“ข้าเอง ข้าเองท่านพลลาดตระเวน ได้โปรดรอก่อน” ผู้ดูแลหลี่หยิบเสื้อผ้าของตนขึ้นมาและรีบจัดการใส่อย่างรวดเร็ว ทว่าความไวของเหล่าฝูงชนที่ต่างเข้ามานั้นไวยิ่งกว่าเขาที่กำลังสวมเสื้อผ้ามากเลยทีเดียว เรื่องของผู้ดูแลหลี่จะต้องถูกเผยแพร่กระจายออกไปทั่วแน่นอน

พลลาดตระเวนเหล่านี้คาดไม่ถึงว่าตนเองจะต้องมารับฟังข่าวลือเหล่านี้ ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเกี่ยวกับการพูดคุยถึงเรื่องนี้

หลังจากนั้นไม่นานพลลาดตระเวนคนหนึ่งก็ได้กล่าวออกมา “ท่านได้โปรดให้ความร่วมมือกับพวกเรา ในการไปสอบสวนข้อหาการจ้างวานคนให้ไปรื้อถอนบ้านของแม่นางซูด้วย เราพบหลักฐานเกี่ยวกับการเงินของท่านจากพวกที่ไปรื้อถอนบ้านของแม่นางซู ท่านจะยอมรับความผิดข้อนี้หรือไม่?”

เขาเพิ่งนึกมาได้ว่าตนเองได้ทำสัญญากับคนเหล่านั้นเอาไว้ และเขาก็ขอให้เขียนจดไว้กันข้อผิดพลาด ทว่าสุดท้ายแล้วสัญญานั้นก็ถูกค้นพบจนได้!

ผู้ดูแลหลี่จึงเอ่ยออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “แน่นอนว่าข้าไม่เคยทำเรื่องเหล่านั้น!”

พลลาดตระเวนขี้เกียจเกินกว่าจะซักถามสิ่งใดออกมา และพวกเขาต่างย้ายกันมาพูดคุยกันที่ห้องโถง ผู้ดูแลหลี่ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด และอีกไม่นานซูหวานหว่านก็คงถูกจัดการไปแล้ว เพราะว่าเขาจ่ายเงินไปสูงเลยทีเดียวให้กับคนพวกนั้นเพื่อจัดการนาง!

นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว! ป่านนี้ซูหวานหว่านคงไม่เหลือชีวิตรอดออกมาอย่างแน่นอน! ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันเสียจริง ๆ ผู้ดูแลหลี่ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ข้าไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นจริง ๆ พวกเจ้าไม่ต้องเสียเวลามาไต่สวนเรื่องนี้หรอก”

“เหอะ เช่นนั้นคงต้องรอให้ซูหวานหว่านมาถึงเสียก่อน” ท่านนายอำเภอรู้เรื่องของซูหวานหว่านจากปากของลูกน้องตนเองแล้ว เรื่องที่นางเป็นหญิงสาวมั่งคั่งมีเงินอยู่ 800 ตำลึงนั่นก็ด้วย! เขาจะต้องประจบประแจงเอาใจนางเสียหน่อยแล้ว!

“หากนางยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ นางจะต้องมาที่นี่นานแล้วสิ?” ผู้ดูแลหลี่กล่าวออกมาด้วยท่าทางที่มั่นอกมั่นใจมาก

“นี่เจ้าแช่งให้ข้าตายอย่างงั้นหรือ?” จู่ ๆ เสียงของซูหวานหว่านก็ดังขึ้นมา

ผู้ดูแลหลี่ถึงกับตกตะลึงขึ้นมาทันที และตะโกนออกมา “ผี!”

นางไม่ใช่ผีเสียหน่อย!

ซูหวานหว่านแย้มยิ้มออกมาพร้อมกับหลักฐาน ผู้ดูแลหลี่ถึงกับพูดไม่ออกทันที อีกทั้งท่านนายอำเภอต้องการที่จะประจบประแจงเอาใจนาง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงถูกสอบสวนคลี่คลายไปได้อย่างรวดเร็ว ผู้ดูแลหลี่ถูกจับเข้าคุก ส่วนผู้คนที่อยู่ด้านนอกต่างเป็นเหมือนสายลม ไม่ว่าจะพวกเขาจะไปที่ใด ข่าวของเขาก็จะต้องถูกแพร่กระจายออกไปเป็นแน่แท้ อย่างไรขึ้นชื่อว่าข่าวฉาวย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างแน่นอน

หลังจากเรื่องราวทั้งหมดจบสิ้น ซูหวานหว่านก็แยกตัวออกมาเพื่อที่จะซื้อของมากมายแล้วแอบนำเข้าไปในมิติฟาร์มของตนเอง จากนั้นพาครอบครัวกลับไปยังหมู่บ้าน และนำเงินออกมาเพื่อที่จะไปเช่าห้องอยู่ก่อน

ซูต้าเฉียงเคาะประตูบ้านหลังหนึ่ง แล้วพูดออกมาว่า “หลี่ชุนเอ๋อร์! เปิดประตูหน่อย!”

“เรียกข้าทำไมกัน!”

เขาเป็นชายอายุราว ๆ ซูต้าเฉียง เมื่อคิดว่าชายผู้นี้มีชื่อว่าหลี่ชุนเอ๋อร์ ซูหวานหว่านก็รู้สึกตลกขึ้นมา ทว่านางรู้สึกว่าชายผู้นี้น่าจะเป็นคนดีกว่าคนอื่น ๆ เพราะไม่มีสายตาดูถูกออกมาจากดวงตาของเขาเลย

ซูต้าเฉียงหยิบเงินที่ซูหวานหว่านให้เอาไว้อย่างลับ ๆ ออกมา แล้วพูดว่า “นี่เงินเป็นค่าเช่าห้อง ข้าไม่รู้ว่าจะมาขอเช่าอยู่นานเพียงใด ข้าขอให้ไปก่อน 1 ตำลึง!”

1 ตำลึงนี่มันก็ไม่ใช่ถูก ๆ เลย!

หลี่ชุนเอ๋อร์ถึงกับตกใจพร้อมกับหยิบเงินขึ้นมาและใช้ฟันกัดลงไป แต่ก็ต้องพบความเจ็บปวด ทว่าภายในใจของเขานั้นกลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าด้วยความดีใจ

“ได้สิ ข้าจะไปเอากุญแจห้องมาให้เจ้า” หลี่ชุนเอ๋อร์รู้สึกสดชื่น เมื่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นของบ้านซูต้าเฉียง เขาได้นำผ้าเช็ดตัวออกมาให้สองสามผืน และนำผ้าห่มออกมา ทว่าลูกสะใภ้อย่างจ้าวเสี่ยวเสี่ยวกลับรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก “เหตุใดท่านจะต้องไปทำดีกับครอบครัวของเขาด้วย! ครอบครัวของพวกเขายากจนยิ่งกว่าอะไรดี!”

ครอบครัวของพวกเขายากจนตรงไหนกัน?

หลี่ชุนเอ๋อร์หยิบเงิน 1 ตำลึงที่ซูต้าเฉียงให้มาเมื่อครู่ออกมา พร้อมกับพูดอธิบายกับจ้าวเสี่ยวเสี่ยวด้วยความตื่นเต้น

ดูเหมือนว่าลูกคนที่สามของตระกูลซูนั้นพัฒนาขึ้นแล้ว!

นี่มันเป็นเรื่องใหญ่มาก!

เมื่อเห็นดังนั้น จ้าวเสี่ยวเสี่ยวจึงเก็บกวาดทำความสะอาดห้อง พร้อมกับหยิบตะกร้าผ้า แล้วเดินเข้าไปในจุดหนึ่งของหมู่บ้านที่เหล่าผู้หญิงต้องไปซักผ้าและป่าวประกาศออกไป ทว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากป้าหลี่ที่ปฏิเสธไม่ให้เหล่าผู้ชายในหมู่บ้านไปช่วยซูต้าเฉียงที่บ้าน

เมื่อป้าหลี่ได้ยินสิ่งที่ชาวบ้านพูดกัน นางก็รู้สึกราวกับมีแผนบางอย่างเกิดขึ้นมาอยู่ภายในใจ พอฟังชาวบ้านพูดจบนางก็รีบกลับบ้านไปทันทีและหยิบมันเทศออกมา

ทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูบ้านนางก็หยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนางก็ได้เอาก้อนบะหมี่อย่างดีเก็บซุกซ่อนเอาไว้ข้างหลัง จากนั้นนางก็เดินตรงไปยังบ้านของหลี่ชุนเอ๋อร์ที่ตอนนี้ครอบครัวของตระกูลซูได้มาขอเช่าอาศัยอยู่ชั่วคราว “มีใครอยู่หรือไม่?”

“…”

ซูหวานหว่านที่กำลังทำความสะอาดอยู่ในลานบ้านไม่ได้ตอบอะไรออกไป ประตูบ้านก็ไม่ได้ลงกลอนเสียหน่อย! อีกทั้งนางก็ยังยืนอยู่ทั้งคนจะไม่เห็นได้อย่างไรกัน ยังจะถามคำถามเช่นนี้มาอีก เสแสร้งแกล้งทำมาก!

ซูหวานหว่านก็ไม่ได้สนใจอะไร ป้าหลี่เดินเข้าประตูบ้านมาอย่างหน้าด้านและพูดว่า “นี่แม่สาวน้อย เจ้าไม่เห็นหรือว่าป้าของเจ้ามาหา เหตุใดเจ้าไม่พูดตอบรับออกมาล่ะ!”

ป้าหลี่เป็นป้าของนางตั้งแต่เมื่อใดกัน?

ซูหวานหว่านถึงกับกลอกตาไปมา จากนั้นป้าหลี่หยิบของบางอย่างที่นางเตรียมไว้ออกมา ซึ่งซูหวานหว่านก็ไม่แม้แต่จะมองแต่อย่างใด อีกทั้งนางยังคงทำความสะอาดต่อ ทำให้ป้าหลี่ถึงกับอารมณ์เสีย

ทันใดนั้นนางก็เห็นแม่เจิ้นเดินออกมา ป้าหลี่จึงรีบเดินเข้าไปหาทันที

“น้องสาว! นี่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า! ข้าเห็นว่าตอนนี้บ้านของเจ้าไม่มีอะไรกิน ข้าเลยเอาอาหารมาส่งให้น่ะ เฮ้อ!” พอพูดจบนางก็ได้ลูบไปที่ผมของตัวเอง

เมื่อได้ยินแบบนั้นแม่เจิ้นถึงกับตกตะลึงทันที หากเป็นเมื่อก่อนนางก็ยังไม่เห็นว่าป้าหลี่คนนี้จะมาดูดำดูดีครอบครัวนางเท่าใด พอแม่เจิ้นเห็นป้าหลี่พูดจาเช่นนั้นออกมา นางจึงกำลังจะยื่นมือไปรับของเอาไว้ ทว่ายังไม่ทันที่จะรับของมา จู่ ๆ ก็มีคนมาดึงเอาไว้และก็พูดจาหยาบคายออกมาว่า “แม่นางเจิ้น ท่านความจำสั้นหรืออย่างไรกัน โดนคนอื่นพูดจาดูถูก ยังจะไปรับของกำนัลจากผู้อื่นอีก แล้วที่เจ้าพูดออกมาเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร ? หรือว่าถูกทุบตีจนสมองกลับไปแล้วถึงมาทำดีด้วย?”

ซูหวานหว่านหันไปมองตามเสียงก็พบหญิงอายุราวประมาณแม่เจิ้น แม่นางผู้นั้นตกแต่งใบหน้าด้วยแป้งชาดทำให้ดูสวยงามเป็นธรรมชาติ และนางก็กำลังจ้องไปที่ซูต้าเฉียงเมื่อนางกำลังพูด

หญิงผู้นี้คือใครกัน? เหตุใดต้องใช้น้ำเสียงเกรี้ยวกราดเช่นนั้น!

ซูหวานหว่านใช้ความคิด จากนั้นสมองของนางก็ได้จมลงไปกับความคิดของตัวเอง

หญิงผู้นี้มีชื่อว่า ซูเยว่เอ๋อร์ นางถือว่าเป็นหญิงสาวที่สวยและเป็นดอกไม้ประจำหมู่บ้าน อีกทั้งนางยังมีอายุเท่ากับแม่เจิ้นอีกด้วย เรื่องที่ซ่อนอยู่ภายในใจก็คือนางชอบซูต้าเฉียงเช่นเดียวกับแม่เจิ้น

ทว่าอย่างไรเสีย ซูต้าเฉียงนั้นชอบแม่เจิ้นหรือเจิ้นซิวซิว ทั้งสองเลยได้ตกลงปลงใจแต่งงานกัน แต่ซูเยว่เอ๋อร์นั้นก็ยังคงตามตอแยซูต้าเฉียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่สำเร็จ ผลสุดท้ายนางก็ได้ออกเรือนแต่งงานออกไปเป็นอนุของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง

นางมักจะกลับมาหาครอบครัวทุกปี และนางมาที่นี่ก็เพื่อมาเยาะเย้ยตระกูลซู พลางส่งสายตาให้กับซูต้าเฉียงว่านางยังหวังดีเสมอ

ตอนนี้ซูเยว่เอ๋อร์กลายเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ใช่ว่ามาที่นี่เพื่อที่จะมาดูถูกครอบครัวของพวกเขาหรอกหรือ!

“ป้าซู ลูกของท่านอยู่ที่ไหนล่ะ?” ซูหวานหว่านแย้มยิ้มออกมา

ซูหวานหว่านจำได้ว่าชายผู้มั่งคั่งที่ซูเยว่เอ๋อร์แต่งงานด้วย ได้กลับมาที่บ้านพร้อมกับซูเยว่เอ๋อร์ครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ชายผู้นั้นน่าจะมีอายุมากกว่าซูหยู่เอ๋อร์ อายุของเขาน่าจะราว ๆ 30 ปีได้ แน่นอนว่าสภาพร่างกายของเขาจะไม่ไหวแล้ว เลยทำให้ตอนนี้ซูเยว่เอ๋อร์ถึงยังไม่มีลูกเสียที

คำพูดของซูหวานหว่านเหมือนแทงไปโดนบาดแผลของซูเยว่เอ๋อร์ เมื่อได้ยินเช่นนี้นางก็จ้องไปที่ซูหวานหว่านด้วยความโกรธ “เจ้าจะไปรู้อะไร! ฮึ่ม!”

ทันใดนั้นนางก็นึกถึงบางสิ่งและพูดออกมาว่า “ข้าไม่อยากมาทำอะไรให้พวกเจ้าขุ่นเคืองเลย ข้าเป็นคนสวยแน่นอนว่าหากข้ามีลูก ลูกของข้าจะต้องไม่เป็นเหมือนกับพวกเจ้าที่หน้าตาน่าเกลียดเช่นนี้อย่างแน่นอน!”

ลูกของเขาไม่ได้มีหน้าตาน่าเกลียดซะหน่อย! ซูต้าเฉียงกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา ส่วนแม่เจิ้นก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูดอะไรออกไป

ป้าหลี่ที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างก็ได้กล่าวออกมา “ซูเยว่เอ๋อร์ ที่เจ้าพูดออกมาเช่นนี้เพราะว่าเจ้ารู้สึกสบายใจ ทว่าเจ้าก็ควรที่จะมีลูกบ้างสิ! เจ้านี่อายุเท่าไรกันแล้ว อีกทั้งยังเอาแต่พูดเรื่องสมัยตอนที่ตนเองยังเป็นสาว ๆ อยู่ได้ ทุกคนไม่ได้ตาบอด! ทุกวันนี้เจ้าก็ยังคงให้ความสำคัญเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาภายนอกไปเพื่อสิ่งใดกัน? ไม่รู้หรือไงว่าทุกวันนี้ใคร ๆ ก็มองว่าเจ้าแก่ทั้งนั้น!”

พูดได้ดี!

นี่คือสิ่งที่ซูหวานหว่านนึกขึ้นมาภายในใจว่าสิ่งที่ป้าหลี่พูดออกมาช่างถูกใจนางเสียเหลือเกิน

“เจ้า!” ซูเย่วเอ๋อร์ถึงกับโกรธมากจนอยากจะลงไม้ลงมือ ทว่าซูหวานหว่านกลับคว้ามือของซูเยว่เอ๋อร์เอาไว้ก่อน “ป้าหลี่พูดถูก อย่าเอาแต่มองตัวเองว่าดี ทุกคนไม่ได้ตาบอด อีกอย่างแม่ของข้ายังดูสวยกว่าเจ้าอีก มิเช่นนั้นแล้วพ่อของข้าก็คงรับรักเจ้าไปแล้ว!”

ใบหน้าของแม่เจิ้นผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทว่าต่อมาคำพูดของซูต้าเฉียงก็ต้องทำให้แม่เจิ้นถึงกับเอ่ยสิ่งใดไม่ออก “ไม่ใช่”