พอคิดแบบนี้ก็พลันหัวเราะเยาะตนเองอีกครั้ง นางคงอ่านนิยายน้ำเน่ามากไปแล้วละมั้ง? กองทัพที่โหดเ**้ยมดุร้าย เกิดในป่าเขาตายในสนามรบแบบนั้น การตอบแทนบุญคุณเพียงเล็กน้อยด้วยความช่วยเหลือมากกว่าคือนิสัยของพวกเขา การมุ่งหน้าพึ่งพาอาศัยเต็มกำลังด้วยเพราะบุญคุณเล็กน้อยที่มีต่อคนอื่นถึงเรียกว่าเหลวไหล

 

 

การช่วยเหลือสามครั้งคือการตอบแทนมากเหลือเกินแล้ว นางไม่อยากสิ้นเปลืองครั้งแรกนี้

 

 

“ครั้งนี้ไม่นับกระมัง” นางต่อรองว่า “หากข้าเสนอความคิดให้พวกเจ้าช่วยเหยียลี่ว์ฉีออกมา อย่างน้อยที่สุดปกป้องเขาให้ปลอดภัย ซ้ำยังระบายโทสะอย่างรุนแรงใต้กำแพงนครตี้เกอได้ ย่อมนับว่าได้ตอบแทนบุญคุณที่พวกเจ้าปล่อยข้ากับสหายของข้า พวกเราเสมอกัน จากนั้นพวกเจ้ายังคงติดค้างการช่วยเหลือข้าสามครั้งดีหรือไม่?”

 

 

“ฮ่าๆ องค์ราชินีทรงชาญฉลาดเสียจริง! เห็นแก่ความฉลาดเฉลียวของพระองค์ ตกลง!”

 

 

ฝูงชนชุมนุมกันข้างกายนาง จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นมองบนกำแพงเมืองตี้เกอ ธงบนกำแพงเมืองกระพือปลิวว่อน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันบนกำแพงเมืองตี้เกอมีธงสามผืน ธงผืนใหญ่สุดอยู่ข้างหน้าสุดคือธงหงส์ทองของจักรพรรดิผู้สถาปนาแคว้น เปลี่ยนผืนใหม่ทุกปี ไม่เคยร่วงหล่นชั่วกาล ผืนต่อมาคือธงซึ่งเป็นของราชินีองค์ปัจจุบัน นางยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ ธงผืนใหญ่แดงสดดุจโลหิตไม่มีลวดลายอะไรทั้งนั้น รอคอยวันนั้นที่นางขึ้นครองราชย์ถึงมีตราสัญลักษณ์และพระอภิไธยซึ่งเป็นของนาง ธงผืนสุดท้ายเรียกว่าธงตี้เกอ คือธงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตี้เกอ ทว่าหลายปีที่ผ่านมากลายเป็นธงสัญลักษณ์ของผู้ครอบครองอำนาจที่แท้จริงของต้าฮวง เปลี่ยนแปลงใต้เงื้อมมือของผู้กุมอำนาจทุกคน บัดนี้ธงผืนนี้ทำจากผ้าหนาหนักสีขาวราวหิมะ ประดับลวดลายแม่น้ำสีดำภูเขาสีขาว ประหนึ่งราชครูฝ่ายขวาผู้กุมอำนาจในยามนี้ เอ่ยกันว่าธงผืนนี้เปลี่ยนผืนใหม่ทุกวัน

 

 

ธงสามผืนคือสัญลักษณ์แห่งตี้เกอ มีทหารป้องกันอย่างแน่นหนาตลอดเวลา นอกจากเข้าสู่ราชวงศ์ใหม่หรือยุคสมัยใหม่แล้ว ไม่เคยฉีกขาดไม่เคยเปลี่ยนแปลง

 

 

เงาขาวยืนตระหง่านใต้ผืนธง กงอิ้นกำลังมองลงมาจากบนกำแพง

 

 

มองดูเงาผืนนั้นแล้ว ดั่งเห็นม่านน้ำแข็งห้อมล้อมดวงใจ

 

 

นางกระตุกมุมปาก คล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม

 

 

นางจะไปแล้ว

 

 

นางจะไม่กลับมาตี้เกอภายในระยะเวลาสั้นๆ แต่ถ้ากลับมาจะต้องไม่จากไปอย่างจนตรอกเหมือนในวันนี้เช่นกัน

 

 

นางจะทิ้งของขวัญไว้

 

 

วันนี้ ณ ตี้เกอ พวกเราทั้งสองฝ่ายจะจารึกไว้ในความทรงจำ

 

 

นางยกมือขึ้นชี้ไปยังกำแพงเมือง ร้องว่า “บอกคนบนกำแพง เนื้อหาครึ่งหนึ่งของแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหม ข้ามอบให้เหยียลี่ว์ฉีไปแล้ว หากไม่อยากให้เหยียลี่ว์ฉีอาศัยสิ่งนี้ก่อเรื่องก่อราวในตี้เกอ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าควรทำอย่างไร”

 

 

อีชีถ่ายทอดเสียงวาจาออกไปไกลโพ้นโดยพลัน

 

 

บนกำแพงเมือง คิ้วของกงอิ้นกระตุกเล็กน้อย

 

 

ข้างหลังพลันมีเสียงฝีเท้า เขาไม่ได้หันหน้ากลับมา เสียงของจิ้งอวิ๋นดังขึ้นอย่างแผ่วเบาทว่าเย่อหยิ่ง

 

 

“นางหยิบแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมออกมาเพียงครึ่งหนึ่งจริง ส่วนที่เหลือกับครึ่งหนึ่งนั้นถึงมีความเกี่ยวข้องกับพวกเรา…ยามนางหลบหนีเคยไปจวนเหยียลี่ว์ หรือว่ามอบให้เหยียลี่ว์ฉีไปแล้วจริง? หากของสิ่งนี้อยู่ในมือของเหยียลี่ว์ฉีจริง เช่นนั้นจะปล่อยเขาอยู่ในตี้เกอไม่ได้อีกแล้ว เขาจะใช้ของสิ่งนี้ก่อความวุ่นวายได้!”

 

 

นางเอ่ยพลางเดินไปข้างหน้า ท่วงท่าสง่างาม รอยยิ้มอบอุ่น

 

 

“หยุดอยู่ตรงนั้น”

 

 

เสียงของกงอิ้นเหน็บหนาวดุจผลึกน้ำแข็ง เคร่งขรึมดั่งมีไอสังหาร

 

 

นางชะงักเล็กน้อย

 

 

“เจ้า…”

 

 

“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าปรากฏกายในบริเวณสามจั้งหน้ากำแพงเมือง”

 

 

นางชะงักงัน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงรู้สึกตัวขึ้นมา เอ่ยเสียงแหลมคล้ายไม่เชื่อหูตนเองว่า “กงอิ้น! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำเช่นนี้กับข้า! เจ้ากลัวนางมองเห็นข้าแล้วได้รับการกระทบกระเทือนใช่หรือไม่ เจ้า…”

 

 

“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเอ่ยวาจาเช่นนี้กับข้า?” กงอิ้นสะบั้นวาจาของนางดั่งคมมีด เอ่ยสืบต่อว่า “หรือเจ้านึกว่าเจ้าความจำเสื่อมแล้ว ข้าจะความจำเสื่อมไปด้วย?”

 

 

ทั่วร่างของจิ้งอวิ๋นพลันแข็งทื่อ

 

 

อากาศบนกำแพงเมืองคล้ายพลันถูกน้ำแข็งผนึกไว้เช่นกัน

 

 

“เจ้า…เจ้า…” ผ่านไปครู่ใหญ่ จิ้งอวิ๋นเริ่มสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง สั่นระริกรุนแรงมากยิ่งขึ้นเสียจนนางแทบยืนไม่อยู่ เอ่ยว่า “…เจ้า…เจ้ารู้…”

 

 

กงอิ้นไม่เอ่ยวาจาแล้ว บนแก้มขาวดุจน้ำแข็งดั่งหิมะมีสีแดงอ่อนผิดปกติสายหนึ่งกะพริบวูบ ทว่านัยน์ตายิ่งมืดมนมากขึ้น เต็มไปด้วยความขยะแขยง

 

 

“ข้าจะให้เจ้าเป็นราชินี” เขายกมือขึ้น บอกใบ้ให้พวกเหมิงหู่ลากจิ้งอวิ๋นลงไป เอ่ยว่า “นอกเหนือจากนั้น อย่าได้ท้าทายความอดทนของข้าอีก อย่าได้พยายามปรากฏกายเบื้องหน้าข้าอีก อยากมีชีวิตอยู่หรือ? เช่นนั้น เอ่ยวาจายามข้าอนุญาตให้เจ้าเอ่ยวาจา หุบปากยามข้าสั่งให้เจ้าหุบปาก”

 

 

“กงอิ้น…” จิ้งอวิ๋นถูกเหมิงหู่คว้าไว้พลางผลักลงไปข้างล่างด้วยมือเดียว ดิ้นรนเอื้อมมือร้องเรียกด้วยความโศกเศร้า ทว่าเงาด้านหลังผืนนั้นดุจภูเขาหิมะ ตั้งตระหง่านไกลโพ้นสุดขอบฟ้า

 

 

ในใจนางสั่นสะท้าน วางมือลงอย่างห่อเ**่ยวและสิ้นหวัง ครุ่นคิดถึงความเย่อหยิ่งตัดไมตรีจากน้ำเสียงเขาในพริบตาหนึ่งเมื่อครู่นี้ แตกต่างจากความเย็นชาเฉยเมยในยามอดีต มีกลิ่นอายหวังสังหารรุนแรงดุเดือดรูปแบบหนึ่งเพิ่มเข้ามา ดั่งผู้เดินทางยามราตรีคว้ามีดมาจากพื้นหิมะ รีบร้อนหวังทำลายล้างฟ้าดินแห่งนี้ให้ล่มสลาย เปลี่ยนแปลงโลกมนุษย์

 

 

ในใจของนางพลันมีลางสังหรณ์ไม่เป็นมงคลเฉียดผ่าน คล้ายมองเห็นเรือนทรุดโทรมเงามืดครึ้ม ตะเกียงดวงเดียวหน้าต่างเย็นยะเยือก ตนเองหันกายกะโผลกกะเผลก ผมขาวทั่วศีรษะสิ้นชีพก่อนวัยใต้แสงจันทร์

 

 

นางเหน็บหนาวสั่นระริก

 

 

 

 

กงอิ้นยืนตระหง่านอยู่บนกำแพงเมือง

 

 

“บอกพวกเขา” เขามีสีหน้าอ่อนเพลียเล็กน้อย เอ่ยกับเหมิงหู่ว่า “เหยียลี่ว์ฉีกระด้างกระเดื่องก่อการกบฏ หลักฐานแน่นหนา ยามนี้ทุกคนในตระกูลรวมทั้งข้ารับใช้ในจวนหนึ่งพันสามร้อยสี่สิบสองคนถูกแยกกันคุมขังอยู่สำนักอวี้จ้าวและสำนักตี้เกอ แผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมไม่ใช่ของล้ำค่าแห่งแคว้น แลกเปลี่ยนอิสระของคนได้เพียงผู้เดียว ให้พวกเขาพิจารณากันเอง”

 

 

เหมิงหู่มองเขาอย่างกังวลปราดหนึ่ง ถ่ายทอดวาจาเช่นเคย

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังแล้วหัวเราะครั้งหนึ่ง

 

 

การกระทำรวดเร็วเหลือเกิน ไอสังหารมากล้นเหลือเกิน

 

 

อำนาจทางทหารและใจคนที่แลกมาด้วยการเสียสละนางมีบทบาทในที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะคั่งหลงสวามิภักดิ์ทั้งกองทัพแล้ว เขาจะจับกุมตระกูลเหยียลี่ว์ที่แต่เดิมแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ให้เข้าคุกทั้งตระกูลอย่างรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?

 

 

พวกเฉิงกูมั่วคำนวณผิดพลาดแล้ว นึกว่าสิงห์ร้ายจอมทะเยอะทะยานจะยอมละทิ้งแว่นแคว้นเพื่อโฉมสะคราญจริงหรือ?

 

 

ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในใจนางกะทันหัน

 

 

หรือว่าตอนนั้นที่กงอิ้นฆ่าตัวตายที่หวงเฉิงและปกป้องนางที่ตรอกหลิวหลีเป็นเพียงการแสร้งสร้างภาพลวงตาเท่านั้น จงใจให้ทุกคนรู้สึกว่าราชครูเห็นราชินีสำคัญกว่าชีวิตตนเองเสียอีก เขายินยอมต่อสู้กับทั่วโลกหล้าเพื่อนาง จากนั้นกระตุ้นความทะเยอทะยานของฝ่ายค้านให้ใช้นางซึ่งเป็นราชินีนางนี้ลุกฮือขึ้นบีบบังคับกงอิ้น หวังให้กงอิ้นออกจากตำแหน่งด้วยตนเองเพื่อปกป้องนาง

 

 

จากนั้นยามเรื่องราวกระชั้นชิด เขาแปรพักตร์อย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่จนทำให้คนรับมือไม่ทัน ไร้ซึ่งเหตุผลที่จะก่อกบฏ นับตั้งแต่นี้จำเป็นต้องสวามิภักดิ์มากยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน เขามองเห็นท่าทางและพละกำลังของฝ่ายค้านทั้งหมดได้ชัดเจนจากเหตุการณ์นี้ พอถึงเวลารับมือย่อมง่ายดายมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องเปลืองแรงคาดคะเนรอคอยถูกกระทำอีก

 

 

คือวิธีตัดเนื้อร้ายแต่เดิมของเขา…มั่นคง แม่นยำ โหดเ**้ยม ยอมให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายก่อน

 

 

นางหัวเราะฮ่าๆ ในใจรู้สึกเริงร่าขึ้นมากะทันหัน

 

 

แท้จริงแล้วเขาคือนักการเมืองชั้นยอด

 

 

แท้จริงแล้วนี่คือวิธีที่นักการเมืองสร้างสถานการณ์รอคอยควบเมฆคลุมฝน

 

 

นับตั้งแต่วันนี้ไป นางเข้าใจแล้วเหมือนกัน!

 

 

“ต้องการเหยียลี่ว์ฉี!” นางหัวเราะจบ แล้วกล่าวเสียงดัง

 

 

ทหารเยียนซาถ่ายทอดวาจาเสียงดังโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยว่า “ราชครูเหยียลี่ว์!”

 

 

จิ่งเหิงปัวหุบยิ้ม มองทหารเยียนซาอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อยเล็กแวบหนึ่ง

 

 

เฮ้อ รังแกคนซื่อสัตย์ รู้สึกผิดนิดหน่อยแฮะ

 

 

นางยืนหยัดต้องการเหยียลี่ว์ฉีไม่ใช่เพราะหวังดี นางลากเหยียลี่ว์ฉีออกจากตี้เกอ ขุดรากถอนโคนความเกี่ยวข้องระหว่างเขากับอำนาจในตี้เกอ ซ้ำยังโบ้ยแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมอีกครึ่งหนึ่งไปให้เขาต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้ นับตั้งแต่นี้ไป เกรงว่าเหยียลี่ว์ฉีจะต้องถูกเนรเทศไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขอีกเลย

 

 

นางขอสาบาน

 

 

นางจะไม่ยอมปล่อยคนที่มีส่วนร่วมทำร้ายนางในวันนั้นไปแม้แต่คนเดียว

 

 

รวมทั้งเหยียลี่ว์ฉีด้วย

 

 

บนกำแพงเมือง กงอิ้นหลับตาลง

 

 

“ปล่อย” ผ่านไปครู่ใหญ่เขาเพียงเอ่ยออกมาอย่างสั้นกระชับคำเดียว

 

 

“ข้าไปเอง!” อวี่ชุนรีบเร่งลงจากกำแพงเมืองไปถ่ายทอดคำสั่งโดยพลัน วิ่งไวกว่าเหมิงหู่เสียอีก เหมิงหู่เบิกตามองเงาด้านหลังของเขาอย่างจนปัญญา

 

 

ยามนี้ทั้งสองคนไม่อยากอยู่บนกำแพงเมือง เบิกตาโพลงมองทั้งข้างบนทั้งข้างล่างกำแพงนี้

 

 

อวี่ชุนเคลื่อนกายรวดเร็วยิ่งนัก หลังผ่านไปสองเค่อ ประตูเมืองแง้มออกเล็กน้อย เหยียลี่ว์ฉีถูกผลักออกมา

 

 

เขาไม่ได้มีสีหน้าปีติยินดีด้วยซ้ำ คงจะรู้สถานการณ์อยู่แล้ว ใบหน้ามีรอยยิ้มเจื่อน

 

 

เหมิงหู่ที่อยู่บนกำแพงเมืองถ่ายทอดคำสั่งอีกครั้ง

 

 

“ราชครูฝ่ายซ้ายเหยียลี่ว์ฉี หยิ่งผยองกระทำเกินหน้าที่ โป้ปดมดเท็จโดยพลการ สมรู้ร่วมคิดกระทำความผิดก่อกบฏ หลังจากบรรดาขุนนางร่วมประชุมปรึกษาหารือกล่าวโทษ เห็นควรให้ลดตำแหน่งสามขั้น เปลี่ยนแปลงตำแหน่งให้เป็นผู้ตรวจการแปดชนเผ่า ออกเดินทางภายในวันนี้ หากมิได้รับพระราชโองการห้ามมิให้กลับสู่นครหลวง!”

 

 

ได้ยินตำแหน่งขุนนาง ‘ผู้ตรวจการแปดชนเผ่า’ นี้แล้ว ในแววตาของเหยียลี่ว์ฉีมีความประหลาดใจสายหนึ่งเฉียดผ่าน เงยหน้าจ้องมองบนกำแพงเมือง

 

 

ตำแหน่งทางการที่ได้รับอิสระมากยิ่งนักตำแหน่งนี้ ตำแหน่งทางการที่เกือบจะถูกยกเลิกไปแล้ว พอมอบให้ในยามนี้ แฝงความนัยลึกซึ้งโดยแท้…

 

 

เรื่องสำคัญยิ่งกว่านั้นคือแต่ก่อนด้วยความรอบคอบระมัดระวังของกงอิ้น แม้กุมอำนาจทางการเมืองผู้เดียวแต่จะไม่ประกาศคำสั่งลงโทษต่อราชครูระดับเดียวกันเช่นเขานี้โดยตรง ย่อมต้องแสร้งให้ราชินีทรงมีพระราชโองการ บัดนี้กระทำการเผด็จการอย่างโจ่งแจ้งปานนี้…

 

 

เขาเงยหน้ามองดูท้องฟ้า ผืนนภาบริสุทธิ์ดุจชำระล้าง ทว่าคล้ายมีเมฆดำก้อนหนึ่งคืบคลานเข้าใกล้

 

 

ท้องฟ้านี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงแล้วสินะ…