บทที่ 320 สัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ซ่งชูอีหยิบหนังสือไหมปึกหนึ่งออกมาจากในหน้าอก “นี่คือที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของข้าในรัฐต่างๆ ไม่น้อยกว่าสิบห้าแห่ง เป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่ข้าซื้ออย่างลับๆ ไม่มีผู้ใดรู้”

แววตาเป็นประกายของฉู่เจาเสี่ยนหยุดอยู่บนหนังสือไหม ข้อสันนิษฐานมากมายผุดขึ้นในใจ “ท่านซ่งทำงานให้รัฐฉินมิใช่หรือ? เหตุใดต้องใช้ทรัพย์สินของท่านเองด้วย”

สำหรับฉู่เจาเสี่ยนนั้นชื่อเสียงของซ่งชูอีเลื่องลือ นางไม่คิดว่าด้วยความสามารถของซ่งชูอีจำเป็นต้องใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อรับความไว้วางใจจากองค์จวินแห่งรัฐฉิน

“เป็นเพราะอี่โหลว?” ฉู่เจาเสี่ยนถาม

ซ่งชูอีเอ่ยยิ้มน้อยๆ “ประมาณนั้นกระมัง”

นางสั่งฉือจวี้ให้ซื้อที่ดินเหล่านี้เมื่อนานมาแล้ว นางให้เงินทุนจำนวนมหาศาลและหนทางทำมาหากินแก่เขา ทว่าทรัพย์สินของสกุลฉือล้วนมาจากหยาดเหงื่อแรงงานของพี่น้องฉือจวี้เอง นางเพียงตั้งใจที่จะเก็บค่าตอบแทนเหล่านี้เท่านั้น นางแทบจะเททรัพย์สินหมดหน้าตัก แม้นว่าเจ้าอี่โหลวไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด ทว่าเขาก็เป็นหนึ่งในเหตุผลหลัก

“เสียนจื่อรับของเหล่านี้ไป ย้ายสาขาสำนักอย่างลับๆ โดยด่วนและส่งข่าวไปยังบรรดาศิษย์ภายนอก เช่นนี้ระยะเวลาหนึ่งเดือนก็เหมาะสมแล้ว” ซ่งชูอียกถ้วยชาขึ้นมาจิบสองสามคำ

ฉู่เจาเสี่ยนเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ข้ายังมิได้วาดแผนภาพหน้าไม้กลให้ท่านเลย ท่านไว้ใจข้าถึงเพียงนี้รึ?”

ซ่งชูอีเอ่ย “ด้วยชื่อเสียงของเสียนจื่อแห่งสำนักม่อ ข้าเชื่อใจท่าน”

“เยี่ยม” ฉู่เจาเสี่ยนไม่เคยล้มเหลวในด้านทักษะกลไลเลย “เช่นนั้นก็เชิญให้ท่านพักอยู่บนภูเขานี้และรอข้าสามวัน”

ซ่งชูอีรับคำอย่างตรงไปตรงมา

ม่ออวี้จัดหาที่พักให้นางและผู้อารักขาลับ นางจึงพำนักอยู่ในสถานที่ที่สวยงามแห่งนี้และรอ

นี่คือการซื้อขายที่มีแต่ได้ทั้งสองฝ่าย ทักษะกลไลของสำนักม่อเป็นหนึ่งในใต้หล้า การประดิษฐ์หน้าไม้กลชุดหนึ่งก็สามารถสร้างสาขาย่อยสำเร็จรูปในสถานที่ต่างๆ ได้ถึงสิบห้าแห่ง บวกกับสถานที่พวกเขาเตรียมการกันเองก็กว่ายี่สิบแห่งแล้วซึ่งมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก และด้วยเหตุนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสวามิภักดิ์ต่อรัฐใดๆ และเมื่อรัฐฉินได้หน้าไม้กลนี้มาก็สามารถปรับปรุงพลังการต่อสู้ของกองทัพได้อย่างมาก

ฉู่เจาเสี่ยนส่งมอบภารกิจย้ายสาขานี้ให้กับศิษย์พี่น้องคนอื่นๆ ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าก้มตาเตรียมผลงานศิลปะให้ซ่งชูอี

ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อย่างไรก็ตามในเช้าตรู่สามวันต่อมา ฉู่เจาเสี่ยนกลับกำลังดิ้นรนต่อสู้กับชิ้นงานบนโต๊ะที่ยังไม่เสร็จดี

บัดนี้เพียงต้องดัดแปลงไม่กี่จุดก็สามารถลดพลังการระเบิดหน้าไม้อันทรงพลังได้หลายส่วน…

เช่นนี้ก็จะสามารถปกป้องสำนักม่อ นอกจากนี้ยังสามารถมั่นใจได้ว่ากองกำลังของฉินจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะกลั่นแกล้งรัฐอื่นๆ

จนกระทั่งดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า ก่อนที่ซ่งชูอีจะมาตามที่นัดหมาย นางก็วาดภาพให้เสร็จอย่างรวดเร็ว

สำนักม่อให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่นและคุณธรรมเสมอ แม้ว่าความถูกต้องจะอยู่ตรงหน้า ฉู่เจาเสี่ยนก็เลือกที่จะรักษาสัญญาในการมอบแผนภาพหน้าไม้กลที่สมบูรณ์และถูกต้องถึงมือซ่งชูอี

ซ่งชูอีคลี่หนังแกะออก กวาดสายตาผ่านตรงที่หมึกยังเปียกอยู่ รอยยิ้มเกรงใจผุดขึ้นบนใบหน้า “ลำบากเสียนจื่อแล้ว”

“ช่างเถิด เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนเท่านั้น” ฉู่เจาเสี่ยนราวกับกำลังปลอบใจตนเอง ลูบๆ ผมที่ขมับ “ลำบากให้ท่านรอนานแล้ว”

“เสียนจื่อเกรงใจเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีลุกขึ้นประสานมือเอ่ย “หมดธุระแล้ว ข้าก็ไม่รบกวนอีก หวังว่าเสียนจื่อจะสามารถปิดการแลกเปลี่ยนนี้เป็นความลับ”

“เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว” ฉู่เจาเสี่ยนมองสำรวจซ่งชูอีอย่างละเอียดอีกครั้ง ในสายตาสงบนิ่งนั้นไม่เคยเปิดเผยอารมณ์ที่แท้จริงเลย

สาเหตุที่ฉู่เจาเสี่ยนตอบรับอย่างง่ายดายนั้นมิใช่เพราะความสัมพันธ์กับเจ้าอี่โหลว แต่เป็นเพราะซ่งชูอีได้เผยช่องโหว่ออกมา นางได้ส่งคนไปตรวจสอบสถานที่ใกล้เคียงเหล่านั้น ที่ดินของซ่งชูอีทั้งหมดล้วนถูกซื้อโดยสกุลฉือแห่งรัฐฉิน เครือข่ายข่าวสารของสำนักม่อแพร่กระจายทั่วหล้า แม้ว่าบัดนี้จะสูญเสียไปมากแล้วทว่าไม่ช้าก็สืบเจอว่าหัวหน้าของสกุลฉือเคยมีความเกี่ยวข้องกับซ่งชูอี เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าซ่งชูอีเป็นคนสร้างสิ่งที่เรียกว่าความเกี่ยวข้องนี้ตั้งแต่แรก ในสายตาของผู้อื่นทั้งสองฝ่ายยังคงมิได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกันเลย

“ท่าน” ฉู่เจาเสี่ยนเห็นว่าซ่งชูอีลุกขึ้นยืนก็กล่าวทันใด “พวกข้ากับสำนักจวี้จื่อเดิมทีมาจากที่เดียวกัน เพียงแต่พวกข้าแบ่งแยกออกเป็นสำนักย่อย ทั้งสองฝ่ายไร้ความเป็นปรปักษ์ต่อกันโดยสิ้นเชิง ถึงตอนนั้นสำนักของจวี้จื่ออาจไม่สนับสนุนรัฐฉินก็เป็นได้ เหตุผลที่ท่านทำเช่นนี้คืออะไร?”

“เสียนจื่อให้ความสำคัญกับสำนักม่อมากเกินไปแล้ว” ซ่งชูอียังคงลุกขึ้นยืน กล่าววาจารุนแรงด้วยความซื่อสัตย์ “แม้ไม่มีสำนักม่อสนับสนุน รัฐฉินก็ยังคงเป็นรัฐฉิน จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นมีหรือที่ท่านอ๋องของข้าจะไม่รู้สาเหตุที่สำนักของชวีกู่รักษารัฐฉินเอาไว้ตลอดเวลา? หากรักษาเขาแล้วไร้ประโยชน์สู้เปลี่ยนเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ไม่ดีกว่าหรือ”

รูปแบบการทำงานของรัฐฉินก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด

“ขอตัว” บัดนี้การแลกเปลี่ยนจบสิ้นแล้ว ซ่งชูอีไม่คิดที่จะมีความสัมพันธ์กับฉู่เจาเสี่ยนลึกซึ้งไปมากกว่านี้ เนื่องจากไร้ซึ่งมิตรภาพจะได้ไม่มีความรู้สึกผิดขณะวางแผน

ครั้นออกมาจากหุบเขา ซ่งชูอีก็ขี่ม้ากลับนครเสียนหยางภายใต้การคุ้มกันของผู้อารักขาลับ

ทันทีที่มาถึงที่ว่าการก็มีผู้อารักขาลับเข้ามารายงาน

ผู้อารักขาลับกระซิบสองสามคำ ซ่งชูอีตื่นตกใจแล้วเดินไปยังห้องโถงด้านข้าง “พาคนเข้ามา”

ผู้อารักขาลับรับคำสั่ง ในไม่ช้าก็พาคนเข้ามา

ชายวัยกลางคนที่ร่างกายท่อนบนถูกมัดพร้อมสองมือไพล่หลังนั่งอยู่กลางห้อง สูงปานกลาง สวมเสื้อใยกัญชงสีเทา ใบหน้าซูบตอบ ใบหน้าหมองคล้ำ หนวดเคราปกคลุมเกือบทั่วใบหน้าของเขาเหมือนหญ้ารก

ซ่งชูอีเดินทางติดต่อกันหลายวัน เนื้อตัวเมื่อยล้าจึงพิงอยู่ที่ราวจับ สำรวจเขาอย่างละเอียดรอบหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “บังอาจไม่น้อย กล้าสะกดรอยข้า”

น้ำเสียงไม่โกรธทว่าน่ากลัวจนทำให้รู้สึกหนาวจับใจ

ซ่งชูอีถูๆ ข้อมือที่เจ็บจากการกุมบังเหียน มองต่ำพร้อมเอ่ยว่า “หากเป็นทหารพลีชีพ ก็วิ่งชนเสาให้ตายไปเถิด ข้าแซ่ซ่งจะไม่ห้ามเจ้า”

ชายผู้นั้นได้ยินเช่นนี้ก็ลุกขึ้นพุ่งชนเสาทันทีโดยไม่คิด ทว่ากลับถูกผู้อารักขาลับที่อยู่ด้านหลังคว้าตัวเอาไว้ได้

ซ่งชูอีค้ำดาบนั่งตัวตรง ยิ้มด้วยความเมตตาเป็นอย่างมาก “เอ๋ เป็นทหารพลีชีพจริงด้วย?”

ชายวัยกลางคนผู้นั้นถูกหลอกก็อดที่จะมองตาขวางมิได้

ซ่งชูอีมองไปยังผู้อารักขาลับ “เขาได้ปริปากพูดบ้างหรือไม่?”

ผู้อารักขาลับประสานมือคำนับ “เรียนกั๋วเว่ย ตอนที่จับเขาได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาขัดขวางมิให้เขากลืนยาพิษ และได้อ้าปากเพื่อตรวจสอบเป็นพิเศษ พบว่าบุคคลนี้ถูกตัดลิ้นแล้วขอรับ”

พิจารณาจากการฆ่าตัวตายอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อครู่และลิ้นที่ถูกตัดแล้ว เป็นไปได้เก้าส่วนว่าบุคคลนี้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นทหารพลีชีพโดยเฉพาะ

“เอาไปขังไว้ในคุกก่อน ทรมานเค้นคำตอบออกมาให้ได้ ระวังอย่าทำให้ตาย” ซ่งชูอีเอ่ย

“ขอรับ!” ผู้อารักขาลับหิ้วตัวคนนั้นออกไป

ในเมื่อบุคคลนี้ภักดีจนตัวตาย เกรงว่าต่อให้ทรมานเยี่ยงไรก็ไร้ประโยชน์ หากใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็ใช้ไม้อ่อนเถิด! ซ่งชูอีเปล่งเสียง “เด็กๆ!”

ทหารนายหนึ่งตอบรับเข้ามา “กั๋วเว่ย”

“ไปเรียกกู่อี้มา” ซ่งชูอีระบุชื่อผู้อารักขาลับคนหนึ่งที่ประจำการณ์อยู่ในที่ว่าการ

นายทหารออกไป ไม่ช้ากู่อี้ก็มาถึง

ซ่งชูอีเอ่ย “ในระยะนี้ข้าอาจเกิดเรื่อง ถึงตอนนั้นจวนของกั๋วเว่ยก็จะปั่นป่วน ข้าจะคลายการเฝ้ารักษาการณ์ในคุกอย่างเหมาะสม เพื่อให้ทหารพลชีพผู้นั้นหลบหนีไป เจ้าก็รับผิดชอบในการสะกดรอยตามที่อยู่ของเขาเสีย”

กู่อี้กำหมัดคำนับ “ขอรับ!”

ซ่งชูอีพักผ่อนอยู่ในที่ว่าการครู่หนึ่ง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็นำแผนภาพหน้าไม้กลไปถึงโต๊ะทำงานของอิ๋งซื่อด้วยตัวเอง

อิ๋งซื่อจัดให้ช่างฝีมือลองสร้างมันขึ้นมาอย่างลับๆ ยี่สิบชุด หลังจากปรับเปลี่ยนจนเข้าที่แล้วก็จะสร้างจำนวนมากเพื่อให้กองทัพนำไปใช้อย่างรวดเร็ว

วันรุ่งขึ้นอิ๋งซื่อชื่นชมการทำงานอย่างมีประสิทภาพของซ่งชูอีในที่ประชุมราชสำนัก ตบรางวัลมากมายและเลื่อนยศเพิ่มอีกขั้น

การยกระดับกำลังรบโดยรวมของกองทัพนับเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ หลังจากนั้นเป็นต้นมา บนโต๊ะของอิ๋งซื่อก็ไม่มีเอกสารฟ้องร้องว่าซ่งชูอีไม่มีผลงานเป็นการชั่วคราว

นี่ก็เป็นหนึ่งในแผนการของซ่งชูอี หากนางได้รับความดีความชอบอย่างลับๆ มาโดยตลอด ต่อให้อิ๋งซื่อจะปฏิเสธข้อโต้แย้งของทุกคนก็เกรงว่ายังมีหลายคนที่จ้องจะจับผิด ถึงตอนนั้นข่าวลือ “ความรักระหว่างชาย-ชาย” ก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นและเป็นอันตรายต่อสถานะของนาง

ในราชสำนัก มหาเสนาบดีซ้ายขวาล้วนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับซ่งชูอี โดยปกติแล้วนางก็มีมิตรภาพกับซือหม่าชั่วอยู่บ้าง กองกำลังทั้งสามไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริง นางไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคู่แข่งทางการเมืองที่สมน้ำสมเนื้อ แต่นี่ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าทุกอย่างจะราบรื่น เมื่อนางมีประโยชน์ ข่าวลือทั้งหมดก็จะเป็นเพียงวาจาเยาะเย้ยหลังมื้ออาหารของผู้คนก็เท่านั้น หากนางเข้าครองตำแหน่งเป็นหมาหวงก้างโดยไม่ยอมทำงานแม้แต่น้อย เมื่อมีคนต้องการที่จะโค่นนางลง ข่าวลือเหล่านั้นก็จะแจ่มชัดขึ้น ถึงตอนนั้นเสียงปากของคนจำนวนมากก็จะเปลี่ยนถูกเป็นผิดได้ ไม่ว่าจะมีกี่คนช่วยกันปกปิดก็ไร้ประโยชน์

ก่อนที่ฝนจะตก ซ่งชูอีจะไม่ปล่อยให้ตัวเองเผยช่องโหว่ที่ใหญ่เช่นนี้

หลังจากได้รับรางวัลแล้วก็ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะจบลงไป ทุกอย่างกลับสู่ปกติ อย่างไรก็ดีหลังจากผ่านไปครึ่งเดือนเหตุการณ์สำคัญก็เกิดขึ้นในหมู่รัฐต่างๆ แต่เดิมเหตุการณ์นี้เป็นเพียงการต่อสู้ของเหล่าสำนักแต่มันกลับกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการระบาดของสงคราม