สำนักม่อของเสียนจื่อและสำนักของจวี้จื่อมีการแข่งขันกัน เสียนจื่อย้ายสาขาทั้งหมดภายในระยะเวลาครึ่งเดือน แต่กลับเผาสาขาเดิมทั้งหมดทิ้ง!
เปลวเพลิงครั้งใหญ่เผาสาขาเหล่านั้นจนมอดม้วยและยิ่งเผาให้ไฟสงครามของสองสำนักให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น พวกเขามาจากสำนักเดียวกัน เดิมทีเสียนจื่อละทิ้งสาขา จวี้จื่อก็มิได้คิดที่จะตามราวี นับจากนี้ไปเจ้าก็เดินบนเส้นทางสุริยันต์ของเจ้า ข้าก็เดินไปตามสะพานไม้ของข้า ทว่าการกระทำของเสียนจื่อครั้งนี้เหมือนเป็นการยั่วยุ!
“ขงจื่อกล่าวไว้ว่ามีเพียงผู้หญิงและคนต่ำช้าเท่านั้นที่เลี้ยงไม่เชื่อง กล่าวได้อย่างถูกต้องจริงๆ!” เซียงหลีจื่อมีสีหน้าโมโห
ชวีกู้เอ่ยอย่างครุ่นคิด “ฉู่เจาเสี่ยนดูไม่เหมือนเป็นคนเช่นนี้…นางเป็นเสียนจื่อมาหลายปี คุณธรรมไม่เคยด่างพร้อย”
“หึ ต่อให้นางเผาสาขาทั้งหมดจริง ก็ไม่สามารถนับได้ว่าคุณธรรมด่างพร้อยหรอกกระมัง?” เติ้งหลิงจื่อเอ่ยเชื่องช้า
สีหน้าของชวีกู้อึดอัดเล็กน้อย ขาทั้งสองข้างของฉู่เจาเสี่ยนอยู่ดีๆ กลับถูกทำให้พิการ หากเป็นเพราะโกรธเคืองเรื่องนี้ ไม่พอใจและเผาสาขาที่อยู่ในมือทั้งหมดก็สมควรแล้ว
ภายในห้องเงียบสงัด หลังจากชวีกู้สงบสติอารมณ์ได้ก็เอ่ยว่า “ที่ตั้งของสำนักเป็นความลับ นอกจากคนในสำนักม่อแล้ว คนนอกจะล่วงรู้ได้เยี่ยงไร? เรื่องนี้เห็นทีน่าจะเป็นฝีมือของเสียนจื่อ”
เซียงหลีจื่อพ่นลมหายใจเย็นชา “เผาสาขาไปเสียครึ่งหนึ่งและเปิดโปงที่ตั้งออกไปแล้ว คงไม่สามารถสร้างใหม่ได้สักพัก พวกเราก็ปล่อยเรื่องนี้ไปดีหรือไม่? กลุ่มผู้ชายรังแกผู้หญิงคนหนึ่ง มันใช่เรื่องหรืออย่างไร!”
“ไม่ได้แน่นอน” ขวีกู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงล้ำลึก
เติ้งหลิงจื่อสอดมือไว้ในแขนเสื้อไม่พูดจา เขาไม่เห็นด้วยกับความไม่เปลี่ยนแปลงของสำนักม่อแต่เขากลับไม่ใคร่เห็นด้วยกับการกระทำของชวีกู้นัก โดยเฉพาะเรื่องการวางยาให้เสียนจื่อซึ่งทำให้เขารู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมาก
การหารือระหว่างเหล่าอาจารย์ทางนี้ต้องการโจมตีเสียนจื่อ ขณะที่ในห้องโถงหลักในสถานที่ซ่อนตัวของฉู่เจาเสี่ยนเต็มไปด้วยแรงอาฆาต
ฉู่เจาเสี่ยนหลุบตาต่ำ ขนตายาวปกคลุมแววตา บนสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ
“ซ่งหวยจินอายุยังน้อย ทว่าจิตใจกลับล้ำลึกนัก” จีเจ่อทอดถอนใจ
แน่นอนว่าฉู่เจาเสี่ยนมิได้สั่งให้เผาสาขาสำนัก!
การวางเพลิงนี้จะไปใครไปเสียไม่ได้ ซ่งชูอีมอบเคหะสถานส่วนตัวให้ ฉู่เจาเสี่ยนจะต้องสั่งให้คนส่งข่าวออกไปอย่างแน่นอน ผู้อารับขาลับได้รับการฝึกฝนมาจากสำนักม่อ วิธีการส่งข่าวสารคล้ายคลึงกัน ซ่งชูอีอยู่ด้วยกันกับเจ้าอี่โหลวแน่นอนว่าจะต้องรู้วิธีส่งข่าวสารตามปกติ ด้วยเหตุนี้การตามเบาะแสของผู้ส่งสารจึงกระทำได้ง่ายกว่าใครทั้งหมด
ซ่งชูอีนำเคหะสถานส่วนตัวสิบห้าแห่งแลกเปลี่ยนกับหน้าไม้กล เดิมทีก็เป็นการซื้อขายที่ทำกำไรได้โดยไม่ต้องเสียเงิน ทว่านางกลับส่งคนสะกดรอยตามผู้ส่งสารลับๆ และวางเพลิงหลังจากที่ย้ายสาขาเรียบร้อยแล้ว! สำนักจวี้จื่อจะต้องคิดว่าเป็นฝีมือของพวกเขาอย่างแน่นอน ด้วยนิสัยของชวีกู้จะต้องเคียดแค้นจนกัดไม่ปล่อย!
ด้วยวิธีนี้ทั้งสองฝ่ายยังคงต่อต้านซึ่งกันและกัน การย้ายสาขาสำนักของพวกเขาสามารถบรรเทาการเผชิญหน้าระหว่างสองฝ่ายได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
พวกเขาไม่รู้ว่าแผนการของซ่งชูอีมิได้มีเพียงเท่านี้
“พวกเรามีความลับของซ่งหวยจินอยู่ในมือ แต่สิ่งที่อยู่ในมือของนางก็เป็นความลับของพวกเรามิใช่หรือ? ทันทีที่นางเปิดโปงสถานที่ตั้งสาขาใหม่ของพวกเรา สถานการณ์ของพวกเราจะต่างอะไรจากเมื่อก่อนเล่า?” ฉู่เจาเสี่ยนพูดพลางก็หัวเราะออกมาโดยไม่โกรธ “ข้าก็อายุปูนนี้แล้ว การที่ข้าตกมาอยู่ในมือของผู้น้อยเป็นเพราะว่าหลายปีมานี้ข้ามัวแต่หมกหมุ่นอยู่กับทักษะกลไลเช่นนั้นหรือ?”
นางสูดหายใจลึก จากนั้นก็เอ่ยว่า “ทว่าเช่นนี้ก็ดี แม้นนางจะวางแผนทว่าก็ได้ช่วยเหลือพวกเราไว้อย่างแท้จริง จัดหาสาขาให้ ทั้งยังให้โอกาสที่มีความเสี่ยงแต่ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน”
ฉู่เจาเสี่ยนเป็นเพียงผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านกลไก ไม่ว่าจะเป็นด้านกิตติคุณหรือความสำเร็จล้วนโดดเด่น การจัดการปัญหาต่างๆ นั้นก็ไม่ด้อยเลย ทว่าบนโลกที่เต็มไปด้วยแผนการ นางกระทำการด้วยความอ่อนโยนเกินไปเมื่อเทียบกับซ่งชูอีที่มีความเจ้าเล่ห์เพทุบายมากเหลือเกิน
วันเวลามิได้ทิ้งร่องรอยบนใบหน้าของนางมากนัก แววตาที่ล้ำลึกและสลับซับซ้อนของจีเจ่อวาดผ่านใบหน้าของนาง พลางทอดถอนใจ “อาเจา”
น้ำเสียงนั้นแก่ชราและแหบแห้ง เมื่อชื่อนี้ถูกเรียกขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี ดวงตาของฉู่เจาเสี่ยนก็รื้นน้ำตาทันที
คำว่า “อาเจา” เพียงคำเดียวเปี่ยมไปด้วยอารมณ์นับพัน อย่างไรก็ดีเขาไม่ได้พูดอะไรมากอีก พยุงตัวด้วยไม้เท้าแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป
ในเวลานี้จีเจ่อมองดูขาทั้งสองของฉู่เจาเสี่ยนถูกทำลาย มองดูท่าทางที่อ่อนล้าของนาง รู้สึกเสียใจที่ผลักนางขึ้นสู่ตำแหน่งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาก็รู้ดีว่าการที่ผู้หญิงจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้นั้นยากเพียงใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอัจฉริยะทางกลไลเช่นนาง นอกจากนี้นางยังเป็นเป้าหมายในการแก่งแย่งของนานารัฐ หากไม่มีสำนักม่อคอยปกป้อง ก็จะกลายเป็นคนที่ถูกทำร้ายเพราะมีความสามารถ และบทลงเอยจะเป็นอย่างไรนั้นก็สามารถคาดเดาได้อยู่แล้ว
หลังจากยืนยันว่าจะยุติความสัมพันธ์ พวกเขาก็ไม่ได้ข้ามเส้นแต่อย่างใด ไม่มีแม้แต่ความคลุมเครือแม้แต่น้อย ความรู้สึกที่ฝังลึกในใจนี้ไม่อาจดูหมิ่นได้เลย จีเจ่อเพียงเกลียดที่ตัวเองเกิดเร็วไปและเกลียดที่เจอกับนางช้าไป
บัดนี้เขาเป็นไม้ใกล้ฝั่ง ส่วนนางกลับกำลังบานสะพรั่ง
จีเจ่อเดินโซเซไปตามบันได มองไปยังยอดเขาไกลสุดสายตาแล้วทอดถอนใจ พบกันช้าไป แม้ว่าการปกป้องนางจนถึงสุดท้ายจะเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ก่อนที่จะพาความรักลงดินไปกับเขา…อาเจา ข้ามีชีวิตอยู่วันหนึ่งก็ปกป้องเจ้าได้วันหนึ่ง เส้นทางต่อจากนี้เจ้าต้องเดินตามลำพังแล้ว
ที่ตีนเขา ฉู่เจาเสี่ยนกำลังนั่งอยู่บนพื้นหญ้าหน้าทางเดิน มองดูแผ่นหลังที่ขึ้นเขานั้นไป น้ำตาหลั่งไหลดั่งสายฝน
หลังเวลาเที่ยง ท้องฟ้าเหนือเสียนหยางมืดครึ้มภายในช่วงเวลาสั้นๆ
หลังจากมีเสียงฝนฟ้าคะนองไม่กี่ครั้งฝนก็เทลงมา
ความร้อนในช่วงฤดูร้อนลดลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจในชมรมป๋ออี้ก็ดีอย่างน่าประหลาดใจ
มีสองข่าวที่ร้อนแรงที่สุดในชมรมป๋ออี้ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เรื่องที่หนึ่งรัฐเว่ยสู่ขอองค์หญิงอิ๋งสี่ เรื่องที่สองกั๋วเว่ยแอบไปพบเสียนจื่อแห่งสำนักม่ออย่างลับๆ
บัดนี้องค์รัชทายาทแห่งรัฐเว่ยได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงแห่งราชวงศ์โจวแล้ว ผู้ที่มาสู่ขออิ๋งสี่คือองค์ชายซื่อ ชาวฉินต่อต้านเรื่องนี้เป็นอย่างมาก องค์ชายซื่อเจ้าชู้เป็นที่สุด นางสนมในวังหากมีไม่ถึงร้อยก็เก้าสิบ ทั้งยังเคยมีฮูหยินเอกมาก่อน อีกทั้งยังมีรัชทายาทคนโตด้วย ฮูหยินผู้นั้นเจ็บป่วยระหว่างคลอดบุตร ทั้งวันต้องอยู่กับยาไม่ห่างกายและได้สิ้นใจเมื่อสามปีก่อน
เงื่อนไขเช่นนี้จะสามารถเทียบเท่าองค์หญิงแห่งต้าฉินได้อย่างไร! แม้ว่าองค์หญิงจะเป็นเด็กหญิงที่อายุย่างเข้ายี่สิบแล้วก็ตาม…
เพื่อหลีกเลี่ยงการอภิเษก องค์หญิงอิ๋งสี่จะอยู่ในชุดเกราะตลอดทั้งปี อีกทั้งผลงานการสู้รบค่อนข้างน่าประทับใจ
อิ๋งซื่อจึงได้ละเว้นตำแหน่งท่านแม่ทัพให้นาง แม้ว่าจะไม่มีอำนาจทางทหาร แต่ก็เป็นเกียรติที่หาได้ยากนับตั้งแต่ก่อตั้งต้าฉิน
วีรบุรุษแห่งต้าฉินมากมายถูกองค์หญิงปฏิเสธการแต่งงานหัวชนฝา แล้วจะให้ผู้ชายไม่เอาไหนแห่งรัฐเว่ยผู้นั้นมาเอาเปรียบได้อย่างไร?
สำหรับเรื่องที่ซ่งหวยจินพบเสียนจื่อเป็นการส่วนตัวถูกเปิดเผยเพราะมีคนหยิบยกขึ้นมาในการประชุมราชสำนัก การที่อิ๋งซื่อรักษาสำนักของชวีกู้ไว้เพราะว่ายังมีประโยชน์ ทว่าเพื่อทำให้เขาสบายใจ จึงต้องระงับตำแหน่งของซ่งชูอีชั่วคราวและสั่งให้จวนตุลาการตรวจสอบ
ซ่งชูอีมีช่วงเวลาว่างทั้งทีจึงนั่งดื่มสุราอยู่ในห้องส่วนตัวใกล้กับห้องโถงหลักบนชั้นสองของชมรมป๋ออี้ พลางฟังการอภิปรายข้างนอก
“ท่านเจ้าคะ องค์หญิงอิ๋งสี่จะอภิเษกให้กับองค์ชายแห่งรัฐเว่ยจริงหรือเจ้าคะ?” หนิงยากล่าวอย่างเป็นกังวล
ซ่งชูอีมองสำรวจนาง “อย่ามัวแต่กังวลเรื่องของคนอื่น! เจ้ากังวลเรื่องของตัวเองเถิด เป็นสาวเป็นนางแล้ว แม้แต่ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ยังแยกไม่ออก จะให้ข้าสอนเจ้าได้อย่างไร!”
ใบหน้าของหนิงยาแดงทันใด รีบเอ่ยเสียงต่ำ “เรื่องนี้ไว้กลับจวนแล้วท่านค่อยสอนข้าได้หรือไม่?”
“บัดนี้ข้าพูดจบแล้ว” ซ่งชูอีนั่งเท้าศีรษะแล้วจิบสุราคำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “วันหน้าข้าจะพาเข้าไปชมทัศนียภาพ”
ซ่งชูอีตัดสินใจที่จะเลียนแบบเว่ยเต้าจื่อ พาหนิงยาไปแอบดูผู้อื่นเสพสมกัน
หนิงยาไม่เข้าใจความหมายในคำพูดนี้ ได้ยินเพียงว่าจะไปชมทัศนียภาพก็เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ไปที่ใดเจ้าคะ? ยากนักที่ท่านจะมีเวลาว่าง จะไปเร็วๆ นี้หรือไม่เจ้าคะ?”
ซ่งชูอีกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง เสียงที่เจือปนรอยยิ้มก็ดังขึ้นนอกม่าน “ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
สิ้นวาจา จางอี๋ก็เลิกม่านเดินเข้ามา นั่งลงตรงข้ามซ่งชูอี
ซ่งชูอีรินสุราข้าวจอกหนึ่งแล้วยื่นให้เขา “เหตุใดพี่ใหญ่ถึงมีเวลาว่างได้?”
จางอี๋รับจอกสุรามา “ข้าไม่ได้ว่าง” เขาจิบสุราก่อนจะเอนตัวไปหานางแล้วกระซิบ “ฝ่าบาทฝากให้ข้ามาเตือนสติเจ้าว่ามันเป็นเพียงการจัดฉาก”
จัดฉากกว่าถอดตำแหน่งและตรวจสอบ หากไม่มีกั๋วเว่ย ปฏิบัติการของกองทัพจะเป็นอัมพาตภายในเจ็ดวัน ในอดีตหลายคนเห็นว่าซ่งชูอีใจจัดการด้วยความใจเย็นยิ่ง ครั้นเวลาผ่านไปนานก็ทำให้ทุกคนค่อยๆ คิดว่าตำแหน่งกั๋วเว่ยนั้นที่จริงแล้วง่ายมาก
จางอี๋เอ่ย “กั๋วเว่ยคนใหม่ที่มาดำรงตำแหน่งเหนื่อยและป่วยหลังจากทำงานได้สามวัน ต้องฝืนทำงานขณะล้มป่วยเชียว!”
ตำแหน่งสำคัญทางทหารจะผ่อนคลายได้อย่างไร? เมื่อซ่งชูอีเข้ารับตำแหน่งครั้งแรก ก็ใช้เวลาสิบชั่วยามต่อวันในการจัดการกับกิจการทางทหารและครั้งหนึ่งก็เคยเหนื่อยล้าจนล้มพับไป หลังจากคุ้นเคยกับการปกครองแล้ว หากสงครามไม่เร่งด่วนก็ใช้เวลาเพียงห้าหรือหกชั่วยาม แต่สิ่งนี้ต้องใช้ความแข็งแกร่งและความเข้าใจด้วย ใช่ว่าทุกคนที่รู้วิธีทำให้สมบูรณ์แบบ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ขุนนางฉินทำงานหนัก ฝ่าบาทควรจะชื่นชมจึงจะถูก” ซ่งชูอีเอ่ยชม
เห็นนางแสร้งโง่เช่นนี้ จางอี๋ก็หัวเราะพลางส่ายหน้า “ช่างเถิด ข้าเข้าใจแผนการของเจ้า ครั้งนี้ข้าจะช่วยเจ้าไกล่เกลี่ยสักครั้ง!”
“ฮ่าๆ มีฝีปากกล้าอย่างจางอี๋มาช่วยเหลือยินดียิ่งนัก ลำบากแล้ว” ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อ แสร้งทำเป็นคำนับ
จางอี๋นั่งลงรับการคำนับพร้อมหัวเราะเสียงดัง
ครั้งนี้เขาได้ทำความรู้จักกับซ่งชูอีใหม่อีกครั้ง นางอาศัยโอกาสครั้งนี้ ได้หน้าไม้กลมาแต่กลับทำให้สองสำนักม่อยังคงขัดแย้งกัน ทั้งยังบีบให้ฉู่เจาเสี่ยนไม่สามารถแสดงความมั่งคั่งส่วนตัวออกมา ปราบปรามข่าวลือเพื่อรวมตำแหน่ง ช่วยเจ้าอี่โหลวปกป้องอาจารย์ จับหางของศัตรูลับได้ และฉวยโอกาสขอออกจากตำแหน่งกั๋วเว่ยเป็นการชั่วคราว ข้อหนึ่งเพื่อทำให้เหล่าขุนนางทั้งราชสำนักเห็นว่าการที่นางทำงานด้วยความสบายๆ คือความสามารถของนาง คนอื่นๆ อาจไม่มีความสามารถนี้! ข้อสองเพื่อให้โอกาส “หาง” นั้นได้หลบหนีและดึงคนที่อยู่เบื้องหลังออกมา
สิ่งที่สำคัญที่สุดท่ามกลางเรื่องราวเหล่านี้ ก็คือนางได้ทำให้องค์จวินเห็นขุนนางผู้จงรักภักดีคนหนึ่งที่ทำเพื่อต้าฉินได้โดยไม่เรียกร้องชื่อเสียง กล้าที่จะทำผิดต่อสำนักม่อและไม่เลือกวิธีการ…
หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้มีคนที่สามารถดำรงตำแหน่งกั๋วเว่ยได้ หัวใจของฝ่าบาทจะไม่หวั่นไหวและตำแหน่งของซ่งชูอีก็จะไม่สั่นคลอน นอกจากนี้นางยังมีทหารใหม่จำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นนายที่ได้รับการฝึกฝนอย่างลับๆ อยู่ในมือ กั๋วเว่ยใช่ว่าจะสามารถถูกแทนที่ได้ตามต้องการ!
ขั้นตอนนี้อาจดูน่าตื่นเต้น แต่จริงๆ แล้วมันมั่นคงราวกับหิน!
“กระดาษห่อไฟไม่ได้ ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพเจ้าจะเข้าใจความพยายามของเจ้าหรือไม่?” จางอี๋เอ่ย
ความหมายของเขาก็คือ ในไม่ช้ารัฐต่างๆ ก็จะสืบเจอว่านางได้หน้าไม้กลมาจากสำนักม่อ นี่เป็นการทำให้ฝ่ายสำนักเสียนจื่อลุกเป็นไฟอย่างไม่ต้องสงสัย มันอันตรายมากทว่าก็เป็นโอกาสอันดีเยี่ยมที่สำนักของเสียนจื่อจะลุกขึ้นมาได้เช่นกัน แม้แต่แผนภาพหน้าไม้ก็ตกอยู่กับรัฐฉิน รัฐต่างๆ จะต้องตึงเครียดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชื่อเสียงของเสียนจื่อก็จะเพิ่มขึ้นและสำนักที่นางเป็นผู้นำก็จะมีสถานะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
นี่เป็นโอกาสที่ดี แต่ถ้าไม่รู้สาเหตุแน่ชัดก็ง่ายมากที่จะคิดว่าซ่งชูอีไร้คุณธรรม ไม่เพียงหลอกเอาแผนภาพกลไกไปเท่านั้นแต่ยังหันกลับมาแว้งกัดอีกด้วย