล้ว และครอบครัวของเขาก็ยากจนมาก ตอนนี้ซูต้าเฉียงควรจะรู้วิธีที่จะต้องปฏิบัติตัวต่อพวกเขาแล้วใช่หรือไม่? ตาเฒ่าซูยิ้มออกมาอย่างกับคนมีชัย

ฉีเฉิงเฟิงเขียนคำพูดทุกคำเอาไว้ จากนั้นก็ยื่นกระดาษให้กับตาเฒ่าซู พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส “ข้าเขียนเสร็จแล้ว เชิญทั้งสองท่านกลับไปได้”

เขายังกล้าไล่พวกเราอีกหรือ! แม่เฒ่าซูเกิดความรู้สึกไม่พอใจ พลันใดนางก็นึกถึงเหรียญทองแดงที่นางโยนลงไปที่พื้น แล้วจ้องมองไปที่ฉีเฉิงเฟิงพร้อมกับพูดว่า “ตอนที่เจ้าเข้ามาตั้งรกรากปักฐานที่หมู่บ้านแห่งนี้ใหม่ ๆ เจ้าเป็นคนบอกเอาไม่ใช่หรือว่าเจ้าเขียนจดหมายให้เปล่า ๆ โดยไม่คิดเงิน? แล้วเหตุใดตอนนี้มาเอาเงินกับข้าเสียซะล่ะ?”

“แล้วข้ารับไปแล้วหรือยัง?” การแสดงออกของฉีเฉิงเฟิงยังคงไม่แยแส ใบหน้าขาวของเขาเคร่งขรึมราวกับรูปปั้น ไร้ร่องรอยของความโกรธบนใบหน้าผิดกับความไร้ยางอายของแม่เฒ่าซู

แม่เฒ่าซูได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกโกรธเคือง ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เหรียญนั้นฉีเฉิงเฟิงไม่ได้หยิบขึ้นมาแต่อย่างใด! เหรียญที่นางได้โยนลงไปที่พื้นมันก็เป็นเหมือนการดูถูกตนเอง!

แม่เฒ่าซูกำลังจะหยิบเหรียญขึ้นมา ทว่าถูกตาเฒ่าซูลากตัวออกมาเสียก่อน “เจ้าจะไปเก็บเงินมาทำไมกัน? ข้าจะให้คนไปส่งจดหมายในวันพรุ่งนี้ ทันทีที่เขาเห็นมัน เขาจะกลับบ้านมาในมะรืนนี้แน่! บ้านของเราจะต้องมีเงินเยอะจนใช้ไม่หมดอย่างแน่นอน!”

“…”

คิ้วของฉีเฉิงเฟิงขมวดแน่นเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย รู้สึกว่าทั้งสองคนนั้นไม่น่าจะเปลี่ยนความคิดได้เร็วขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ และก็คงจะไม่มีความคิดที่อยากจะมาช่วยครอบครัวของซูหวานหว่านจริง ๆ หรอก ในทางกลับกันพวกเขาสองคนมีแต่จะมาสร้างปัญหาเสียมากกว่า

เขาควรบอกซูหวานหว่านหรือไม่?

ฉีเฉิงเฟิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วจู่ ๆ เขาก็หัวเราะเยาะตัวเองและพูดพึมพำออกมา “นางเป็นถึงซูหวานหว่าน มีเรื่องใดบ้างที่นางไม่สามารถแก้ปัญหาได้?”

ฉีเฉิงเฟิงไม่ได้สังเกตตนเองว่าเวลาที่เขาพูดถึงชื่อของซูหวานหว่าน ริมฝีปากของเขาก็จะยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

เวลานี้ก็ใกล้จะเริ่มมืดแล้ว เหล่าฝูงนกต่างพาบินกลับรังของตนเอง แสงไฟสว่างขึ้นอยู่ทุกหนทุกแห่งตามมุมถนน ในเวลากลางคืนช่างแสนเงียบสงบ

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น หน้าประตูบ้านของซูหวานหว่านดูเหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษ มีพวกชาวบ้านต่างยืนพูดคุยกันไปมา ซูหวานหว่านที่ได้ยินเสียงจึงนอนไม่หลับแล้วลุกขึ้นมาเดินไปเปิดประตู

ทันทีที่เปิดประตูบ้านออกมา ชาวบ้านเหล่านั้นต่างรีบเดินเข้ามาเอาสิ่งของที่นำติดตัวมายัดใส่มือของซูหวานหว่านทีละคน

“หว่านเอ๋อร์! ข้าได้ยินมาว่าครอบครัวของเจ้ากำลังจะสร้างบ้านใหม่? นี่มันเทศ ป้าเนี่ยตั้งใจเอามาให้เจ้าทำอาหารกินเลยนะ”

“หว่านเอ๋อร์! ข้าได้ยินมาว่าบ้านของเจ้าไม่มีข้าวสาร! นี่คือข้าวสาร 10 ชั่งที่ลุงของข้าตั้งใจเอามาให้เจ้า เจ้าไม่ต้องเกรงใจรับเอาไว้เถิด!”

“…”

มาที่นี่กันตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเข้ามาพูดจาประจบประแจงสอพลอนางอย่างงั้นหรือ?

ซูหวานหว่านมองไปข้างหลังและพบว่ามีชาวบ้านอีกอย่างน้อย 30 คน นางจึงได้พูดออกมาว่า “ท่านลุง ท่านป้า พวกท่านอย่าเพิ่งรีบเอามาให้ข้า ครอบครัวของข้าในตอนนี้ต้องเอาเงินไปสร้างบ้านบ้านใหม่ หากข้ารับสิ่งของพวกนี้ข้าเกรงว่าข้าจะไม่สามารถหามาคืนพวกท่านทุกคนได้!”

มีชาวบ้านในหมู่บ้านคนหนึ่งได้บอกว่าซูหวานหว่านนั้นต้องมีเงินอย่างน้อย 100 ตำลึงได้ และทุกคนก็ไม่เชื่อในสิ่งที่นางบอกกับพวกเขาว่าไม่สามารถหามาคืนได้ พวกเขาไม่เชื่อคำพูดของนาง และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาหวังว่าจะได้ของกำนัลที่มีมูลค่ามากจากซูหวานหว่านเป็นการตอบแทนต่างหาก “เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ! คืนอะไรกัน! เหตุใดจึงพูดจาดูห่างเหินเช่นนี้!”

พวกเขากลัวว่าซูหวานหว่านจะไม่รับสิ่งของเหล่านี้ จึงนำของที่พวกเขานำมายกไปไว้ในครัวของซูหวานหว่าน ทำให้ตอนนี้บ้านของนางมีแต่ผู้คนวนเวียนเอาของมาให้

พอวางของที่จะให้เสร็จ พวกเขาก็เดินกลับบ้านไปอย่างมีความสุข

เมื่อแม่เจิ้นตื่นขึ้น นางก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ครัวของนางเต็มไปด้วยอาหาร ซูหวานหว่านจึงเลิกคิ้วและยิ้มอย่างมีชัยให้กับแม่เจิ้นว่า “ท่านแม่เห็นหรือไม่ที่ข้าบอกท่านเมื่อวานนั้นถูกต้อง วันนี้เราได้ของคืนกลับมามากกว่าเดิมเสียอีก! อีกทั้งไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเลยด้วยซ้ำ!”

“ใช่ ใช่ ใช่” แม่เจิ้นยิ้มออกและเดินไปจัดอาหาร พลันคิดว่านางจะทำสิ่งใดเป็นมื้อเช้าดี

ซูต้าเฉียงหลังจากตื่นนอนก็พูดคุยปรึกษากับคนในครอบครัวเกี่ยวกับการสร้างบ้านใหม่ ซูหวานหว่านบอกว่าจะสร้างบ้านปูน เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ

“พวกเราไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการสร้างบ้านปูน! บ้านไม้ก็ไม่เลวแล้วนะ!”

เมื่อคิดว่าจะต้องทำบ้านปูน มันต้องใช้เงินจำนวนมากพอสมควร ทำให้ซูต้าเฉียงเกิดความลำบากใจมาก

“เหตุใดจะทำไม่ได้?” แม่เจิ้นจ้องไปที่ซูต้าเฉียง “ในเมื่อกว่าบ้านเราจะมีเงินได้ หากเจ้าไม่เอาไปสร้างบ้าน จะเอาเงินไปทำสิ่งใด? เก็บเงินเอาไว้ที่บ้านแล้วปล่อยให้คนอื่นมาขโมยไปอย่างงั้นหรือ?”

ซูต้าเฉียงถึงกับผงะไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้ เขาวิ่งไปหาคนให้มาช่วยงาน ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็เต็มใจที่จะช่วยเหลือ ทว่าเมื่อได้ยินว่าซูต้าเฉียงต้องการสร้างบ้านปูน ทุกคนต่างพากันตกใจมาก

ตระกลูซูช่างร่ำรวย!

สร้างบ้านปูน!

หลายคนก็ต้องไปที่หมู่บ้านอื่นเพื่อไปขนอิฐขนปูนมาทำบ้าน จนใคร ๆ ต่างก็พูดลือกันออกไป

ข่าวลือเรื่องการพัฒนาของลูกคนที่สามของตระกูลซูนั้นได้แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง หลายคนเริ่มอิจฉาการมีเงินของตระกูลซู ไม่ว่าอย่างไรเมื่อไปเทียบกับตระกูลพ่อเฒ่าซูกับแม่เฒ่าซูแล้ว ในตอนนี้ครอบครัวของซูหวานหว่านมีฐานะที่ดีกว่า ไม่ว่าครอบครัวใดก็พากันส่งคนในครอบครัวของตนเองไปช่วยซูหวานหว่านสร้างบ้าน

นอกจากนั้นแล้วยังมีเหล่าภรรยาของชาวบ้านในบริเวณนั้นแวะเวียนเข้ามามองดูใบหน้าของซูหวานหว่าน และซูเสี่ยวเหยี่ยน จากนั้นก็เอาแต่จ้องมองไปยังซูหวานหว่านเพียงคนเดียว

ซูหวานหว่านที่ถูกจ้องมองมาเป็นเวลานานก็รู้สึกสงสัยงุนงงขึ้นมา

“ท่านป้า พวกท่านมาจ้องหน้าข้าด้วยเหตุอันใดกัน หน้าข้าก็ไม่ได้สกปรกตรงไหน”

“หว่านเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าผู้ชายแบบไหนคือคนดีสำหรับเจ้างั้นรึ?”

“!”

คำถามเช่นนี้ หรือว่าจะเอานางไปเป็นลูกสะใภ้?