ตอนที่ 59 ยั่วยวน

อะไรคือไม่ใช่?

แม่เจิ้นจ้องสามีของตนเองด้วยความโกรธ ซูเยว่เอ๋อร์รู้สึกภูมิใจมากขึ้นและฟังที่ซูต้าเฉียงพูดต่อ “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น มันไม่เกี่ยวกับเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา ข้ารักกับแม่เจิ้นนั้นไม่ใช่เพราะเรื่องหน้าตา แต่เป็นเพราะจิตใจของนางต่างหาก”

“โอ้! เจ้าพูดจาไร้สาระอันใดกัน…” แม่เจิ้นรู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที ส่วนซูเยว่เอ๋อร์ก็โกรธจนหน้าแดง

ซูหวานหว่านถึงกับปรบมือ “ดูสิ! อย่ามัวแต่พูดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของท่านอีกเลย พ่อของข้าไม่ได้ชอบท่าน และเรื่องนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของท่านอีกด้วย แต่เป็นเพราะท่านมีจิตใจที่ไม่ดีต่างหาก เรื่องทุกอย่างย่อมมีข้อดีและข้อเสีย มิเช่นนั้นท่านคงได้ใจท่านพ่อข้าไปแล้ว”

ป้าหลี่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบพูดสนับสนุน “ซูเยว่เอ๋อร์ เจ้ารีบกลับไปในเมืองเสีย สิ้นปีนี้ข้าเห็นเจ้ากลับมาบ้านเกิดสองครั้งแล้ว อีกทั้งสามีของเจ้าก็ไม่ได้ตามมาด้วย หากจะให้พูดอีกอย่าง เจ้าไม่มีลูกเอาไว้ผูกมัดเขา ระวังว่าเขาอาจจะแอบไปมีบ้านเล็ก! แล้วปล่อยให้เจ้าเหี่ยวแห้งไปเสียล่ะ!”

คำพูดนี้ของนางช่างน่าเกลียดเสียจริง ๆ!

“เจ้าอยากมีเรื่องหรือไง!” ซูเยว่เอ๋อร์วางสิ่งของลงและกำลังที่จะลงมือเข้าไปตบนาง ทว่าซูต้าเฉียงจับตัวนางได้เสียก่อน

“ซูต้าเฉียง! เจ้าคิดจะทำอันใด! มาดึงและมาจับตัวข้ากลางวันแสก ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็มีความรู้สึกดี ๆ กับข้าอยู่บ้างใช่หรือไม่?” ซูเยว่เอ๋อร์ตะโกนออกมาพลางจับไปที่ใบหน้าของซูต้าเฉียง ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง

ซูเยว่เอ๋อร์ต้องการจูบซูต้าเฉียง!

ช่างเป็นผู้หญิงที่ไร้ยางอายเสียนี่กระไร ก่อนหน้านี้นางอาจจะยังแสร้งทำเป็นเขินอาย ทว่าตอนนี้นางมีความกล้าที่จะทำเช่นนี้แล้ว!

เมื่อมองไปที่ริมฝีปากสีแดงของซูเยว่เอ๋อร์ พลันใบหน้าของแม่เจิ้นก็เปลี่ยนสี พร้อมมองไปที่นางด้วยความโกรธ นางทำราวกับว่าตนไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่อย่างไรอย่างงั้น!

สิ่งนั้นทำให้นางรู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นที่สุดจนอยากจะเข้าไปดึงตัวซูเยว่เอ๋อร์ หากแต่ยังไม่ได้ขยับตัวไปไหน ก็เห็นซูต้าเฉียงลากตัวของซูเยว่เอ๋อร์ออกไปที่หน้าประตูบ้าน

“ซูเยว่เอ๋อร์! เจ้ากำลังคิดจะทำอันใด! ข้ามีครอบครัวอยู่แล้ว อีกอย่างข้ากับเจ้าเรามีชีวิตที่ต่างกัน เจ้ายังกล้าที่จะทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้อีก!” ซูต้าเฉียงพูดด้วยความเย็นชา ก่อนปิดประตูบ้านใส่หน้านางเสียงดัง ปัง!

ซูต้าเฉียงกล้าดีอย่างไรบังอาจมาปิดประตูบ้านใส่หน้าของนางกัน!

ดวงตาของซูเยว่เอ๋อร์แดงก่ำ สายตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ซูต้าเฉียง! เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือไม่!”

“พ่อของข้าเป็นลูกผู้ชาย แต่ไม่จำเป็นต้องใช้กับผู้หญิงเช่นท่าน มีสตรีใดบ้างที่เป็นเช่นท่านล่ะ?” ซูหวานหว่านหัวเราเยาะเย้ยออกมา นางก้มหน้ากวาดฝุ่นบนพื้น จากนั้นก็เปิดประตูบ้านออกแล้วกวาดฝุ่นออกไป

ซูเยว่เอ๋อร์กำลังจะอ้าปากด่า ทำให้นางเผลอสูดดมฝุ่นที่ซูหวานหว่านกำลังกวาดออกมาเข้าไป นางรู้สึกรำคาญจนแทบก่นด่าออกมา แต่ก็ถูกซูหวานหว่านปิดประตูบ้านใส่หน้าอย่างแรงดังปัง! จนกระแทกเข้าที่หน้าผากของนาง ทำให้เกิดรอยแดง

“ซูหวานหว่าน เจ้าทำอะไร!” ซูเยว่เอ๋อร์ตะโกนขึ้นมาจากด้านนอกของประตูบ้าน นางพยายามปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนตามตัว ทว่ายิ่งนางตบเท่าใดมันก็ยิ่งสกปรกมากขึ้น เสื้อผ้าของนางเลอะเทอะมอมแมมราวกับคนที่ไม่ได้อาบน้ำมาหลายเดือน ส่วนชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าก็ต่างพากันหัวเราะคิกคัก

ซูเยว่เอ๋อร์โกรธมาก นางจึงรีบวิ่งกลับไปที่บ้านของตนเองเพื่อไปซ่อนตัว ทว่าเมื่อกลับไปก็ถูกครอบครัวของตนเองต่อว่า ยิ่งทำให้นางรู้สึกโกรธมากขึ้นและเช่าเกวียนกลับเข้าไปในเมืองทันที

ลานบ้านกลับมาสะอาดอีกครั้ง ป้าหลี่ก็ยิ้มกว้างและเดินเข้าไปคุยกับซูต้าเฉียงด้วยท่าทางประจบสอพลอ

“ลูกคนที่สามของตระกูลซู สิ่งที่เจ้าพูดเมื่อวานนี้ถือว่ายังนับอยู่ไหม?”

“แน่นอนว่านับ” ซูต้าเฉียงพูดเช่นนั้น ทว่าภายในใจของเขาก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาจะต้องขับไล่ป้าหลี่ออกจากบ้านไปให้ได้

ซูหวานหว่านขยิบตาส่งให้กับผู้เป็นพ่อ ซูต้าเฉียงก็พูดขึ้น “ท่านจะให้สามีของท่านมาช่วยก็ได้ ทว่าตอนนั้นข้าพูดเอาไว้ว่าค่าแรง 1 วันจะได้ 12 เหรียญ พวกเราไม่มีข้าวให้ มีเพียงน้ำเท่านั้น”

วันละ 12 เหรียญไม่ใช่น้อย ๆ!

แม้จะไม่มีอาหารให้กิน แค่นี้นางก็พึงพอใจแล้ว!

ป้าหลี่ได้ยิ้มแย้มออกมาราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน “ตกลง! ทำไมจะไม่ได้กัน!”

ป้าหลี่พูดด้วยรอยยิ้มและเดินออกไปพร้อมตะกร้า ทว่าก็หันกลับมาถามอีกครั้ง “ครอบครัวของเจ้ามีอะไรกินตอนเย็นกันแล้วหรือยัง? หากไม่เกรงใจไปกินข้าวที่บ้านของข้าก็ได้? พวกเจ้าจะว่าอย่างไร?”

“ไม่ต้องหรอก” ซูหวานหว่านยิ้ม ทว่านางนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ในใจจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นแล้ว ตอนเย็นท่านก็รอกินมื้อเย็นกับพวกเราก่อนก็ได้”

บ้านของซูหวานหว่านมีของอร่อยที่น่ากินตรงไหนกัน?

อย่างมากก็แค่เหมือนกับที่นางมี สู้กลับไปกินข้าวที่บ้านตนเองเสียดีกว่า!

“ไม่ดีกว่า ครอบครัวของเจ้าเพิ่งจะย้ายเข้ามา คงไม่มีอะไรกินมาก หากข้ามากินข้าวด้วยอีกปากเกรงว่ามันจะไม่พอพวกเจ้า เช่นนั้นมันคงจะไม่ดีแน่ ๆ!” ป้าหลี่พูดขึ้นมาพลางส่ายหัว พร้อมกับสื่อเป็นนัย ๆ ว่าตนเป็นห่วงผู้อื่น

ซูหวานหว่านมองความคิดของป้าหลี่ผู้นี้ทะลุปรุโปร่ง “หากข้าจำไม่ผิด เมื่อไม่กี่วันก่อนบ้านของพวกเราได้ซื้อไก่มา 2 – 3 ตัวไม่ใช่หรือ? อีกทั้งพวกเราก็ยังไม่ได้กินมันเลย ข้าว่าวันนี้จะจับพวกมันมาปรุงอาหารเสียสักตัว อีกอย่างครอบครัวเราก็มีคนไม่มาก ท่านมากินกับเราสิ”

ที่แท้ก็มีไก่ให้กิน! ทั้งยังมีไก่อีกหลายตัว!

ครอบครัวของพวกนางจะได้กินไก่หนึ่งตัวเฉพาะในช่วงฉลองวันปีใหม่เพียงเท่านั้น!

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ป้าหลี่ก็ถึงกับเบิกตากว้าง “ถ้าพูดเช่นนี้แล้ว ประเดี๋ยวตอนเย็นข้าจะแวะกลับมาใหม่!”

เมื่อพูดจบ ป้าหลี่ก็กลับบ้านไปด้วยความยินดี

แม่เจิ้นเดินไปส่งป้าหลี่ที่ประตูหน้าบ้าน เมื่อป้าหลี่กลับไป แม่เจิ้นก็จ้องไปที่ซูหวานหว่านแล้วพูดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะให้การต้อนรับนางดีเกินไปนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อก่อนพวกเขาปฏิบัติต่อครอบครัวเราอย่างไรเมื่อตอนครอบครัวของพวกเรายากจนไม่มีแม้แต่อาหาร? พอมาตอนนี้ครอบครัวเรามีเงินขึ้นมา ก็รีบเข้ามาหาพูดจาประจบสอพลอ!”

“ท่านแม่!” ซูหวานหว่านไม่รู้จะพูดอย่างไร นางบอกได้เพียงว่าเหตุใดตนจึงทำเช่นนี้ “ครอบครัวของเราต้องการสร้างบ้านใหม่ เราต้องจ้างคนงานมาทำงาน วันพรุ่งนี้เราจะเริ่มทำบ้านใหม่กันแล้ว ไม่ช้าก็เร็วคนในหมู่บ้านก็จะต้องรู้เรื่องของครอบครัวเราอยู่ดีว่าครอบครัวเรามีเงิน คนที่เคยพูดจาถูกดูหมิ่นครอบครัวเราจะต้องมาพูดจาประจบสอพลอพวกเราแน่ ท่านก็เห็นแล้วเมื่อครู่ว่าทำไมทัศนคติของป้าหลี่ถึงเปลี่ยนไปเร็วนัก มันมิใช่เพราะว่าได้ยินเรื่องที่ครอบครัวของพวกเรามีการพัฒนาแล้วหรืออย่างไร? อีกอย่างมันก็แค่ไก่ตัวเดียว ในวันพรุ่งนี้พวกเราจะได้มากกว่านี้ท่านเชื่อข้าหรือไม่?”

จะได้อะไรมากขึ้น? แม่เจิ้นรู้สึกงงงวย ทว่าซูหวานหว่านทำได้เพียงแค่ยิ้มและพูดออกมาว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าท่านก็จะรู้เอง!”

ซูหวานหว่านพยายามทำตัวให้ดูมีลับลมคมใน นางเสแสร้งทำเป็นว่าจะออกไปจับไก่ แท้จริงนางก็แค่ออกมาหาที่นั่งให้ห่างจากบ้านเช่า เมื่อเจอที่แล้วนางก็นั่งลงแล้วเข้าไปในมิติฟาร์มเพื่อที่ไปจับไก่อ้วนออกมา 1 ตัว

จากนั้นนำไก่ตัวน้อยเข้าไปเลี้ยงในมิติฟาร์มเพิ่ม หากคนนอกมองมาก็จะรู้สึกว่าลูกไก่ที่นางได้เลี้ยงเอาไว้มันเติบโตเร็วมาก ต่อไปในอนาคตหากนางจะกินเนื้อไก่บ่อย ๆ และไม่มีผู้ใดสงสัยเป็นแน่

“ข้านี่ช่างฉลาดจริง ๆ!” ซูหวานหว่านพูดชื่นชมตัวเองเล็กน้อย นางทำเช่นนี้เพื่อที่จะได้กินเนื้อไก่ได้อย่างสบาย ๆ

นางนึกคิดวิธีปรุงไก่ให้อร่อย พลันใดซูหวานหว่านได้คิดถึงไก่เผ็ดอีกครั้ง นางเข้าไปดูที่มิติฟาร์มเพื่อไปดูพริกสด ทว่านางก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบพริกหลายเม็ดร่วงหล่นลงดิน และเมื่อเวลาผ่านไปต้นพริกก็งอกขึ้นมาหลายต้น

ซูหวานหว่านขุดแปลงผักด้วยความระมัดระวัง นางนำเมล็ดผักที่พกมาด้วยปลูกผักในแปลงเพิ่ม ทว่ากลับมีสิ่งที่ทำให้นางต้องประหลาดใจอีกครั้ง ตั้งแต่ที่นางได้เตือนไก่ไปในครั้งล่าสุด แปลงผักของตนก็ไม่ถูกไก่จิกอีกเลย ทั้งผักของตนยังเติบโตงอกงามขึ้นเรื่อย ๆ

ซูหวานหว่านปลูกพริกเพิ่มเข้าไปอีก ทั้งยังเก็บผักในแปลงเพื่อกลับไปปรุงอาหาร พลันใดนั้นสายตาของนางก็เหลือบไปเห็นสุนัขกำลังกัดแทะผักกาดขาว มันกัดแต่ไม่กิน อีกทั้งมันยังอาเจียนผักออกมาแล้วก็กัดเข้าไปอีกครั้ง มองดูแล้วตลกดี อีกทั้งยังน่ารักมากอีกด้วย

นางได้เลี้ยงสุนัขเอาไว้ในมิติฟาร์มตั้งแต่เมื่อใดกัน?

ซูหวานหว่านเกาไปที่หัวของตัวเองครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนางก็ได้นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงวิ่งไปอุ้มมันขึ้นมา เมื่อเห็นดวงตาที่กระหายเลือดของสุนัขตัวนี้ก็เข้าใจทันทีว่าคราก่อนนางได้ขอแลกลูกหมาป่ามาจากหมาป่าจ่าฝูงไม่ใช่หรือไง!

เหตุใดตอนนี้มันถึงตัวใหญ่จัง! ดูเหมือนต้องใช้เวลาเลี้ยงดูอย่างน้อยถึงครึ่งปีเลยถึงจะสามารถตัวใหญ่ได้ขนาดนี้

ซูหวานหว่านตกใจวางลูกหมาป่าลง พร้อมกับครุ่นคิดไปอยู่ครู่หนึ่ง นางต้องการตั้งชื่อให้มัน ทว่าใช้เวลาไปถึงครึ่งวันแล้วก็ยังคิดชื่อไม่ออกสักที เมื่อครู่มันกำลังจะกินผัก ตอนนั้นเองนางก็ได้นึกชื่อขึ้นมาได้

“ฉ่ายโกว! ไป เจ้าไปกินไก่โน่นไป! อย่ามาทำผักของข้าเสียหาย!”